04 พฤศจิกายน 2553

ไม่หันเหและเบี่ยงเบน

ครั้งนั้นพวกฟาริสีมาทูลพระองค์ว่า “ท่านจงออกจากที่นี่ไปที่อื่นเถิด เฮโรดต้องการจะฆ่าท่าน” พระองค์ตรัสว่า “จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า “เราจะขับผีและรักษาโรคให้ผู้คนในวันนี้ และในวันพรุ่งนี้ และในวันที่สามเราจะบรรลุเป้าหมายของเรา อย่างไรก็ตามเราต้องดำเนินต่อไปในวันนี้ วันพรุ่งนี้ และวันถัดไป เพราะย่อมไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดตายนอกกรุงเยรูซาเล็ม (ลูกา 13:31-33 IBS)

พวกฟาริสีจงเกลียดจงชังพระเยซู แล้วทำไมถึงมาเตือนพระองค์ให้รู้ตัวว่าเฮโรด อันติพาส ต้องการจะฆ่าพระองค์? พวกเขาน่าจะดีใจที่จะมีคนช่วยกำจัดพระเยซูเสียอย่างที่พวกเขาปรารถนา โดยไม่ต้องถูกการกล่าวหาและต่อต้านจากประชาชนในกาลิลี แต่พวกเขาต้องการที่จะข่มขู่ให้พระเยซูเกิดความกลัวแล้วหันเหการทำงานของพระองค์ออกไปทำในพื้นที่อื่นแทนที่จะเป็นกาลิลี

แล้วทำไมพวกฟาริสีถึงต้องการให้พระเยซูออกจากกาลิลีไปทำงานของพระองค์ในพื้นที่อื่น?
ด้วยเหตุผลใหญ่ๆ สองประการด้วยกัน

ประการแรก ถ้าพระเยซูคริสต์ออกจากพื้นที่กาลิลี พวกเขาจะได้หมดคู่แข่งที่น่าเกรงขาม เพราะตอนนี้ประชาชนให้ความสนใจ นิยมชมชอบพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้นทุกวัน พวกเขาต้องการให้ประชาชนกลับมาเชื่อฟังพวกเขา พวกเขาต้องการมีอำนาจเหนือประชาชนเฉกเช่นในอดีต

ประการที่สอง ถ้ายังปล่อยให้พระเยซูคริสต์ทำพันธกิจในกาลิลี คำสอนที่พระองค์สอนว่า มีเพียงพระเจ้าท่านนั้นที่มีอำนาจครอบครองเหนือชีวิตของเรา เป็นคำสอนที่ขัดกับกฎหมายของโรมัน อีกทั้งยังขัดแย้งกับการที่เฮโรดเป็นกษัตริย์ที่ปกครองกาลิลีในเวลานั้น พวกฟาริสีเกรงว่ากาลิลีอาจจะถูกปราบให้ราบคาบเพราะคำสอนที่เป็นกบฏของพระเยซูคริสต์ และพวกตนก็จะหมดอำนาจในฐานะผู้นำทางศาสนาด้วย ในประเด็นนี้เราต้องมองลึกลงไปถึงความสัมพันธ์ลับๆ ที่พวกฟาริสีมีกับทางการเมืองในเวลานั้น และเป็นการช่วยเหลือเกื้อกูลในการรักษาอำนาจของกันและกัน

ดังนั้น คำตอบของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “จงไปบอกเจ้าสุนัขจิ้งจอกนั้นว่า...” มิใช่เป็นการเปรียบเปรยเฮโรดว่าเป็นคนมีนิสัยและพฤติกรรมที่เหมือนสุนัขจิ้งจอกเท่านั้น แต่เป็นการเปรียบเปรยกล่าวว่าพวกฟาริสีด้วย
พระเยซูคริสต์มองทะลุในอุบายหลอกลวงของพวกฟาริสี และการที่พวกเขาลดตัวเองลงเป็นเพียงคนส่งสารของเฮโรดเท่านั้น ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงไม่หลงกลกับดักในการเปลี่ยนที่ทำพันธกิจ หรือ ลดบทบาทของตนในการทำพันธกิจตามที่พวกนี้ข่มขู่ที่จะเอาชีวิตของพระองค์
สิ่งที่สำคัญคือ พระเยซูคริสต์ไม่เกรงกลัวที่ถูกข่มขู่จะถูกปลิดชีพ
ทำไมพระองค์ถึงไม่กลัวความตายที่กำลังจู่โจมเข้ามา?
เพราะพระองค์รู้อยู่แล้วว่า พระองค์จะต้องตาย ยิ่งกว่านั้น รู้ว่าจะตายที่ไหน และตายเมื่อใด
แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ การตายของพระองค์มีเป้าหมายและจุดประสงค์ที่ชัดเจน

พระองค์รู้อยู่เต็มอกว่า เฮโรดมิใช่อันตรายตัวจริง
ฟาริสี ผู้นำศาสนายิวชนชาติเดียวกันกับพระองค์ต่างหากที่เป็น “ตัวแสบ” ที่แท้จริง

พระเยซูคริสต์ชัดเจนถึงแผนการที่พระองค์จะต้องกระทำให้สำเร็จในแต่ละวัน พระองค์ทรงขับไล่อำนาจชั่วในรูปแบบต่างๆ ที่มาสิงสถิต ครอบครองชีวิตของผู้คนประชาชน พระองค์ทรงปลดปล่อยผู้คนให้ออกจากอำนาจร้ายเหล่านี้ เสริมสร้างชีวิตของพวกเขาขึ้นใหม่เป็นชีวิตที่มีความหวัง กำลัง และรู้จักทางเดินแห่งชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า พระองค์ทรงเพ่งมองและมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมายของการเสด็จมาของพระองค์ คือการไถ่ถอนผู้คนให้หลุดรอดออกจากอำนาจชั่วเหล่านั้น และพระองค์ทรงมุ่งหน้ากระทำทุกวันให้บรรลุสำเร็จตามเป้าประสงค์นั้น พระองค์ทรงทราบถึงเวลาที่กำหนดคือในช่วง “ปัสกา” และ พระองค์ทรงรู้ว่าสถานที่ที่พระองค์จะบรรลุพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่คือที่กรุงเยรูซาเล็ม มิใช่ที่กาลิลีแห่งนี้

เราท่านมิได้มีความรับผิดชอบในการไถ่ถอนชีวิตมนุษย์ให้รอดจากอำนาจของความชั่วร้ายในรูปแบบต่างๆ ดั่งเช่นพระคริสต์ แต่สิ่งที่เราควรจะมีเยี่ยงพระเยซูคริสต์คือ การมุ่งมั่นตั้งใจที่เด็ดเดี่ยวและชัดเจน ที่จะดำเนินชีวิตแต่ละวันไปพร้อมกับพระองค์ และยอมตนกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ในแต่ละวันในฐานะสาวกที่รักและสัตย์ซื่อของพระองค์ และยืนหยัดอย่างพระคริสต์ที่ว่า เราจะกระทำงานต่างๆ ตามพระประสงค์ของพระองค์ในวันนี้ และวันพรุ่ง และในวันที่สามเราจะบรรลุตามเป้าประสงค์แห่งพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในชีวิตของเรา

แน่นอนอยู่แล้วว่า การทดลอง การทำให้เราเฉื่อยชา ล่าช้า หรือ ทำให้เราเบี่ยงเบน หลงออกจากทางที่เราควรจะเดินไปในการทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เป็นงานของซาตาน ผู้รับใช้พระเจ้าที่มีสติปัญญาจะต้องรู้เท่าทันการล่อลวงข่มขู่ของอำนาจชั่วเหล่านี้ ผู้รับใช้จะต้องยึดมั่นในพระวจนะ ฟังเสียงของการทรงนำ และมั่นคงด้วยพระกำลังจากเบื้องบน ไม่เอนเอียง หันเหออกนอกทางของพระองค์ และจะไม่ยอมสิ้นหวังไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

เราต้องชัดเจนว่า พระเจ้าทรงครอบครอง คุ้มครอง ปกป้อง และทรงขับเคลื่อนชีวิตของเราแต่ละวัน
พระองค์ทรงมีพระประสงค์ที่ทรงใช้ในชีวิตของเราแต่ละคน
เมื่อพระคริสต์ไม่ยอมที่จะหันเห เบี่ยงเบน ตามการบิดเบือน และการหลอกล่อ
พระองค์จึงบรรลุเป้าประสงค์ของพระบิดาที่พระองค์ทรงรับใช้มาในโลกนี้
เราจึงได้รับการทรงช่วยให้หลุดรอดจากอำนาจชั่วในรูปแบบต่างๆ
เราจึงได้รับชีวิตใหม่ ความหวังใหม่ และ คุณค่าใหม่ในชีวิต
เพราะพระองค์เลือกที่จะฟังเสียงของพระบิดา แทนการยอมฟังเสียงของ “สุนัขจิ้งจอก”
ฝูงแกะของพระเจ้าจึงรอดพ้นจากการถูกทำร้ายทำลาย ฝูงแกะจึงได้รับชีวิตรอด
ขอให้เราเลือกที่จะฟังเสียงของพระองค์ เพื่อเราจะสามารถบรรลุตามพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีในตัวเรา
ด้วยความรัก สัตย์ซื่อ และด้วยพระกำลัง
ทั้งในครอบครัว ที่ทำงาน คริสตจักร และในชุมชน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น