คริสตชนเชื่อว่าพระเจ้าทรงเรียกทุกคน แม้ว่าในเรื่องที่ทรงเรียก วิธีการ
และพระประสงค์อาจจะหลากหลายแตกต่างกันไปตามแต่ละสถานการณ์และแต่ละบุคคล แต่เราท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคน
และ ทรงเรียกทั้งกลุ่มชน และ
สังคมประเทศชาติด้วย
เรื่องราวของโยนาห์ และ โมเสส
ทั้งสองท่านต่างสำนึกในการทรงเรียกของพระเจ้า
ต่างรู้ถึงพระประสงค์ของพระเจ้า
แต่เขาทั้งสองเลือกตอบสนองตามวิธีคิด
วิธีตัดสินใจ และวิธีการกระทำตามใจของตนเอง
ในยุคที่โมเสสเกิดมา
ชนชาติอิสราเอลตกเป็นทาสในประเทศอียิปต์ที่พวกเขาเคยอยู่กินอย่างมีความสุข และ
เป็นชนชาติที่ได้รับการนับหน้าถือตาจากประชาชนคนทั่วไปในอียิปต์สมัยนั้น เพราะผู้คนรู้จักและยอมรับในความเป็นผู้นำของโยเซฟ ที่คนอียิปต์เห็นว่าเขาปกครองประเทศด้วยการทรงสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า และใช้พระปัญญาและพระประสงค์เป็นเกณฑ์ในการบริหารปกครองแผ่นดินอียิปต์ให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตการณ์มหันตภัยแล้งและการกันดารอาหารครั้งสำคัญในภูมิภาคแถบนั้น
แต่เมื่อมีการผลัดเปลี่ยนคนชาติพันธุ์ใหม่มาเป็นกษัตริย์ที่ปกครองแผ่นดินอียิปต์ จำนวนชนชาติอิสราเอลที่
“มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองจนกลายเป็นชนชาติใหญ่อยู่คับคั่งในดินแดนนั้น” (อพยพ
1:7 อมตธรรม)
แต่กษัตริย์องค์ใหม่มาจากอีกชนชาติเผ่าพันธุ์หนึ่ง เกรงกลัวว่าพวกอิสราเอลจะลุกฮือขึ้นยึดอำนาจจึงดำเนินการวางแผนควบคุมประชากรอิสราเอลด้วยการสั่งให้นางผดุงครรภ์ฆ่าทารกเพศชายที่เกิดใหม่ให้ตายเสียแต่ในครรภ์
แต่นางผดุงครรภ์ทั้งสองไม่ยอมทำตามคำสั่งของกษัตริย์อียิปต์ เพราะทั้งสอง “ยำเกรงพระเจ้า”(ข้อ 17)
จนกษัตริย์อียิปต์ต้องปรับเปลี่ยนมาตรการ “ราชาพิฆาต” โดยมีคำสั่งและใช้มวลชนคนของพระองค์จับทารกชายของพวกฮีบรูโยนทิ้งลงในแม่น้ำไนล์(ข้อ
22 อมตธรรม)
และนี่คือที่มาของการที่พ่อแม่ของโมเสสนำทารกโมเสสที่อายุ 3 เดือนใส่ในตระกร้าต้นกกลอยในแม่น้ำไนล์(ข้อ 2:2-3
อมตธรรม)
ธิดาฟาโรห์เห็นทารกในตระกร้าแล้ว “รู้สึกสงสาร”
(ข้อ 2:6)
เมื่อมีผู้เสนอจะหานางนมที่จะเลี้ยงทารกนี้ ธิดาฟาโรห์เห็นด้วย และให้ไปตามแม่ของทารกมา และธิดาฟาโรห์รับสั่งว่า “ให้นำเด็กคนนี้ไปเลี้ยงดูแทนเราด้วย แล้วฉันจะให้ค่าจ้าง” (ข้อ 2:8-9) จนเด็กคนนี้เติบโต
แม่นมจึงนำกลับมาเฝ้าธิดาฟาโรห์
พระนางทรงเลี้ยงดูเขาเป็นโอรส
และตั้งชื่อว่า “โมเสส” ชื่อนี้ไม่เท่ห์เลยครับ เพราะบอกถึงที่มาว่า เป็นเด็กที่พระนางฉุดขึ้นจากน้ำ(ข้อ
2:10) ซึ่งเป็นการบอกเป็นนัยแล้วว่าเขาคือทารกชาติฮีบรู
ที่ได้รับการช่วยจากการตายในแม่น้ำไนล์ และโมเสสได้ร่ำเรียนความรู้
วิทยายุทธ์ต่างๆ ที่เจ้าชายทั้งหลายควรได้รับการร่ำเรียนเตรียมตัวและฝึกฝนจากราชสำนัก
โมเสส
สิ่งหนึ่งที่ฝังในสำนึกของโมเสสคือรู้ว่าตนคือชนชาติฮีบรู และได้เห็นถึงคนชนชาติเดียวของตนต้องถูกกดขี่ข่มเหง
และบังคับให้ต้องทำงานหนัก
ยิ่งกว่านั้นยังถูกทุบตีทำร้ายด้วยความรุนแรงจากชาวอียิปต์ โมเสสต้องการที่จะช่วยชนชาติอิสราเอล เสียงเรียกเรื่องการปลดปล่อยชนชาติของตนออกจากการตกเป็นทาสของอียิปต์ก้องในจิตสำนึก รุ่มร้อนในจิตใจ และโมเสสคิดว่าตนต้องทำอะไรบางอย่าง
สิ่งที่โมเสสตัดสินใจช่วยพี่น้องชนชาติเดียวของตนคือ การคิด ตัดสินใจ และ
ลงมือกระทำตามเสียงเรียกร้องแห่งจิตสำนึกในการปลดปล่อยชนชนอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของอียิปต์ ด้วยศักยภาพและความสามารถชำนาญในการต่อสู้และการยุทธ์ พร้อมทั้งใช้อำนาจตำแหน่งฐานะเจ้าชายแห่งอียิปต์ที่คิดว่าตนเองมี ในการตอบสนองต่อเสียงเรียกแห่งจิตสำนึกของเขา
โมเสสตอบสนองต่อเสียงเรียกในจิตสำนึกของเขา
ตามใจปรารถนาและความมั่นใจในตนเอง
มักคิดว่า “ฉันพร้อม ฉันทำได้”
ปัญหาคือ งานนี้มิใช่แค่ความปรารถนาของโมเสส แต่นี่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า จึงมีความสำคัญว่า
พระประสงค์ของพระเจ้าจะสำเร็จก็โดย แนวทาง ความคิด
และการกระทำตามแผนการของพระเจ้าเท่านั้น
มิใช่ทำตามใจอยากทำของฉัน
สิ่งที่เกิดขึ้นกับโมเสสเมื่อเขาคิดทำตามใจปรารถนา
และ ไว้วางใจในศักยภาพความสามารถของตนเอง
ศูนย์กลางการทำพระราชกิจครั้งนี้มิใช่อยู่ที่พระประสงค์ของพระเจ้า แต่อยู่ที่ใจปรารถนาของโมเสส ใจที่ต้องการเอาชนะพวกอียิปต์
ใจที่ต้องการปลดแอกชนชาติอิสราเอลออกจากการเป็นทาสของฟาโรห์ และนั่นหมายความถึงอิสราเอลกลับไปเป็นผู้ปกครองอียิปต์อีกครั้งหนึ่งเฉกเช่นสมัยของโยเซฟ โมเสสก็จะกลายเป็นผู้นำในอียิปต์
โมเสสฆ่าทหารอียิปต์ที่ข่มเหงทำร้ายแรงงานอิสราเอล
ผลที่เกิดขึ้นจากการตอบสนองเสียงจากสำนึกของโมเสสคือ ฟาโรห์ที่เคยระวังและสงสัยการคิดกบฏของโมเสสก็กลายเป็นจริง ฟาโรห์จึงหาทางกำจัดโมเสสเสียแต่โมเสสเองต้องหนีไปยังดินแดนมีเดียน
(ข้อ 2:15)
ที่มีเดียนนั้นเองที่พระเจ้าทรงเตรียมและสร้างโมเสสใหม่ จากเจ้าชายแห่งอียิปต์
ที่ได้รับการเตรียมพร้อมทั้งความรู้การปกครอง และ การทหาร จะด้วยการรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ตอนนี้โมเสสต้องเข้ารับการเตรียมและฝึกฝนจากพระเจ้า ให้เป็นคนเลี้ยงแกะเพื่อเขาจะพร้อมในการนำและปกครองประชาอิสราเอลตามพระประสงค์ของพระเจ้า คือให้ปกครองประชากรอิสราเอลอย่างผู้เลี้ยงแกะที่เอาใจใส่แกะ และอดทนต่อการดูแลฝูงแกะอิสราเอลที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้โมเสสดูแล
เลี้ยงดู และนำประชากรอิสราเอลไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาของพระองค์
เมื่อถึงเวลาที่พระเจ้าทรงกำหนด
พระองค์ทรงเรียกโมเสสใหม่อีกครั้งหนึ่ง
แต่โมเสสเข็ดหลาบกับประสบการณ์ในอดีต
ปฏิเสธการทรงเรียกของพระเจ้า นอกจากไม่รู้จะไปต่อกรอย่างไรกับฟาโรห์แล้ว โมเสสเองไม่แน่ใจว่าพวกอิสราเอลจะยอมฟังตนหรือไม่
ถึงแม้พระเจ้าทรงให้โมเสสกระทำการอัศจรรย์แต่โมเสสก็ยังปฏิเสธการทรงเรียก
เนื่องจากโมเสสจะต้องไปพูดกับพวกผู้นำของอิสราเอลเรื่องการทรงเรียก และ
พระราชกิจที่พระเจ้าจะทรงนำอิสราเอลออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ ดังนั้น
โมเสสจึงให้เหตุผลกับพระเจ้าว่าตนเป็นคนที่พูดไม่เก่ง พูดไม่คล่อง
ไร้คารม ขอพระเจ้าส่งคนอื่นไปเถิด
(ข้อ 4:10, 13 อมตธรรม)
พระเจ้าจึงบอกโมเสสว่าพระองค์เตรียมให้พี่ชายของโมเสสคืออาโรนเป็นคนพูดแทนโมเสส
(ข้อ 14)
ข้อสังเกตที่สำคัญในตอนนี้คือ
การทรงเรียกโมเสสครั้งนี้ของพระเจ้าชี้ให้เห็นชัดว่า
การที่โมเสสจะกระทำตามการทรงเรียกตามพระประสงค์นั้นมิใช่พึ่งพิงความสามารถ
ฐานะ ตำแหน่ง หรือ อำนาจที่เขามีอีกต่อไป
แต่ต้องพึ่งฤทธิ์เดชและการทรงนำของพระเจ้า นอกจากนั้นแล้วการทำงานตามพระประสงค์ของพระเจ้าครั้งนี้ โมเสสมิใช่ “พระเอกขี่ม้าขาว”
แต่ต้องทำพระราชกิจร่วมกับผู้นำอิสราเอลคนอื่นๆ แม้ผู้นำเหล่านั้นจะเข้าใจถึงแผนการของพระเจ้ามากบ้างน้อยบ้าง
แต่ทุกคนเข้าร่วมในพระราชกิจแห่งพระประสงค์ของพระเจ้าครั้งนี้ ศูนย์กกลางการขับเคลื่อนอยู่ที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจ มิใช่การขับเคลื่อนของโมเสส หรือ
ผู้นำอิสราเอล
ดังนั้น
การที่โมเสสได้รับการทรงเรียก
เขาต้องกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
มิใช่ทำตามใจปรารถนาของตนเอง
ด้วยศักยภาพและความสามารถของตนเอง
เมื่อได้รับการทรงเรียกแล้วมิใช่ทำตามที่ตนคิดและเข้าใจ และพึ่งความสามารถ สติปัญญา เครือข่ายเพื่อนฝูงที่ตนมีเท่านั้น
แต่ต้องทูลขอพระเจ้าทรงเปิดเผยแผนการและวิธีการของพระองค์
และผู้คนที่พระองค์ทรงเตรียมสำหรับพระราชกิจของพระองค์ เพื่อตนจะน้อมนำและเข้าร่วมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
โยนาห์
โยนาห์ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้ไปประกาศถึงความผิดบาปของคนในเมืองนีนะเวห์(เมืองหลวงของอัสซีเรีย) และประกาศให้เขากลับใจใหม่ มิเช่นนั้นความพินาศหายนะจะเกิดแก่คนและเมืองนี้ โยนาห์ไม่ต้องการทำตามการทรงเรียกของพระเจ้า ไม่ใช่เพราะโยนาห์ไม่รู้ว่านี่คือการทรงเรียก และนี่คือพระประสงค์ของพระเจ้า เขารู้อยู่แก่ใจของตนอย่างแน่ชัด
สาเหตุที่โยนาห์ไม่ยอมทำตามการทรงเรียกและพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะโยนาห์ไม่ชอบหรือเกลียดพวกคนอัสซีเรียนอย่างเข้ากระดูกดำ เพราะกองทัพอัสซีเรียเคยโจมตีและทำร้ายทำลายอิสราเอลอย่างยับเยิน โยนาห์มองว่า คนอัสซีเรียในกรุงนีนะเวห์ไม่ควรได้รับความรอด เขาจึงไม่ยอมไปประกาศ เพราะถ้าประกาศแล้วพวกนีนะเวห์จะกลับใจ และพวกเขาจะไม่ถูกพระเจ้าลงโทษ(โยนาห์ 3:3-10) โยนาห์ต้องการให้คนอัสซีเรียถูกพระเจ้าลงโทษ
โยนาห์ ไม่ยอมทำตามการทรงเรียกและพระประสงค์เพราะ
“อคติ” ที่โยนาห์มีต่อคนในกรุงนีนะเวห์
คือมองคนอัสซีเรียด้วยสายตาและอคติตัดสินว่าคนพวกนี้ไม่ควรได้รับความรอด เพราะพวกนี้เคยทำความชั่วร้ายต่ออิสราเอลมาก่อน
โยนาห์จึงใช้ใจปรารถนาและอคติของตนเองเป็นศูนย์กลางของชีวิต แทนที่จะยอมทำตามพระประสงค์และให้พระราชกิจของพระเจ้าเป็นศูนย์กลางในชีวิตของตน
เมื่อพระเจ้าทรงเห็นการกลับใจของชาวนครนีนะเวห์
พระองค์ก็ “ทรงเอ็นดูสงสารและไม่ได้ทำลายพวกเขาตามที่ทรงคาดโทษไว้” (ข้อ 3:10 อมตธรรม)
เพราะพระเจ้ามีพระทัยเมตตาทำให้โยนาห์โกรธและไม่พอใจพระเจ้าอย่างมาก (4:1) และต่อว่าพระเจ้าว่า
“...ข้าพระองค์ก็บอกตั้งแต่อยู่ที่บ้านแล้วไม่ใช่หรือว่ามันจะเป็นอย่างนี้? เพราะเหตุนี้แหละ ข้าพระองค์จึงได้รีบหนีไปเมืองทารชิช...” (ข้อ 4:2)
เมื่อพระเจ้าไม่ทำลายเมืองนีนะเวห์
โยนาห์กล่าวประชดพระเจ้าว่า “...
บัดนี้ขอทรงเอาชีวิตข้าพระองค์ไปเถิด
ข้าพระองค์ตายเสียดีกว่าอยู่” (ข้อ 4:3)
จนพระเจ้าต้องกระตุกต่อมสำนึกของโยนาห์ด้วยการทรงถามว่า “เจ้ามีสิทธิอะไรที่จะโกรธ(เรา)”
(ข้อ 4:4)
แต่โยนาห์ต่อปากต่อคำต่อไปว่า
“ข้าพระองค์มีสิทธิ
ข้าพระองค์โกรธจนอยากตาย” (ข้อ 4:9 อมตธรรม)
พระเจ้าทรงเรียกจิตสำนึกของโยนาห์กลับมาว่า “ก็แล้วนีนะเวห์ซึ่งมีคนกว่า 120,000 คน ซึ่งไม่รู้ประสาว่าไหนมือซ้ายไหนมือขวา ทั้งยังมีสัตว์เลี้ยงอีกมากมาย ไม่ควรหรือที่เราจะห่วงใยนครใหญ่นั้น? (ข้อ 4:10)
โยนาห์รู้ถึงการทรงเรียกของพระเจ้า และยังรู้ว่าพระเจ้ามีพระประสงค์อะไร
แต่ตนเองไม่เห็นด้วยกับพระประสงค์นั้นจึงตอบสนองอย่างตรงกันข้ามกับการทรงเรียกและพระประสงค์ เป็นการตอบสนองการทรงเรียกด้วย “อคติส่วนตัว”
แทนที่จะตอบสนองตามแผนการและแนวทางแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า
นางผดุงครรภ์
ซิฟราห์ และ ปูอาห์ นางผดุงครรภ์ที่ฟาโรห์สั่งให้ฆ่าทารกเพศชายของชาวฮีบรู แต่นางผดุงครรภ์ทั้งสองฝ่าฝืนคำสั่งของฟาโรห์ เพราะทั้งสองยำเกรงพระเจ้า
นางทั้งสองเลือกที่จะเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของฟาโรห์
(อพยพ 1:15-17)
ซึ่งทั้งสองรู้อยู่แก่ใจว่าเสี่ยงต่อการถูกลงโทษจากฟาโรห์อย่างสูง แต่สำหรับนางผดุงครรภ์ทั้งสองแล้ว การยำเกรงพระเจ้าสำคัญกว่าความปลอดภัย มั่นคง
และมั่งคั่งในชีวิตของตนเอง
ทั้งนี้เขาทั้งสองรู้ว่า เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้ชนชาติอิสราเอลเพิ่มจำนวนทวีมากขึ้นให้เป็นชนชาติใหญ่ของพระองค์ และรู้ว่า
ทารกที่เกิดมาเป็นพระพรที่พระเจ้าประทานแก่พ่อแม่ของทารกและแก่ประเทศชาติ และรู้แน่ชัดว่าการฆ่าเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดนอกจากเป็นการทำลายพระพรของพระเจ้า ขัดขืนพระประสงค์ของพระเจ้าแล้ว
ยังเป็นการกระทำผิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้าอีกด้วย และที่สำคัญคือทั้งสองสำนึกว่า
การเป็นนางผดุงครรภ์เป็นอาชีพที่พระเจ้าทรงเรียก และเป็นงานที่พระเจ้ามอบหมายให้ตนรับผิดชอบ
ดังนั้น
ทั้งสองรู้ตระหนักชัดถึงการทรงเรียกของพระเจ้า และรู้ถึงพระประสงค์ของพระองค์ แต่เขาทั้งสองมิได้ทำตามใจตนเอง มิได้ทำตามคำสั่งของผู้มีอำนาจอย่างฟาโรห์ มิได้เบี่ยงเบนการกระทำของตนเพื่อความปลอดภัย หรือเพื่อถูกใจฟาโรห์ เพื่อตนจะเป็นคนโปรดปรานของผู้มีอำนาจ
แต่เขาทั้งสองเลือกที่จะทำด้วยความยำเกรงพระเจ้า
ในวันนี้
ทุกเรื่องที่เราคิด พิจารณา
ตัดสินใจ และที่จะลงมือกระทำ ให้เราใคร่ครวญว่า พระเจ้าทรงเรียกเราหรือไม่ ในเรื่องอะไร?
พระองค์มีพระประสงค์อะไรในชีวิตวันนี้ของเรา?
แล้วเราจะตอบสนองอย่างไรต่อการทรงเรียกและพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตวันนี้ของเราแต่ละคน?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
หมายเหตุ: ที่อยู่ e-mail ของผมเปลี่ยนใหม่เป็น prasit.barnabus@gmail.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น