ความสัมพันธ์ของเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่ม
“เหม็นหืน” แล้วหรือ?
ในช่วงเวลา
Lent มหาพรต หรือ เวลาที่เราจะเข้าใกล้ชิดพระวาทะของพระเจ้าคือพระคริสต์
วันนี้ให้เราเปิดใจตรวจสอบภายในชีวิตของตนเป็นการส่วนตัวกับพระเจ้าถึงความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระองค์ในทุกวันนี้
ไม่รู้ว่าใครเคยประสบพบเหมือนผมบ้าง เบื่อหน่ายที่จะใกล้ชิดสัมพันธ์กับพระองค์?
ผมรู้ครับว่าเรื่องอย่างนี้เขาไม่นำมาเปิดเผยพูดกัน เพราะเป็นเรื่องอับเฉาในชีวิต ชีวิต “มีกลิ่นที่ไม่ค่อยดี” สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเปิดเผย เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ ชื่อเสียงของเราในวงการคริสตชนพลอยกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปด้วย
ครั้งหนึ่ง ผมมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่ง เพราะทำงานมาด้วยกันนาน และมีความไว้วางใจกัน เวลาประสบกับปัญหามักปรึกษากัน ครั้งนี้
เธอแบ่งปันประสบการณ์ความรู้สึกในเรื่องที่ค่อนข้างล่อแหลมในชีวิตของเธอว่า เธอเคยเบื่อหน่ายพระเจ้า เธอเคยเซ็งในความสัมพันธ์กับพระองค์!
เธอเล่าถึงประสบการณ์ในวัยหนุ่มสาวที่เป็นคู่รักกัน ทั้งสองจะหาโอกาสที่จะพบกัน พูดคุยกัน
ทำอะไรด้วยกันเสมอ
ต่างฝ่ายต่างติดใจลุ่มหลงกัน พูดถึงกันต่อหน้าคนอื่นบ่อยๆ หรือกล่าวได้ว่าทุกนาทีมีเรื่องนี้ติดหนึบในความคิดของหนุ่มสาวคู่รัก
และเมื่อทั้งคู่จะต้องอยู่ห่างไกลจากกันก็นับวันนับคืนที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง
ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เธอหวนระลึกถึงตอนที่เธอเป็นคริสตชนใหม่ๆ เธออ่านพระคัมภีร์ทุกวันด้วยความสัตย์ซื่อ เธออธิษฐานเป็นประจำและบ่อย
ในความคิดของเธอชุ่มชื่นอิ่มเอมด้วยความคิดถึงพระเจ้า และเธอจะพูดเรื่องพระเจ้ากับคนรอบข้างไม่หยุดหย่อน
แต่เมื่อเธอมีความเชื่อนานวันเข้า
ความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพระองค์เริ่มรู้สึกว่าเธอและพระเจ้าเหินห่างกัน พูดด้วยความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา เธอรู้เรื่องพระเจ้า
เธอรู้เรื่องราวในพระคัมภีร์ทั้งหมดหรือส่วนมาก เธอสามารถท่องบ่นพระคัมภีร์ข้อต่างๆ เมื่อก่อนนอน
คำเทศนาเริ่มสร้างความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เธอได้ยินมาก่อนแล้วนับครั้งไม่ถ้วน คำอธิษฐานของเธอเป็นอย่างที่เคยอธิษฐานซ้ำซากอย่างเดิม อธิษฐานเรื่องเก่าๆ เดิมๆ ถ้าเป็นอาหารหรือของกินมันคงบูดเน่า หรือ
เหม็นหืนไปนานแล้ว เธอก็ยังรักพระเจ้าและติดตามพระองค์อยู่นะ
แต่ความตื่นเต้นกระตือรือร้นที่เคยมีมันเหือดหายไปไหนไม่รู้ เธอเริ่มรู้สึกแก่เฒ่าชราอ่อนแรงในความเชื่อศรัทธา เธอบอกว่า
ความเชื่อศรัทธาของเธอมันเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะเปื้อนหนา เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากเห็นไม่อยากมอง เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย!
จนถึงครั้งหนึ่งเมื่อเธอมีโอกาสอยู่เงียบๆ
ท่ามกลางธรรมชาติ
ความรู้สึกดังกล่าวถาโถมวนเวียนในห้วงคิดสำนึกของเธอไม่หยุดหย่อน จนเธอเองร้องดังๆ ในจิตใจของตนเองว่า
“พระเจ้าของฉันหายไปไหน
ความสุขความกระตือรือร้นในความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าทำไมถึงอันตรธานจางหายไป
ความตื่นเต้นที่ฉันเคยได้รับเมื่อรับใช้พระองค์และรู้จักพระองค์มากขึ้นทำไมหาไม่เจออีกแล้วในชีวิตของฉัน โอ...พระเจ้าทำไมข้าพระองค์ถึงต้องเป็นอย่างงี้? ทำไมชีวิตถึงเหลือแต่ความเบื่อหน่าย อับชื้น
หมางเมินในความสัมพันธ์กับพระองค์?”
....
อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า เรื่องนี้เขาไม่พูดเปิดเผยหรอกครับ แต่ถ้าพูดกันจากใจถึงใจเราต้องยอมรับว่าคริสตชนจำนวนมาก ความสัมพันธ์ที่มีกับพระเจ้ากำลัง “เหม็นหืน”
แล้ว
ในภาพยนตร์เรื่อง
The Apostle (http://www.imdb.com/title/tt0118632/) พระเอกเป็นนักเทศน์เขาไปรู้มาว่าภรรยาของเขาคบชู้ เขาเครียดจัด
เขาเข้าไปในห้องแล้วลั่นกลอน
แล้วเริ่มส่งเสียงดังลั่นต่อว่าโต้เถียงกับพระเจ้า ระบายทุกความรู้สึก ความคิด
และทัศนะมุมมองของเขาในเวลานั้นที่มีต่อพระเจ้าพระผู้สร้างเขา เขา “สำรอกอารมณ์ความรู้สึก”
ทุกอย่างออกมา
จนสิ่งเหล่านี้ออกหมดสิ้นจากในชีวิตเขา
แต่ที่เขาทำเช่นนี้กระทำด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ
ไม่มีสิ่งซ่อนเร้นแอบแฝงจากพระเจ้า
ดูเผินๆ แล้วดูเป็นการที่ทำให้เกิดความเรี่ยราดเปรอะเปื้อน แต่ผมกลับมองว่านี่เป็นความงาม เพราะสิ่งที่เขาปล่อยให้หลั่งไหลพรั่งพรูออกจากจิตใจและชีวิตของเขานั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้จากก้นบึ้งชีวิตของเขา
ในการที่เราจะขยับผลักดันให้จิตวิญญาณที่เบื่อหน่ายออกจากชีวิตของเรานั้น ประการแรกเราจะต้องทำทุกสิ่งบนความจริงแท้และจริงใจ
เราต้องเปิดเผยต่อตนเองและพระเจ้าถึงสิ่งจริงแท้ในอารมณ์ความรู้สึกของเราในขณะนั้นว่า ข้าพระองค์รู้สึกเบื่อหน่ายพระองค์ ไม่มีอารมณ์ที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์
คำพูดจริงใจเช่นนี้จะไม่สร้างแปลกประหลาดใจกับพระเจ้า ตรงกันข้าม
การยอมพูดความจริง สารภาพด้วยความจริงใจกลับเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
ภายหลังที่เพื่อนผมได้ระบายความจริงในจิตใจออกมาต่อพระเจ้า แล้วจิตใจเริ่มสงบลง เธอได้เห็นสัจจะความจริง 3 ประการคือ
1. ที่เธอเบื่อหน่ายพระเจ้ามิใช่เพราะพระเจ้าเปลี่ยนไป มิใช่เพราะพระเจ้าเมินเฉยต่อเธอ พระเจ้าไม่ได้แกล้งเธอ
2. ที่เธอเกิดความรู้สึกไม่ได้เป็นไปดั่งใจ หรือไม่เป็นไปอย่างที่ใจเธอปรารถนามิใช่เพราะพระเจ้าหยุดทำพระราชกิจ
หรือ เกี่ยวข้องในชีวิตของเธอ
3. เธอพบว่า
เธอจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นเข้าสู่การเสริมสร้างสัมพันธภาพใหม่กับพระเจ้า และเธอจะต้องยุติการพึ่งพิงความตื่นเต้นด้านจิตวิญญาณอย่างในอดีต แต่มุ่งทุ่มเทพลังในชีวิตรับการทรงเสริมสร้างให้เติบโตในพระคริสต์สู่อนาคต
ถ้าเธอต้องการที่จะให้ความเชื่อศรัทธาในชีวิตของเธอมีชีวิตชีวา เธอชัดเจนว่าชีวิตของเธอต้องมุ่งไปหาพระคริสต์ เหมือนกับเปโตรต้องตัดสินใจออกจากเรือ
เพื่อเดินบนทะเลที่กำลังปั่นป่วนไปหาพระคริสต์ที่อยู่บนคลื่นลมทะเลนั้น จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยถ้าเธอไม่ตัดสินใจก้าวออกจากเรือที่เธอคิดว่ามันปกป้องเธอจากการจมทะเลตาย ดังนั้น
การที่เธอรู้เท่าทันความรู้สึกของตนเองและสถานการณ์รอบข้างที่กำลังเป็นอยู่เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่ง และนี่คือก้าวแรกการกลับสู่การแสวงหาคุณค่าความหมายและชีวิตชีวาในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ประการที่สองคือการที่กล้าตัดสินใจลงมือกระทำความเชื่อศรัทธาดังกล่าว ดังคำกล่าวของ John Ortberg ที่ว่า “ถ้าท่านต้องการเดินบนน้ำทะเล ก่อนอื่นท่านต้องออกจากเรือ”
แต่สำหรับหลายคนจะหยุดชะงักตั้งแต่ขั้นตอนแรก เพราะเขาคนนั้นมักมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นก้าวเดินที่ยิ่งใหญ่ จู่ๆ จะให้ก้าวออกจากเรือที่เป็นแหล่งรอดปลอดภัยจากความตายแหล่งสุดท้ายของตนได้อย่างไร แต่ความจริงก็คือว่า
ก้าวสำคัญก้าวแรกนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับต่อๆ ไป ที่สำคัญคือก้าวไปทีละก้าว พันลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก
และที่มั่นใจกล้าก้าวออกไปในก้าวแรกนี้เพราะเราไว้วางใจว่า
พระเยซูคริสต์ทรงพร้อมที่จะคว้าและฉุดเราไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ประสบการณ์ของพ่อแม่คริสตชนที่กำลังจะคลอดลูกคนแรกในชีวิต การอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าของพ่อแม่คู่นี้จะไม่ธรรมดา แต่เป็นการร้องทูลขอจากก้นบึ้งแห่งจิตใจ ให้เราทูลขอต่อพระเจ้าทรงช่วยเราตระหนักชัด
และ
สัมผัสเสมอว่าพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจเสมอในทุกขณะทุกสถานการณ์ชีวิตของเรา
เมื่อเราอธิษฐานเช่นนี้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงเคียงข้างเราในทุกขณะ ทรงพร้อมเสมอที่กระทำพระราชกิจในชีวิตของเราเพื่อให้เราเติบโตและเข้มแข็งขึ้นในชีวิต
เราต้องตระหนักชัดถึงการทรงเคียงข้าง
และ ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตเรา
เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเรา
ดังนั้น
ให้เรายืนหยัดมั่นคงมีชีวิตตามที่เปาโลกล่าวใน 1ทิโมธี 6:11 ว่า
“แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า...
จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด (คือหลักข้อเชื่อเท็จ จองหอง
ลืมตัว และไม่เข้าใจอะไรเลย
หมกมุ่นอยู่กับการโต้เถียงเรื่องคำ
เกิดการอิจฉา
การแก่งแย่งชิงดี การใส่ร้าย การระแวงกัน
การบาดหมางแตกร้าว
และคนที่คิดว่าทางของพระเจ้าเป็นช่องทางหาเงินทองทำกำไร และการรักเงิน
(ดูข้อ 3-5, 10 อมตธรรม)
(แต่)ให้ใฝ่หาความชอบธรรม
ใฝ่หาทางพระเจ้า ความเชื่อ ความรัก
ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน
จงต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อนี้จงยึดมั่นชีวิตนิรันดร์ซึ่งทรงเรียกท่านมารับ...”
(ข้อ
11-12 อมตธรรม)
เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ
ในสังคมปัจจุบันดูเหมือนเรากำลังเดินพร้อมๆ กันครั้งละหลายก้าว
(เดินยังไงก็ไม่รู้) แล้วกินข้าวพร้อมๆ กันทีละหลายๆ
คำ หรือ หลายช้อน
ท่านคงบอกผมว่าไม่มีใครเช่นนั้นหรอก
ที่สำคัญไม่มีใครทำได้
ในยุคปัจจุบันนี้ คนเรามักทำอะไรครั้งละหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน เวลาสอนหนังสือในชั้นเรียน นักศึกษาที่เอาคอมพ์เข้ามาเรียนด้วย เวลาผู้สอนกำลังสอน กำลังบรรยาย
กำลังพูด
เขาก็เปิดคอมพ์ค้นหาอีเมล์
เปิดอินเตอร์เน็ท
และในเวลาเดียวกันตาก็ชำเลืองไปที่โทรศัพท์ที่มีแสงไฟกะพริบว่าใครโทรมา หรือมีข้อความอะไรที่ส่งมา คนยุคนี้ชอบทำอะไรในเวลาเดียวกันหลายๆ อย่าง บางคนกำลังพิมพ์รายงาน แต่ก็เปิดอีกหน้าต่างหนึ่งแชตกับเพื่อน และในเวลาเดียวกันเปิดฟังเพลงไปด้วย
เราขาดการมุ่งมั่นตั้งใจทำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
แต่เราวนเวียนในกระแสวัฒนธรรมที่ทำอะไรไปพร้อมๆ กันในหลายเรื่อง แต่ขาดการทุ่มเท ใส่ใจ อุทิศ
คำถามคือ
ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นแบบนี้หรือเปล่า?
แล้วเราจะคาดหวังอะไรกับการที่เราจะได้ยิน
ได้สัมผัส กับพระเจ้า
เมื่อเรามิได้มุ่งมั่นตั้งใจในการติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์?
และนี่คือที่มาทางหนึ่งที่เราเริ่มเบื่อหน่ายในความสัมพันธ์กับพระเจ้ามิใช่หรือ?
บ่อยครั้งมิใช่หรือที่เมื่อถึงเวลาที่เราจะสงบอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า เราคลิกข้อพระคัมภีร์ประจำวันขึ้นอ่าน
แต่ในเวลาเดียวกันก็อดไม่ได้เมื่อแลเห็นเมล์เข้ามาในบ็อกซ์ของเรา อดไม่ได้ที่จะเปิดดรอปบ็อกซ์
ดูว่าทีมงานได้ทำอะไรให้ก้าวหน้าไปบ้าง
เปิดดูทันทีก็เห็นว่า
จะต้องมีการแก้ไข
เรารีบแก้ไขเพื่อจะไม่เกิดการผิดพลาดในรายงานฉบับนั้น แล้วรีบส่งกลับไป แล้วต่อไปงานอื่น
อนิจจาลืมไปว่าแท้จริงเรากำลังจะเริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าประจำวันนี้ เป็นเวลาที่เราจะฟังการทรงนำของพระเจ้า บ้างก็รีบกลับมาอ่านลวกๆ ให้จบแล้วก็ปิด ทำเช่นนี้บ่อยๆ ชาชิน
และเริ่มรู้สึกว่าเสียเวลา
เพราะอ่านแล้วไม่เห็นได้อะไร บางครั้งข้อพระคัมภีร์ก็ซ้ำไปซ้ำมา นำไปสู่ความรู้สึกว่า “น่าเบื่อ”
การที่ทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันก่อเกิดความกังวล วุ่นวายใจ
สับสน บางครั้งนำสู่ความวิตกกังวลได้ เวลาที่เราติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า พระองค์ประสงค์ให้เรามุ่งมั่นเอาใจใส่อย่างจริงจังและด้วยความเต็มใจจากเรา
พระองค์ประสงค์ที่จะมีความสัมพันธ์กับเราลงในระดับลึกของชีวิตและจิตใจ บางครั้งต้องใช้เวลา มุ่งมั่น
และความสงบในชีวิตจิตใจของเรา
บางครั้งเราเบื่อหน่ายพระเจ้า
เพราะพระองค์ทรงประสงค์ให้เราสัมพันธ์กับพระองค์แบบเจาะจง มุ่งมั่นกับพระองค์เท่านั้น เราเบื่อหน่ายที่พระเจ้าใช้เวลาของเรามากไปหรือไม่
เบื่อหน่ายเพราะเราต้องอดทนเอาสิ่งที่เราสนใจเก็บไว้ก่อนหรือเปล่า?
เรากำหนดเวลาสำหรับเรากับพระเจ้าที่จะพบและสัมพันธ์กันหรือไม่?
เราเบียดบังเวลาที่มีไว้สำหรับเรากับพระเจ้าไปใช้กับสิ่งอื่น งานอื่น
หรือคนอื่นหรือเปล่า?
เราเบื่อพระเจ้าเพราะพระองค์เรียกร้องเรามากเกินไปใช่ไหม?
ครั้งต่อไปเมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่ายในสัมพันธภาพระหว่างเรากับพระเจ้า เราน่าจะถามพระเจ้าตรงๆ ว่า เราเหินห่างจากพระเจ้าด้วยเรื่องอะไร ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ
พระเจ้าไม่เคยเหนื่อยล้าในการติดตามเราแต่ละคน พระองค์ไม่หยุดที่จะรักเรา ดังนั้น พระองค์พร้อมเสมอที่จะกระตุ้นเตือนเรา และหนุนเสริมเรา เมื่อเราเปิดเผยบอกด้วยความจริงใจเมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่ายพระองค์
พระองค์จะมีหนทางที่จะช่วยเราให้ชีวิตและความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์กลับมีชีวิตชีวา และที่สำคัญกว่านั้น ชีวิตจิตวิญญาณของเราจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้นครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ขอบคุณพระเจ้า และขอบคุณอาจารย์ ที่ทำให้เห็นตัวตนในความสัมพันธ์กับพระเจ้าของผม ชัดเจนมากขึ้นครับ
ตอบลบอ่านจบชีวิตก็เข้าที่เข้าทางทันที ขออนุญาตอาจารย์นำบทความนี้ไปเล่าต่อเพื่อเป็นประโยชน์ ต่อเพื่อนๆสมาชิกที่โบสถ์ที่กำลังเกิดความรู้สึกสภาวะน้
ตอบลบเป็นพระพรที่ได้มาอ่านเจอบทความนี้ค่ะ
ตอบลบ