22 กุมภาพันธ์ 2556

Lent 5: เบื่อหน่ายพระเจ้า


ความสัมพันธ์ของเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้าเริ่ม เหม็นหืนแล้วหรือ?

ในช่วงเวลา Lent มหาพรต หรือ เวลาที่เราจะเข้าใกล้ชิดพระวาทะของพระเจ้าคือพระคริสต์   วันนี้ให้เราเปิดใจตรวจสอบภายในชีวิตของตนเป็นการส่วนตัวกับพระเจ้าถึงความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระองค์ในทุกวันนี้

ไม่รู้ว่าใครเคยประสบพบเหมือนผมบ้าง  เบื่อหน่ายที่จะใกล้ชิดสัมพันธ์กับพระองค์?

ผมรู้ครับว่าเรื่องอย่างนี้เขาไม่นำมาเปิดเผยพูดกัน   เพราะเป็นเรื่องอับเฉาในชีวิต  ชีวิต “มีกลิ่นที่ไม่ค่อยดี”  สิ่งเหล่านี้ไม่ควรเปิดเผย   เพราะจะทำให้ภาพลักษณ์ ชื่อเสียงของเราในวงการคริสตชนพลอยกลิ่นเหม็นคละคลุ้งไปด้วย

ครั้งหนึ่ง  ผมมีโอกาสพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานท่านหนึ่ง   เพราะทำงานมาด้วยกันนาน   และมีความไว้วางใจกัน   เวลาประสบกับปัญหามักปรึกษากัน   ครั้งนี้ เธอแบ่งปันประสบการณ์ความรู้สึกในเรื่องที่ค่อนข้างล่อแหลมในชีวิตของเธอว่า  เธอเคยเบื่อหน่ายพระเจ้า   เธอเคยเซ็งในความสัมพันธ์กับพระองค์!

เธอเล่าถึงประสบการณ์ในวัยหนุ่มสาวที่เป็นคู่รักกัน   ทั้งสองจะหาโอกาสที่จะพบกัน พูดคุยกัน ทำอะไรด้วยกันเสมอ   ต่างฝ่ายต่างติดใจลุ่มหลงกัน  พูดถึงกันต่อหน้าคนอื่นบ่อยๆ   หรือกล่าวได้ว่าทุกนาทีมีเรื่องนี้ติดหนึบในความคิดของหนุ่มสาวคู่รัก   และเมื่อทั้งคู่จะต้องอยู่ห่างไกลจากกันก็นับวันนับคืนที่จะได้กลับมาพบกันอีกครั้งหนึ่ง

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เธอหวนระลึกถึงตอนที่เธอเป็นคริสตชนใหม่ๆ   เธออ่านพระคัมภีร์ทุกวันด้วยความสัตย์ซื่อ  เธออธิษฐานเป็นประจำและบ่อย   ในความคิดของเธอชุ่มชื่นอิ่มเอมด้วยความคิดถึงพระเจ้า   และเธอจะพูดเรื่องพระเจ้ากับคนรอบข้างไม่หยุดหย่อน

แต่เมื่อเธอมีความเชื่อนานวันเข้า   ความสัมพันธ์ที่เธอมีกับพระองค์เริ่มรู้สึกว่าเธอและพระเจ้าเหินห่างกัน   พูดด้วยความสัตย์ซื่อตรงไปตรงมา   เธอรู้เรื่องพระเจ้า  เธอรู้เรื่องราวในพระคัมภีร์ทั้งหมดหรือส่วนมาก  เธอสามารถท่องบ่นพระคัมภีร์ข้อต่างๆ เมื่อก่อนนอน    คำเทศนาเริ่มสร้างความรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่เธอได้ยินมาก่อนแล้วนับครั้งไม่ถ้วน   คำอธิษฐานของเธอเป็นอย่างที่เคยอธิษฐานซ้ำซากอย่างเดิม  อธิษฐานเรื่องเก่าๆ เดิมๆ  ถ้าเป็นอาหารหรือของกินมันคงบูดเน่า หรือ เหม็นหืนไปนานแล้ว     เธอก็ยังรักพระเจ้าและติดตามพระองค์อยู่นะ   แต่ความตื่นเต้นกระตือรือร้นที่เคยมีมันเหือดหายไปไหนไม่รู้   เธอเริ่มรู้สึกแก่เฒ่าชราอ่อนแรงในความเชื่อศรัทธา   เธอบอกว่า ความเชื่อศรัทธาของเธอมันเต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะเปื้อนหนา     เป็นเรื่องที่เธอไม่อยากเห็นไม่อยากมอง   เป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย!

จนถึงครั้งหนึ่งเมื่อเธอมีโอกาสอยู่เงียบๆ ท่ามกลางธรรมชาติ   ความรู้สึกดังกล่าวถาโถมวนเวียนในห้วงคิดสำนึกของเธอไม่หยุดหย่อน   จนเธอเองร้องดังๆ ในจิตใจของตนเองว่า

“พระเจ้าของฉันหายไปไหน   ความสุขความกระตือรือร้นในความสัมพันธ์ของฉันกับพระเจ้าทำไมถึงอันตรธานจางหายไป   ความตื่นเต้นที่ฉันเคยได้รับเมื่อรับใช้พระองค์และรู้จักพระองค์มากขึ้นทำไมหาไม่เจออีกแล้วในชีวิตของฉัน    โอ...พระเจ้าทำไมข้าพระองค์ถึงต้องเป็นอย่างงี้?   ทำไมชีวิตถึงเหลือแต่ความเบื่อหน่าย  อับชื้น  หมางเมินในความสัมพันธ์กับพระองค์?”   ....

อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้แล้วว่า   เรื่องนี้เขาไม่พูดเปิดเผยหรอกครับ   แต่ถ้าพูดกันจากใจถึงใจเราต้องยอมรับว่าคริสตชนจำนวนมาก  ความสัมพันธ์ที่มีกับพระเจ้ากำลัง “เหม็นหืน” แล้ว

ในภาพยนตร์เรื่อง The Apostle  (http://www.imdb.com/title/tt0118632/)  พระเอกเป็นนักเทศน์เขาไปรู้มาว่าภรรยาของเขาคบชู้   เขาเครียดจัด  เขาเข้าไปในห้องแล้วลั่นกลอน   แล้วเริ่มส่งเสียงดังลั่นต่อว่าโต้เถียงกับพระเจ้า   ระบายทุกความรู้สึก  ความคิด  และทัศนะมุมมองของเขาในเวลานั้นที่มีต่อพระเจ้าพระผู้สร้างเขา   เขา “สำรอกอารมณ์ความรู้สึก” ทุกอย่างออกมา   จนสิ่งเหล่านี้ออกหมดสิ้นจากในชีวิตเขา   แต่ที่เขาทำเช่นนี้กระทำด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ ไม่มีสิ่งซ่อนเร้นแอบแฝงจากพระเจ้า   ดูเผินๆ แล้วดูเป็นการที่ทำให้เกิดความเรี่ยราดเปรอะเปื้อน   แต่ผมกลับมองว่านี่เป็นความงาม   เพราะสิ่งที่เขาปล่อยให้หลั่งไหลพรั่งพรูออกจากจิตใจและชีวิตของเขานั้นเป็นสิ่งที่จริงแท้จากก้นบึ้งชีวิตของเขา

ในการที่เราจะขยับผลักดันให้จิตวิญญาณที่เบื่อหน่ายออกจากชีวิตของเรานั้น  ประการแรกเราจะต้องทำทุกสิ่งบนความจริงแท้และจริงใจ   เราต้องเปิดเผยต่อตนเองและพระเจ้าถึงสิ่งจริงแท้ในอารมณ์ความรู้สึกของเราในขณะนั้นว่า  ข้าพระองค์รู้สึกเบื่อหน่ายพระองค์   ไม่มีอารมณ์ที่จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระองค์   คำพูดจริงใจเช่นนี้จะไม่สร้างแปลกประหลาดใจกับพระเจ้า   ตรงกันข้าม  การยอมพูดความจริง สารภาพด้วยความจริงใจกลับเป็นจุดเริ่มต้นการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

ภายหลังที่เพื่อนผมได้ระบายความจริงในจิตใจออกมาต่อพระเจ้า  แล้วจิตใจเริ่มสงบลง  เธอได้เห็นสัจจะความจริง 3 ประการคือ

1. ที่เธอเบื่อหน่ายพระเจ้ามิใช่เพราะพระเจ้าเปลี่ยนไป   มิใช่เพราะพระเจ้าเมินเฉยต่อเธอ   พระเจ้าไม่ได้แกล้งเธอ

2. ที่เธอเกิดความรู้สึกไม่ได้เป็นไปดั่งใจ หรือไม่เป็นไปอย่างที่ใจเธอปรารถนามิใช่เพราะพระเจ้าหยุดทำพระราชกิจ หรือ เกี่ยวข้องในชีวิตของเธอ

3. เธอพบว่า  เธอจำเป็นที่จะต้องเริ่มต้นเข้าสู่การเสริมสร้างสัมพันธภาพใหม่กับพระเจ้า   และเธอจะต้องยุติการพึ่งพิงความตื่นเต้นด้านจิตวิญญาณอย่างในอดีต   แต่มุ่งทุ่มเทพลังในชีวิตรับการทรงเสริมสร้างให้เติบโตในพระคริสต์สู่อนาคต

ถ้าเธอต้องการที่จะให้ความเชื่อศรัทธาในชีวิตของเธอมีชีวิตชีวา   เธอชัดเจนว่าชีวิตของเธอต้องมุ่งไปหาพระคริสต์   เหมือนกับเปโตรต้องตัดสินใจออกจากเรือ  เพื่อเดินบนทะเลที่กำลังปั่นป่วนไปหาพระคริสต์ที่อยู่บนคลื่นลมทะเลนั้น   จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยถ้าเธอไม่ตัดสินใจก้าวออกจากเรือที่เธอคิดว่ามันปกป้องเธอจากการจมทะเลตาย   ดังนั้น   การที่เธอรู้เท่าทันความรู้สึกของตนเองและสถานการณ์รอบข้างที่กำลังเป็นอยู่เป็นประเด็นที่สำคัญยิ่ง   และนี่คือก้าวแรกการกลับสู่การแสวงหาคุณค่าความหมายและชีวิตชีวาในความสัมพันธ์กับพระเจ้า    ประการที่สองคือการที่กล้าตัดสินใจลงมือกระทำความเชื่อศรัทธาดังกล่าว   ดังคำกล่าวของ John Ortberg ที่ว่า “ถ้าท่านต้องการเดินบนน้ำทะเล  ก่อนอื่นท่านต้องออกจากเรือ”

แต่สำหรับหลายคนจะหยุดชะงักตั้งแต่ขั้นตอนแรก    เพราะเขาคนนั้นมักมองว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นก้าวเดินที่ยิ่งใหญ่   จู่ๆ จะให้ก้าวออกจากเรือที่เป็นแหล่งรอดปลอดภัยจากความตายแหล่งสุดท้ายของตนได้อย่างไร   แต่ความจริงก็คือว่า  ก้าวสำคัญก้าวแรกนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระดับต่อๆ ไป   ที่สำคัญคือก้าวไปทีละก้าว   พันลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก   และที่มั่นใจกล้าก้าวออกไปในก้าวแรกนี้เพราะเราไว้วางใจว่า  พระเยซูคริสต์ทรงพร้อมที่จะคว้าและฉุดเราไว้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ประสบการณ์ของพ่อแม่คริสตชนที่กำลังจะคลอดลูกคนแรกในชีวิต   การอธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าของพ่อแม่คู่นี้จะไม่ธรรมดา   แต่เป็นการร้องทูลขอจากก้นบึ้งแห่งจิตใจ   ให้เราทูลขอต่อพระเจ้าทรงช่วยเราตระหนักชัด และ สัมผัสเสมอว่าพระองค์ทรงกระทำพระราชกิจเสมอในทุกขณะทุกสถานการณ์ชีวิตของเรา     เมื่อเราอธิษฐานเช่นนี้เรามั่นใจว่าพระองค์ทรงเคียงข้างเราในทุกขณะ   ทรงพร้อมเสมอที่กระทำพระราชกิจในชีวิตของเราเพื่อให้เราเติบโตและเข้มแข็งขึ้นในชีวิต

เราต้องตระหนักชัดถึงการทรงเคียงข้าง และ ทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ในชีวิตเรา   เพื่อสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเรา   ดังนั้น  ให้เรายืนหยัดมั่นคงมีชีวิตตามที่เปาโลกล่าวใน 1ทิโมธี 6:11 ว่า

“แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า... 

จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด (คือหลักข้อเชื่อเท็จ  จองหอง  ลืมตัว และไม่เข้าใจอะไรเลย  หมกมุ่นอยู่กับการโต้เถียงเรื่องคำ  เกิดการอิจฉา  การแก่งแย่งชิงดี  การใส่ร้าย  การระแวงกัน  การบาดหมางแตกร้าว  และคนที่คิดว่าทางของพระเจ้าเป็นช่องทางหาเงินทองทำกำไร  และการรักเงิน  (ดูข้อ 3-5, 10 อมตธรรม)  

(แต่)ให้ใฝ่หาความชอบธรรม  ใฝ่หาทางพระเจ้า  ความเชื่อ  ความรัก  ความอดทนและความสุภาพอ่อนโยน   จงต่อสู้อย่างเข้มแข็งเพื่อความเชื่อนี้จงยึดมั่นชีวิตนิรันดร์ซึ่งทรงเรียกท่านมารับ...”  
(ข้อ 11-12 อมตธรรม)  

เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ

ในสังคมปัจจุบันดูเหมือนเรากำลังเดินพร้อมๆ กันครั้งละหลายก้าว (เดินยังไงก็ไม่รู้)   แล้วกินข้าวพร้อมๆ กันทีละหลายๆ คำ หรือ หลายช้อน   ท่านคงบอกผมว่าไม่มีใครเช่นนั้นหรอก   ที่สำคัญไม่มีใครทำได้

ในยุคปัจจุบันนี้  คนเรามักทำอะไรครั้งละหลายๆ อย่างไปพร้อมกัน   เวลาสอนหนังสือในชั้นเรียน   นักศึกษาที่เอาคอมพ์เข้ามาเรียนด้วย   เวลาผู้สอนกำลังสอน  กำลังบรรยาย  กำลังพูด   เขาก็เปิดคอมพ์ค้นหาอีเมล์  เปิดอินเตอร์เน็ท   และในเวลาเดียวกันตาก็ชำเลืองไปที่โทรศัพท์ที่มีแสงไฟกะพริบว่าใครโทรมา  หรือมีข้อความอะไรที่ส่งมา   คนยุคนี้ชอบทำอะไรในเวลาเดียวกันหลายๆ อย่าง   บางคนกำลังพิมพ์รายงาน  แต่ก็เปิดอีกหน้าต่างหนึ่งแชตกับเพื่อน   และในเวลาเดียวกันเปิดฟังเพลงไปด้วย

เราขาดการมุ่งมั่นตั้งใจทำในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง   แต่เราวนเวียนในกระแสวัฒนธรรมที่ทำอะไรไปพร้อมๆ กันในหลายเรื่อง   แต่ขาดการทุ่มเท ใส่ใจ  อุทิศ

คำถามคือ   ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเป็นแบบนี้หรือเปล่า?

แล้วเราจะคาดหวังอะไรกับการที่เราจะได้ยิน ได้สัมผัส กับพระเจ้า   เมื่อเรามิได้มุ่งมั่นตั้งใจในการติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์?   และนี่คือที่มาทางหนึ่งที่เราเริ่มเบื่อหน่ายในความสัมพันธ์กับพระเจ้ามิใช่หรือ?

บ่อยครั้งมิใช่หรือที่เมื่อถึงเวลาที่เราจะสงบอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้า   เราคลิกข้อพระคัมภีร์ประจำวันขึ้นอ่าน   แต่ในเวลาเดียวกันก็อดไม่ได้เมื่อแลเห็นเมล์เข้ามาในบ็อกซ์ของเรา   อดไม่ได้ที่จะเปิดดรอปบ็อกซ์ ดูว่าทีมงานได้ทำอะไรให้ก้าวหน้าไปบ้าง   เปิดดูทันทีก็เห็นว่า  จะต้องมีการแก้ไข  เรารีบแก้ไขเพื่อจะไม่เกิดการผิดพลาดในรายงานฉบับนั้น   แล้วรีบส่งกลับไป   แล้วต่อไปงานอื่น  

อนิจจาลืมไปว่าแท้จริงเรากำลังจะเริ่มอ่านพระวจนะของพระเจ้าประจำวันนี้    เป็นเวลาที่เราจะฟังการทรงนำของพระเจ้า   บ้างก็รีบกลับมาอ่านลวกๆ ให้จบแล้วก็ปิด   ทำเช่นนี้บ่อยๆ   ชาชิน  และเริ่มรู้สึกว่าเสียเวลา   เพราะอ่านแล้วไม่เห็นได้อะไร   บางครั้งข้อพระคัมภีร์ก็ซ้ำไปซ้ำมา  นำไปสู่ความรู้สึกว่า “น่าเบื่อ” 

การที่ทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกันก่อเกิดความกังวล  วุ่นวายใจ  สับสน  บางครั้งนำสู่ความวิตกกังวลได้   เวลาที่เราติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า  พระองค์ประสงค์ให้เรามุ่งมั่นเอาใจใส่อย่างจริงจังและด้วยความเต็มใจจากเรา   พระองค์ประสงค์ที่จะมีความสัมพันธ์กับเราลงในระดับลึกของชีวิตและจิตใจ   บางครั้งต้องใช้เวลา  มุ่งมั่น  และความสงบในชีวิตจิตใจของเรา

บางครั้งเราเบื่อหน่ายพระเจ้า   เพราะพระองค์ทรงประสงค์ให้เราสัมพันธ์กับพระองค์แบบเจาะจง  มุ่งมั่นกับพระองค์เท่านั้น   เราเบื่อหน่ายที่พระเจ้าใช้เวลาของเรามากไปหรือไม่   เบื่อหน่ายเพราะเราต้องอดทนเอาสิ่งที่เราสนใจเก็บไว้ก่อนหรือเปล่า?

เรากำหนดเวลาสำหรับเรากับพระเจ้าที่จะพบและสัมพันธ์กันหรือไม่?   เราเบียดบังเวลาที่มีไว้สำหรับเรากับพระเจ้าไปใช้กับสิ่งอื่น งานอื่น หรือคนอื่นหรือเปล่า?   เราเบื่อพระเจ้าเพราะพระองค์เรียกร้องเรามากเกินไปใช่ไหม?

ครั้งต่อไปเมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่ายในสัมพันธภาพระหว่างเรากับพระเจ้า   เราน่าจะถามพระเจ้าตรงๆ ว่า  เราเหินห่างจากพระเจ้าด้วยเรื่องอะไร   ความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือ   พระเจ้าไม่เคยเหนื่อยล้าในการติดตามเราแต่ละคน   พระองค์ไม่หยุดที่จะรักเรา   ดังนั้น พระองค์พร้อมเสมอที่จะกระตุ้นเตือนเรา  และหนุนเสริมเรา   เมื่อเราเปิดเผยบอกด้วยความจริงใจเมื่อเรารู้สึกเบื่อหน่ายพระองค์   พระองค์จะมีหนทางที่จะช่วยเราให้ชีวิตและความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์กลับมีชีวิตชีวา   และที่สำคัญกว่านั้น  ชีวิตจิตวิญญาณของเราจะเติบโตและเข้มแข็งขึ้นครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

3 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณพระเจ้า และขอบคุณอาจารย์ ที่ทำให้เห็นตัวตนในความสัมพันธ์กับพระเจ้าของผม ชัดเจนมากขึ้นครับ

    ตอบลบ
  2. อ่านจบชีวิตก็เข้าที่เข้าทางทันที ขออนุญาตอาจารย์นำบทความนี้ไปเล่าต่อเพื่อเป็นประโยชน์ ต่อเพื่อนๆสมาชิกที่โบสถ์ที่กำลังเกิดความรู้สึกสภาวะน้

    ตอบลบ
  3. เป็นพระพรที่ได้มาอ่านเจอบทความนี้ค่ะ

    ตอบลบ