22 มิถุนายน 2555

การรับใช้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลง


การบริการของท่านช่วยทำให้ผู้คนรู้จักกับพระเยซูคริสต์อย่างไร?

การตอบสนองความจำเป็นทางด้านร่างกายเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น   แต่นั่นเป็นจุดที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งกว่า   การทำพันธกิจการประกาศพระกิตติคุณและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมย่อมนำไปสู่ความสำคัญของทั้งความเป็นคน กล่าวคือทั้งด้านกาย จิตใจ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและจิตวิญญาณ   ต่อไปนี้เราได้พูดคุยถามไถ่ศิษยาภิบาลและผู้นำพันธกิจในคริสตจักรบางแห่ง  ถึงเรื่องราวการรับใช้ของเขาในชุมชนที่มีผลนำไปสู่การเปลี่ยนทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ

เราไม่สามารถแยกพระมหาบัญชาออกจากพระมหาบัญญัติ

คริสตจักรส่วนใหญ่จะพยายามเข้าให้ถึงชีวิตชุมชนที่อยู่นอกกำแพงคริสตจักรด้วยสองวิธีการหลักคือ   บางกลุ่มบางคริสตจักรจะมุ่งเน้นสนใจความต้องการด้านจิตวิญญาณของผู้คน   ช่วยประชาชนนอกรั้วโบสถ์ได้สัมผัสสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านการประกาศพระกิตติคุณ   คริสตจักรอีกกลุ่มหนึ่งมีแนวโน้มเน้นทำพันธกิจกับประชาชนที่มีความต้องการด้านจิตสังคม  ด้วยการให้บริการและสนับสนุนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม

ศิษยาภิบาล ริช นาธาน บอกกับเราว่า คริสตจักรของเขาหลีกเลี่ยงว่าจะทำพันธกิจด้านใดด้านหนึ่งในสองด้านที่กล่าวข้างต้น   คริสตจักรของเราใช้กลยุทธในการทำพันธกิจทั้งการขับเคลื่อนความยุติธรรมทางสังคมให้เข้ากับการประกาศพระกิตติคุณ

ในการให้บริการคลินิกตรวจรักษาสุขภาพและคลินิกทันตกรรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เราจะถามความสมัครใจของเขาว่าเขาต้องการการอธิษฐานด้วยหรือไม่   ในจำนวนนี้ประมาณ 75% ที่ต้องการให้อธิษฐานเผื่อ   ด้วยวิธีการนี้ทำให้เรามีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตจิตวิญญาณ

ในพันธกิจด้านกีฬา  เรามีการใคร่ครวญร่วมกันในทีมนักกีฬาเด็ก  ส่วนทีมนักกีฬาผู้ใหญ่เราได้จ้างผู้ฝึกสอนที่สามารถทำการประกาศพระกิตติคุณด้วย

ส่วนพันธกิจการให้คำปรึกษาด้านการเงิน   เราใช้หลักการด้านการจัดการการเงินจากพระคัมภีร์   ในที่สุดหลายคนได้พบทางออกทางการเงิน  และสามารถพบอิสรภาพในด้านการเงินของตนเองและครอบครัว  ในกลุ่มนี้หลายคนเชื่อศรัทธาในพระคริสต์

สำหรับพันธกิจบริการคลังอาหาร   เราเสนอการอธิษฐานเผื่อผู้รับบริการทางอาหาร  และในระหว่างสัปดาห์เราได้จัดให้มีการนมัสการ และการเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน

พันธกิจสำหรับคนไร้ที่พักเราบริการอาหารร้อน  ผ้าห่ม เสื้อผ้า  เต็นท์ และการอธิษฐานเผื่อ  ในทุกสัปดาห์เราใช้รถแวนออกไปรับคนไร้ที่พักมาที่คริสตจักร  ในกลุ่มนี้ภายหลังมีหลายคนที่เชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์

พันธกิจเหล่านี้เพื่อหนุนเสริมการอยู่รอดของชีวิต  เราระมัดระวังเกี่ยวความรู้สึกอายของผู้เข้ามารับบริการ  ความรู้สึกสิ้นหวัง  และความหวาดกลัว   การอธิษฐานเผื่อจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำไปพร้อมๆ กับการให้บริการชีวิตด้านต่างๆ   สำหรับคนที่มีเด็กเล็กเราจะประสานพ่อแม่เข้าเรียนรู้ในชั้นเรียนการเลี้ยงดูลูก  และให้เด็กเล็กมีโอกาสอยู่ในศูนย์บริบาลเด็ก   และเราจะเข้าไปสัมพันธ์กับแผนกการให้การปรึกษาด้านการเงิน และ การบริการทางสังคม   การประกาศพระกิตติคุณผ่านความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจะกระทำผ่านพันธกิจการให้บริการชีวิตเหล่านี้

จากการทำพันธกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งชีวิต หรือ เราจะเรียกว่าพันธกิจองค์รวมก็ได้  คริสตจักรของเราพบว่ามีพลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและยั่งยืน   ทั้งคนที่มารับบริการและสมาชิกคริสตจักรที่ร่วมในพันธกิจการบริการชีวิตนี้ด้วย   อยากจะบอกว่า  เราไม่สามารถที่จะแยกพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ออกจากพระมหาบัญญัติที่พระองค์ทรงสอน   และสิ่งที่สำคัญมิได้อยู่ที่พันธกิจที่เราทำ   แต่อยู่ที่ชีวิตคนที่พระเจ้าประทานให้เราได้รับใช้และโอกาสที่เราได้รับใช้   เพราะนั่นเป็นการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง  และเป็นการรักตนเองอย่างลึกซึ้งด้วย

จิตใจที่รักเมตตาสร้างผลกระทบแม้แต่คนไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า

Lee Strobel  เป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ Chicago Tribune  ถูกมอบหมายให้ไปติดตามเรื่องราวครอบครัวที่ยากจนในชิคาโกเพื่อนำมาเขียนชุดบทความในเรื่องดังกล่าว   ในการวิจัยหาข้อมูลครั้งนี้เขาได้ไปบ้านสงเคราะห์คนไร้บ้าน[1]

เขาใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการสังเกตการณ์การทำงานของอาสาสมัครในบ้านพักสำหรับคนไร้บ้าน  คนที่สิ้นเนื้อประดาตัว   เป็นผู้คนที่ไม่มีใครในสังคมสนใจหรือเอาใจใส่   พวกอาสาสมัครได้จัดเตรียมอาหารสำหรับคนเหล่านี้  ให้มีที่พักที่อยู่  ให้เสื้อผ้าที่จำเป็น  และยังให้การปรึกษาสำหรับแต่ละคนตามแต่ละวิกฤติชีวิตที่ประสบพบเจอ   นอกจากนั้นยังหาทางช่วยให้ผู้คนเหล่านี้มีงานทำ   อีกทั้งยังให้ความอบอุ่นใจสำหรับลูกหลานที่ตื่นกลัวเหล่านั้นด้วย

ภายหลังการเก็บข้อมูลวิจัย   เขาได้แวะเวียนไปเพื่อกล่าวขอบคุณและอำลาทีมงานอาสาสมัครสตรีทีมนี้ที่รับผิดชอบชีวิตและให้ความช่วยเหลือผู้ไร้บ้านเหล่านั้น   ในระหว่างของการสนทนาอำลากันนั้น  สตรีอาสาสมัครท่านหนึ่งกล่าวกับลีว่า  “ลี ฉันรู้นะว่าคุณเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า   แต่ฉันก็เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น หรือ คุณจะว่าเป็นคนที่สอดรู้สอดเห็นก็ว่าได้   แต่ฉันขอถามตรงๆ ว่า  คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์?”

ลีเขียนไว้ว่า  “ผมยืนกรานใจแข็งไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า  ผมเองคุ้นชินและถนัดกับการ “ปิดทาง” สำหรับพวกคริสเตียนที่พยายามจะมาทำให้ผมเปลี่ยนใจเชื่อเรื่องพระเจ้า    แต่เมื่อสตรีคนนี้มาพูดเรื่องพระเจ้ากับผมในครั้งนี้ผมกลับเปิดใจรับฟังความคิดเห็นอย่างง่ายดาย   ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น   เพราะเธอไม่ได้เพียงบอกผมว่าพระเจ้ารักประชาชนเท่านั้น   แต่ผมได้เห็นมากับตาและสัมผัสมาด้วยตนเองว่าทีมสตรีทีมนี้มีชีวิตที่สำแดงความรักของพระคริสต์ที่พวกเขาพูดถึงด้วยการกระทำ ด้วยชีวิตทั้งหมดของพวกเธออย่างยอมละทิ้งความเป็นตัวตนของตนเอง  และมีชีวิตที่รับใช้ในพระนามของพระคริสต์   ผมเฝ้ามองพวกเขาสำแดงออกถึงพระคุณของพระเจ้าในหลากหลายรูปแบบ  ทั้งกับผู้คนที่ได้รับความเจ็บปวดในชีวิต    การกระทำและสำแดงออกของพวกเขาเช่นนั้นเองที่ได้รื้อโค่นกำแพงที่เคยขวางกั้นผมลง  ทำให้ผมยอมรับเรื่องพระเจ้า   เป็นการรื้อถอนกำแพงอย่างค่อยเป็นค่อยไป  รื้ออิฐกำแพงใจที่ล้อมรอบชีวิตของผมลงทีละก้อนสองก้อน   และในที่สุดประสบการณ์ชีวิตดังกล่าวได้ค่อยๆ สร้างห่วงโซ่แห่งความสัมพันธ์ที่นำชีวิตของผมเข้าผูกพันกับพระคริสต์”

“ด้วยเหตุนี้เราจึงรับใช้คนที่ได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลในชีวิต  คนต้องโทษติดคุก  คนไร้บ้านและที่พักอาศัย  คนตกงาน  คนที่ใช้สารเสพติด  และคนต่างๆ อีกมากมายในพระนามของพระเยซูคริสต์   เพราะผู้คนเหล่านี้ก็เป็นคนที่พระองค์ทรงสร้างด้วยเช่นกัน   และทรงสร้างตามพระฉายาคือตามคุณค่าและความหมายในชีวิตที่พระเจ้าประทานใส่ในชีวิตแก่ผู้คนต่ำต้อยเล็กน้อยไร้ค่าของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้  ดังนั้น พวกเขาแต่ละคนเป็นผู้ที่มีคุณค่าและความหมายสำหรับพระเจ้าอย่างยิ่ง    เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ทุกคนจึงมีคุณค่าและความหมายสำหรับเราทุกคนด้วย   และผลกระทบจากการรับใช้ผู้คนเหล่านี้ในพระนามของพระคริสต์คือ  ความรักเมตตาแห่งการรับใช้เช่นนี้สามารถที่จะเจาะทะลุเข้าในจิตใจที่หนักแน่นแข็งกระด้างต่อต้านพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์”  นี่เป็นคำยืนยันที่หนักแน่นจากประสบการณ์การรับใช้อย่างโชกโชนของทีมงาน

ข้อควรระวังที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ  พันธกิจการรับใช้คนยากคนจนคนเล็กน้อยเหล่านี้เราทำในพระนามของพระเยซูคริสต์    เราจึงไม่ใช่ เอ็นจีโอ  เรามิใช่องค์กรสาธารณกุศล  เรามิได้ทำงานแทนสภากาชาด  เรามิใช่องค์กรสังคมสงเคราะห์   หรือ หน่วยงานพัฒนาสังคม   หรือหน่วยงานบริการสังคม  หรือหน่วยงานการกู้ภัยต่างๆ  หรือกลุ่มที่หนุนเสริมให้ประชาชนลุกขึ้นมาก่อการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยพลังของมวลชน   กล่าวคือ  ภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เรากระทำนั้นมากและกว้างไกลกว่า การเอาใจใส่เรื่องการช่วยตอบสนองความจำเป็นต้องการด้านกายภาพของประชาชนกลุ่มนี้เท่านั้น   แต่ภารกิจความรับผิดชอบที่พระเจ้าบัญชาให้เราต้องทำคือ  คุณภาพชีวิตจิตวิญญาณด้วย   ซึ่งมิใช่การกอบกู้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล  เชิงการเมือง  หรืออำนาจเท่านั้น   แต่เป็นการกอบกู้พระฉายาของพระเจ้าในชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์กลับคืนมา   เพื่อนำสู่การมีคุณภาพชีวิตที่มีอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า  ทำให้ชุมชนสังคมนี้สำแดงออกถึงพระฉายาของพระเจ้า  และพระประสงค์ของพระองค์

เปาโลเคยกล่าวไว้อย่างชัดเจน ในโรม 10:14 ว่า ผู้คนทั่วไปจะไม่สามารถเข้าใจพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เลย  ถ้าคริสเตียนมิได้สื่อสารอธิบายให้ชัดเจน   และการที่จะอธิบายหรือสื่อสารพระกิตติคุณได้อย่างชัดเจนนอกจากการอธิบายด้วยคำพูดแล้ว   การสำแดงออกถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้เชื่อเพื่อผู้คนจะได้เห็น ได้สัมผัสและสัมพันธ์ประจักษ์ชัดเจน  และได้รับประสบการณ์ตรงในชีวิต   นั่นเป็นการสื่อสารพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่ชัดเจนและทรงพลังยิ่ง  อีกทั้งจะต้องสำแดงเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง

เป็นการสื่อสารที่เหมาะสมไม่ประนีประนอมสาระหัวใจของพระกิตติคุณ

การสื่อสารพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่เหมาะสมสอดคล้องกับคนในยุคนี้  มิได้หมายความว่าเราจะต้องยอมประนีประนอมคุณค่าและคุณธรรมของคริสเตียน หรือ พยายามทำให้คนยอมรับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์โดยการยอมตัดดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระหัวใจของพระกิตติคุณ  

แต่หมายความว่าเราพยายามทุกหนทางที่จะแสวงหาการสื่อสารพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ด้วยภาษา คำพูด ที่คนฟังสามารถเข้าใจง่ายและเข้าใจถูกต้องตามสาระของพระกิตติคุณ  และทางหนึ่งที่จะสื่อสารให้เข้าใจได้ลึกซึ้งคือการสำแดงชีวิตประจำวันด้วยจิตใจที่เมตตากรุณาตามทัศนะมุมมองอย่างพระคริสต์  และยืนหยัดสื่อสารอย่างสร้างสรรค์   และในการสื่อสารด้วยการกระทำจากจิตใจที่เมตตากรุณา  ด้วยชีวิตที่เสียสละเช่นนี้   เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะยอมใช้ชีวิตคลุกกับคนรากหญ้าพื้นดิน คนที่จมอยู่ในโคลนตมแห่งความทุกข์  มือไม้พร้อมที่จะเปื้อน   หัวใจพร้อมที่จะฉีกขาด หรือถูกบาดเป็นแผล   และเหนือกว่าสิ่งใดๆ แผนการการรับใช้ของเราต้องเปิดกว้างและพร้อมรับการทรงแทรกแซงจากพระราชกิจของพระเจ้า

นั่นหมายความว่าเรากำลังรับผิดชอบชีวิตผู้คนเหล่านั้น ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราอภิบาลฟูมฟักดูแล   และในเวลาเดียวกันเราต้องยอมรับว่าแต่ละชีวิตมีความแตกต่าง  มีประสบการณ์ชีวิตภูมิหลังที่ถูกบ่มเพาะพอกพูนมาที่ไม่เหมือนกัน   จึงมีความต้องการจำเป็นที่ต่างกัน   และต้องการการเสริมสร้าง  การรักษาเยียวยา ที่แตกต่างกัน  ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนกัน  และระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน   ยิ่งกว่านั้น บนเส้นทางการรับใช้ผู้คนเหล่านี้ด้วยความรักเมตตาและเสียสละแบบพระคริสต์ยังเป็นพระราชกิจของพระเจ้าและพระองค์มีเวลากำหนดของพระองค์    ดังนั้น  เราต้องพร้อมที่จะรับแผนการของพระเจ้าและกำหนดเวลาของพระองค์ที่แทรกแซงเข้ามาในแผนงานที่เราวางไว้แต่แรก

การทำพันธกิจการรับใช้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นมิใช่การทำโครงการเพื่อโครงการ หรือ การทำกิจกรรมเพื่อกิจกรรม   หรือคิดเลยออกไปว่าเพื่อสร้างโอกาสที่จะประกาศพระกิตติคุณ (ในลักษณะเพียงการบอกกล่าวเชิญชวนให้เขามาเป็นคริสเตียนเท่านั้น)   แต่การทำพันธกิจการรับใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงนั้น   เป็นการรับใช้ที่หวังผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิต  กล่าวคือทั้งกาย ใจ ปัญญา  สังคมความสัมพันธ์  และจิตวิญญาณ   มากกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของแต่ละคนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่อยู่ร่วมกันเป็นชุมชนสังคม   เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมบนพื้นฐานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์   นำไปสู่การเป็นชุมชนที่ศานติชอบธรรม   เป็นสังคมชุมชนที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า และ สัมพันธภาพซึ่งกันและกันในชุมชน  บนพื้นฐานพระกิตติคุณ  บนรากฐานแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า

นั่นหมายความว่า สิ่งที่เรากำลังกระทำนี้เป็นการกระทำตามนิมิต (vision) ของพระเยซูคริสต์  ครั้งเมื่อพระองค์สอนสาวกของพระองค์อธิษฐาน   ตอนหนึ่งในคำอธิษฐานที่ทูลขอต่อพระเจ้าพระบิดาว่า
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่...
ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” (มัทธิว 6:10 ฉบับมาตรฐาน)  

และสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงประกาศคือ
“...แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว 
จงกลับใจใหม่ 
และเชื่อข่าวประเสริฐ(พระกิตติคุณ)” (มาระโก 1:14)  

ที่ศาลาธรรมในเมืองนาซาเร็ธบ้านที่พระองค์เจริญเติบโตขึ้น  พระองค์ทรงประกาศถึงเจตนารมณ์ของพระองค์ ที่สอดคล้องกับคำประกาศถึงพันธกิจที่ทรงได้รับมอบหมายจากพระเจ้า   โดยอ่านจากพระธรรมอิสยาห์ว่า 
“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า  
เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้  
เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน  
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย  
ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก  
ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ  
และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ลูกา 4:18-19 ฉบับมาตรฐาน)

พระเยซูคริสต์เมื่อครั้งทรงสอนสาวกและประชาชนจำนวนมาก   พระองค์ทรงบัญชาแก่ประชาชนที่กำลังฟังพระองค์ว่า   สิ่งแรกของสิ่งแรกในชีวิตของคนที่เชื่อศรัทธาในพระเจ้าคือ 
“...ท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน...”
และตามด้วยพระสัญญาว่า  ส่วนสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่จำเป็นในชีวิตพระเจ้าจะเป็นผู้รับผิดชอบและประทานให้ (มัทธิว 6:33 ฉบับมาตรฐาน)   เพราะพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบว่า พวกเราทุกคนต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ (ข้อ 32)

ดังนั้น   พันธกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้าจึงเป็นนิมิตหมายของพระเยซูคริสต์ในการทำพระราชกิจของพระเจ้าในโลกนี้   ด้วยพระทัยเมตตากรุณาเปี่ยมด้วยพระคุณ   เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้เราผู้เป็นมนุษย์ได้รับการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างใหม่จากพระองค์    แล้วพระเจ้าทรงเรียกและมีพระบัญชาให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน    ด้วยการเป็นคนรับใช้พระองค์ท่ามกลางชีวิตของประชาชนในพระนามของพระเยซูคริสต์  ด้วยการมีพระประสงค์เป็นเป้าหมาย   ด้วยการมีจิตใจที่รักเมตตาแบบพระคริสต์  และยอมสละชีวิตของตนอย่างพระองค์   ทั้งนี้ เราจึงเป็นคนหนึ่งในกระบวนการพันธกิจรับใช้เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า   หรือร่วมในกระบวนการพลิกฟื้นโลกนี้ให้อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์   เพื่อทุกคนภายใต้การปกครองของพระเจ้าจะมีคุณภาพชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์

ความอดทนและและความเมตตากรุณาคือเครื่องมืออันทรงพลังในการรับใช้

44 แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน  และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาผู้ที่ข่มเหงท่าน  
45 เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์  
   เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน 
   และให้ฝนตกแก่คนชอบธรรมและคนอธรรม...
48...เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม  เหมือนอย่างพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม
   (มัทธิว 5:44-45, 48  ฉบับมาตรฐาน)

Bruce Cromwell  เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรที่มีสมาชิกหลากหลายฐานะ  กล่าวคือตั้งแต่สมาชิกผู้มั่งคั่งไปจนถึงสมาชิกที่ไร้บ้านซุกหัวนอนก็ว่าได้   และยังมีพันธกิจรับใช้ผู้ต้องทัณฑ์บน  คนที่กำลังตัดยาเสพติดหรือพยายามเลิกในการใช้สารเสพติด   คนที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพในการขายบริการบันเทิง   ในเวลาเดียวกันคริสตจักรของเขายังมีสมาชิกที่เป็นผู้พิพากษา  นายธนาคาร  และอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัย  จากประสบการณ์การทำพันธกิจในคริสตจักร   ทั้งศิษยาภิบาลและสมาชิกที่ทำพันธกิจได้บทเรียนที่ชัดเจนว่า  “ยิ่งถ้าเรามุ่งมองให้ความสนใจ คนอื่น นั่นช่วยให้เรามุ่งมองพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”

ผู้ที่ทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ในชุมชนได้สะท้อนประสบการณ์ของเขาว่า  “บทเรียนประการแรกสุดที่เราได้เรียนรู้จากการทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางคนต่างๆ นั้นคือ  ผู้คนเหล่านี้จะตัดสินใจเลือกติดตามพระเยซูคริสต์ก็เพราะเขาได้สัมผัสความรักของพระองค์ผ่านการสำแดงความรักพระคริสต์ที่ทำผ่านพันธกิจที่เราได้กระทำ   เราพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า  ในการที่ผู้คนจะรับเอาพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เพราะการที่เขาได้รับและสัมผัสกับความรักของพระเยซูคริสต์ผ่านการรับใช้ธรรมดาสามัญที่เราสำแดงผ่านชีวิตของเราด้วยความจริงใจ   มิใช่ความเพียรพยายามที่จะโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจมารับพระเยซูคริสต์   (ในที่นี้หมายความว่า  การที่เขาจะรับพระเยซูคริสต์หรือไม่มิใช่เพราะความสามารถของเราในการโน้มน้าวสั่งสอน หรือ ถกเถียงใช้เหตุใช้ผล   แต่ที่ผู้คนยอมรับพระกิตติคุณของพระคริสต์เพราะเขามีประสบการณ์กับความรักของพระคริสต์  และเขาเลือกว่าความรักนี้ดีมีค่าที่สุดในชีวิตของเขา   จึงต้องการที่จะใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์)   ดังนั้น จึงมิใช่ใช้การช่วยเหลือ  โครงการ  หรือการใช้กิจกรรมเป็นเหมือน “เหยื่อ” เพื่อใช้ตกเบ็ดให้ได้ปลา (ซึ่งหมายถึงคนที่เราต้องการให้เขาเป็นคริสเตียน) มาติดเหยื่อ  แล้วเราจะได้ปลา  ได้คนมาเป็นคริสเตียน   อีกประการหนึ่ง ในการที่ผู้คนตัดสินใจมาเป็นคริสเตียนมิใช่เพราะพวกเขาชอบเราหรือชอบสมาชิกคริสตจักรที่ได้ทำดีกับเขา  เพราะถ้าเขาเชื่อพระคริสต์เพราะการที่เราและสมาชิกคริสตจักรทำดีกับเขา  แต่ถ้าวันหนึ่งเมื่อเขาไม่ได้เห็นความดีของเรา  เขาอาจจะเลิกเป็นคริสเตียนก็ได้   หรือรู้สึกผิดหวังจนเลิกเชื่อพระเจ้าก็ได้   จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องช่วยให้เขาสัมผัสกับความรักเมตตาของพระคริสต์  มิใช่เพียงสัมผัสการทำดีของเราเท่านั้น 

แต่การที่เรากระทำกับคนเหล่านี้ด้วยความเคารพนับถือเฉกเช่นเรากระทำกับพระคริสต์   และด้วยความรักเมตตาที่เสียสละและด้วยความอดทนตามน้ำพระทัยของพระคริสต์  และที่สำคัญคือด้วยพระคุณของพระเยซูคริสต์   เราจะเห็นว่าประชาชนคนเหล่านี้จะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะหันกลับมาติดตามพระคริสต์หรือไม่   กล่าวคือการที่เขาตัดสินใจติดตามพระคริสต์เพราะชีวิตของเขาเกิดความผูกพันกับพระองค์   และที่แน่นอนตามมาคือ คนเหล่านี้จะเข้าร่วมในพลังการรับใช้พระคริสต์ผ่านพันธกิจการอภิบาลสังคมชุมชน   ในเมื่อเราสำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์อย่างไร้เงื่อนไขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้   เขายิ่งจะสัมผัสกับความรักเมตตาของพระคริสต์มากยิ่งขึ้น

การหนุนเสริมผู้ที่เรารับใช้ให้มีแผนในชีวิต

กระบวนการทำพันธกิจของเรามุ่งสู่การเข้าถึงชีวิตทั้งชีวิตของผู้คน (ชีวิตที่ครบบริบูรณ์  ชีวิตองค์รวม  ชีวิตทั้งหมด)  และในการทำงานกับชีวิตเราพยายามร่วมกับคนที่เรารับใช้ในการมองชีวิตอย่างมีแผนรอบด้าน  และอย่างเป็นกระบวนการ  รวมถึงการมีชีวิตที่เชื่อศรัทธาในพระคริสต์   และสร้างความคุ้นชินกับการพัฒนาชีวิตอย่างรอบด้าน

ดังนั้น   การทำพันธกิจการรับใช้เพื่อก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต หรือ เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นองค์รวม จำเป็นที่จะต้องทำพันธกิจนี้ผ่านการขับเคลื่อนพันธกิจคริสตจักรในการอภิบาลชุมชน  หรือทำร่วมกับคริสตจักรท้องถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือ หลายแห่ง   ทั้งนี้เพราะ การบ่มเพาะฟูมฟักเมล็ดแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ต้องอาศัย “ชุมชนผู้เชื่อ” คือคริสตจักร  ที่จะต้องเอาใจใส่ฟูมฟักอภิบาลความเชื่อและแนวทางในการดำเนินชีวิต   และเสริมสร้างให้คนๆ นั้นพัฒนาสู่การเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าท่ามกลางชีวิตชุมชนในพระนามของพระเยซูคริสต์   และพร้อมด้วยประสบการณ์ชีวิตในการรับใช้นั้นเองที่เสริมสร้างให้คนๆ นั้นเติบโตขึ้นในพระคริสต์  คือมีชีวิตที่เป็นอย่างพระคริสต์มากขึ้นในแต่ละด้าน   ดังนั้น การทำพันธกิจแบบองค์รวมจึงต้องมีชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนในการบ่มเพาะเสริมสร้างความเชื่อศรัทธา และ การดำเนินชีวิต  และการอุทิศตนเพื่อพระประสงค์ของพระองค์    และนี่เองงานพันธกิจรับใช้เพื่อก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่ เอ็นจีโอ  หรือองค์กรสังคมสงเคราะห์  หรือหน่วยงานพัฒนาและบริการ   และคนที่เข้าไปทำงานพันธกิจในชุมชนก็ไม่ใช่อาสาสมัคร  หรือ ผู้ที่มีจิตอาสา   แต่เป็นผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระเจ้าถวายตัวรับใช้พระองค์ท่ามกลางชีวิตในชุมชนในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า   เขาเข้าไปในชุมชนเพราะเขากระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ถ้าเช่นนั้น  ต้องถามคริสตจักรว่า ทุกวันนี้ ตนได้ทำหน้าที่นี้หรือไม่?   และถ้าจะต้องรับผิดชอบพันธกิจอย่างที่กล่าวนี้  ชุมชนคริสตจักรเองมีความพร้อมหรือไม่?   ถ้ายังไม่มีความพร้อม เราจะมีกระบวนการเตรียมและเสริมสร้างความพร้อมและพลังสำหรับการทำพันธกิจนี้ได้อย่างไร?

เมื่อเพื่อนบ้านเปลี่ยนแปลง: โอกาสที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้าน

L. J.  Mariano   เล่าให้ฟังว่า  นอกจากที่ผมต้องรับผิดชอบเป็นผู้อภิบาลกลุ่มอนุชนแล้ว   ผมยังต้องช่วยเป็นพี่เลี้ยงนักศึกษาฝึกงานการทำพันธกิจอภิบาลชีวิตชุมชนและการประกาศในชุมชนแถบชานเมืองเป็นเวลา 10 เดือน   ผมและนักศึกษาอยู่ด้วยกันในบ้านเช่าเก่าหลังหนึ่งในชุมชน   และเริ่มสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในแถบนี้ด้วยกัน   เราทำงานรับใช้ในท้องถิ่น  ร่วมกับการรับใช้ที่ศูนย์พันธกิจเพื่อบริการชุมชน  และยังทำงานพันธกิจผู้ลี้ภัย   ตลอดจนทำงานในร้านสะดวกซื้อราคาประหยัด  ซึ่งเป็นร้านที่หารายได้เพื่อสนับสนุนในการทำพันธกิจด้านการศึกษาและการพัฒนาในชุมชน

ภายหลังเวลาเลิกเรียนที่โรงเรียน  เรามีสองโปรแกรมสำหรับเด็ก เพื่อช่วยเด็กนักเรียนระดับประถมในการทำการบ้าน   โปรแกรมดังกล่าวนักศึกษาฝึกงานร่วมในการรับใช้ด้วย   เราต้องการให้โปรแกรมของเรามีพระกิตติคุณเป็นศูนย์กลาง   ก่อนจะเริ่มเรียนการทำการบ้าน  เราจะเล่าเรื่องจากพระคัมภีร์สำหรับนักเรียน   เป้าหมายของการทำพันธกิจช่วยน้องทำการบ้านนี้ก็เพื่อให้เด็กรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร  และพระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างไร   และสร้างวัฒนธรรมความสัมพันธ์เชิงบวก  และแสดงความขอบคุณกัน   ก้าวเล็กๆ เหล่านี้เป็นย่างก้าวที่สำคัญสำหรับชีวิตของเด็กๆ   ด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างเรากับเด็กนักเรียน   จะเป็นการจุดประกายสู่การมีชีวิตที่จาริกไปสู่เส้นทางแห่งแผ่นดินของพระเจ้า

การรับใช้ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับเด็กในชุมชนทำให้เราสามารถเข้าถึงคนในชุมชนและมีโอกาสที่จะอภิบาลชีวิตของคนในชุมชนนั้น   ด้วยความสัมพันธ์และการรับใช้และบริการตอดจนการอภิบาลดูแลเอาใจใส่ครอบครัวต่างๆ ที่เป็นเพื่อนบ้านในชุมชน   ทำให้เรามีโอกาสเชื่อมเพื่อนบ้านเหล่านี้กับชุมชนผู้เชื่อ (สมาชิกคริสตจักร)

ผมมีโอกาสชักชวนครอบครัวเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันให้มาประชุมพบปะกัน   และกลายเป็นเวทีที่ผู้คนเข้ามาร่วมประชุมได้แบ่งปันเรื่องที่เป็นความห่วงใยและสนใจ   เมื่อเรามาพบปะประชุมกัน  เราจะมีโอกาสพูดคุยถึงประเด็นส่วนตัวของพวกเรา   และในที่สุดประเด็นเรื่องที่จอดรถ   ความปลอดภัยของเด็กๆ ลูกหลานชาวบ้าน  และแม้แต่เรื่องการศึกษาพระคัมภีร์ก็มีผู้นำเสนอด้วย   และเมื่อเราดำเนินชีวิตประจำวันที่สำแดงถึงความรักเมตตาของพระคริสต์   ก็จะมีคนมาถามเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์   เราก็มีโอกาสแบ่งปัน

แก่นหลักในการรับใช้ที่ได้ใจชุมชน

Mark De Ymaz กล่าวว่า   คริสตจักรของเราได้รวมเอาการประกาศพระกิตติคุณเข้าเป็นเนื้อเดียวกับกับการเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิต และ การให้บริการชุมชน   เป็นงานพันธกิจแห่งชีวิตที่รวมเอาชีวิตทุกด้านทั้งหมด   เพราะเราเชื่อว่าคริสตจักรมิใช่เพียงตัวอาคารและสถานที่เท่านั้น   เมื่อเรามีมุมมองการทำพันธกิจเช่นนี้   พระกิตติคุณที่ลงไปในชุมชนกลับเป็นที่เคารพและยอมรับมากขึ้นจากชุมชน   แทนที่จะเป็นเสียงเยาะเย้ยจากชุมชนที่เราเคยพบเห็นในอดีต

กลุ่มคริสตจักรของเราทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ   เรามีพระกิตติคุณเป็นแก่นหลักในการทำงานของเรา   เราให้การปรึกษากับประชาชนที่ข้ามประเทศเพื่อมาหางานทำ   แนะนำและช่วยเหลือเขาในกระบวนการการเข้าเมือง   ให้การปรึกษาแก่แรงงานหนุ่มสาวในช่วงชีวิตที่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก   เอาใจใส่ดูแลแก่แรงงานที่มีอายุ   ช่วยพัฒนาฝีมือแรงงานแก่แม่ที่อายุน้อย   ให้การเอาใจใส่เด็กที่ตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยง   อีกทั้งเราให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและเสื้อผ้าแก่ผู้ที่มีความจำเป็นถึงปีละประมาณ 16,000 คน   ที่เราทำเช่นนี้มิใช่เพราะพยายามที่จะทำ “พันธกิจ”  แต่เพราะสภาพความจำเป็นต้องการของคนเหล่านี้กลายเป็นความจำเป็นต้องการของเรา   ความเจ็บปวดทนทุกข์ของคนเหล่านี้เป็นความเจ็บปวดที่เราทนทุกข์ร่วมกับเขา

ผลเป็นอย่างไรบ้าง?   ผู้คนจำนวนเพิ่มขึ้นจากหลายชาติพันธุ์ จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่หลากหลาย  ได้พบกับพระคริสต์เมื่อเขาได้พบกับความช่วยเหลือ  พบกับความหวังในชีวิต  และได้รับการเยียวยาบาดแผลในชีวิตผ่านสมาชิกคริสตจักรในกลุ่มทำงาน

การที่คริสตจักรเป็นพยานชีวิตแก่แรงงานข้ามชาติแบบที่พวกเขาสามารถพบเห็นและสัมผัสอย่างเป็นรูปธรรม  ตามแบบชีวิตพระคริสต์  ทำให้คริสตจักรเป็นที่รักของผู้คนเหล่านี้ในชุมชน   เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจที่การสำแดงความรักเมตตาเยี่ยงพระคริสต์ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ ขึ้นมากมายในชุมชนที่คริสตจักรทำงาน   รวมทั้งไมตรีจิตที่เกิดขึ้นและมีต่อกันของคนในชุมชน   ซึ่งยากที่จะเห็นในชุมชนคนทุกข์ยากทั่วไป

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499


[1] ที่ดำเนินการโดยทีมงานจาก Salvation Army   

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น