การบริการของท่านช่วยทำให้ผู้คนรู้จักกับพระเยซูคริสต์อย่างไร?
การตอบสนองความจำเป็นทางด้านร่างกายเป็นเรื่องที่สำคัญและจำเป็น แต่นั่นเป็นจุดที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้งกว่า การทำพันธกิจการประกาศพระกิตติคุณและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมย่อมนำไปสู่ความสำคัญของทั้งความเป็นคน
กล่าวคือทั้งด้านกาย จิตใจ สังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ต่อไปนี้เราได้พูดคุยถามไถ่ศิษยาภิบาลและผู้นำพันธกิจในคริสตจักรบางแห่ง
ถึงเรื่องราวการรับใช้ของเขาในชุมชนที่มีผลนำไปสู่การเปลี่ยนทั้งชีวิตและจิตวิญญาณ
เราไม่สามารถแยกพระมหาบัญชาออกจากพระมหาบัญญัติ
คริสตจักรส่วนใหญ่จะพยายามเข้าให้ถึงชีวิตชุมชนที่อยู่นอกกำแพงคริสตจักรด้วยสองวิธีการหลักคือ
บางกลุ่มบางคริสตจักรจะมุ่งเน้นสนใจความต้องการด้านจิตวิญญาณของผู้คน ช่วยประชาชนนอกรั้วโบสถ์ได้สัมผัสสัมพันธ์กับพระเจ้าผ่านการประกาศพระกิตติคุณ
คริสตจักรอีกกลุ่มหนึ่งมีแนวโน้มเน้นทำพันธกิจกับประชาชนที่มีความต้องการด้านจิตสังคม
ด้วยการให้บริการและสนับสนุนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในสังคม
ศิษยาภิบาล ริช นาธาน บอกกับเราว่า
คริสตจักรของเขาหลีกเลี่ยงว่าจะทำพันธกิจด้านใดด้านหนึ่งในสองด้านที่กล่าวข้างต้น
คริสตจักรของเราใช้กลยุทธในการทำพันธกิจทั้งการขับเคลื่อนความยุติธรรมทางสังคมให้เข้ากับการประกาศพระกิตติคุณ
ในการให้บริการคลินิกตรวจรักษาสุขภาพและคลินิกทันตกรรมโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย
เราจะถามความสมัครใจของเขาว่าเขาต้องการการอธิษฐานด้วยหรือไม่ ในจำนวนนี้ประมาณ 75% ที่ต้องการให้อธิษฐานเผื่อ
ด้วยวิธีการนี้ทำให้เรามีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตจิตวิญญาณ
ในพันธกิจด้านกีฬา เรามีการใคร่ครวญร่วมกันในทีมนักกีฬาเด็ก ส่วนทีมนักกีฬาผู้ใหญ่เราได้จ้างผู้ฝึกสอนที่สามารถทำการประกาศพระกิตติคุณด้วย
ส่วนพันธกิจการให้คำปรึกษาด้านการเงิน
เราใช้หลักการด้านการจัดการการเงินจากพระคัมภีร์ ในที่สุดหลายคนได้พบทางออกทางการเงิน
และสามารถพบอิสรภาพในด้านการเงินของตนเองและครอบครัว ในกลุ่มนี้หลายคนเชื่อศรัทธาในพระคริสต์
สำหรับพันธกิจบริการคลังอาหาร
เราเสนอการอธิษฐานเผื่อผู้รับบริการทางอาหาร และในระหว่างสัปดาห์เราได้จัดให้มีการนมัสการ
และการเรียนพระคัมภีร์ด้วยกัน
พันธกิจสำหรับคนไร้ที่พักเราบริการอาหารร้อน ผ้าห่ม เสื้อผ้า เต็นท์ และการอธิษฐานเผื่อ ในทุกสัปดาห์เราใช้รถแวนออกไปรับคนไร้ที่พักมาที่คริสตจักร
ในกลุ่มนี้ภายหลังมีหลายคนที่เชื่อศรัทธาในพระเยซูคริสต์
พันธกิจเหล่านี้เพื่อหนุนเสริมการอยู่รอดของชีวิต
เราระมัดระวังเกี่ยวความรู้สึกอายของผู้เข้ามารับบริการ ความรู้สึกสิ้นหวัง และความหวาดกลัว การอธิษฐานเผื่อจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำไปพร้อมๆ กับการให้บริการชีวิตด้านต่างๆ สำหรับคนที่มีเด็กเล็กเราจะประสานพ่อแม่เข้าเรียนรู้ในชั้นเรียนการเลี้ยงดูลูก และให้เด็กเล็กมีโอกาสอยู่ในศูนย์บริบาลเด็ก และเราจะเข้าไปสัมพันธ์กับแผนกการให้การปรึกษาด้านการเงิน
และ การบริการทางสังคม
การประกาศพระกิตติคุณผ่านความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งจะกระทำผ่านพันธกิจการให้บริการชีวิตเหล่านี้
จากการทำพันธกิจที่เกี่ยวข้องกับทั้งชีวิต
หรือ เราจะเรียกว่าพันธกิจองค์รวมก็ได้
คริสตจักรของเราพบว่ามีพลังทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญและยั่งยืน ทั้งคนที่มารับบริการและสมาชิกคริสตจักรที่ร่วมในพันธกิจการบริการชีวิตนี้ด้วย อยากจะบอกว่า
เราไม่สามารถที่จะแยกพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ออกจากพระมหาบัญญัติที่พระองค์ทรงสอน และสิ่งที่สำคัญมิได้อยู่ที่พันธกิจที่เราทำ แต่อยู่ที่ชีวิตคนที่พระเจ้าประทานให้เราได้รับใช้และโอกาสที่เราได้รับใช้
เพราะนั่นเป็นการรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง และเป็นการรักตนเองอย่างลึกซึ้งด้วย
จิตใจที่รักเมตตาสร้างผลกระทบแม้แต่คนไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า
Lee Strobel เป็นผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ Chicago Tribune ถูกมอบหมายให้ไปติดตามเรื่องราวครอบครัวที่ยากจนในชิคาโกเพื่อนำมาเขียนชุดบทความในเรื่องดังกล่าว ในการวิจัยหาข้อมูลครั้งนี้เขาได้ไปบ้านสงเคราะห์คนไร้บ้าน[1]
เขาใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการสังเกตการณ์การทำงานของอาสาสมัครในบ้านพักสำหรับคนไร้บ้าน คนที่สิ้นเนื้อประดาตัว เป็นผู้คนที่ไม่มีใครในสังคมสนใจหรือเอาใจใส่
พวกอาสาสมัครได้จัดเตรียมอาหารสำหรับคนเหล่านี้ ให้มีที่พักที่อยู่ ให้เสื้อผ้าที่จำเป็น
และยังให้การปรึกษาสำหรับแต่ละคนตามแต่ละวิกฤติชีวิตที่ประสบพบเจอ นอกจากนั้นยังหาทางช่วยให้ผู้คนเหล่านี้มีงานทำ อีกทั้งยังให้ความอบอุ่นใจสำหรับลูกหลานที่ตื่นกลัวเหล่านั้นด้วย
ภายหลังการเก็บข้อมูลวิจัย
เขาได้แวะเวียนไปเพื่อกล่าวขอบคุณและอำลาทีมงานอาสาสมัครสตรีทีมนี้ที่รับผิดชอบชีวิตและให้ความช่วยเหลือผู้ไร้บ้านเหล่านั้น ในระหว่างของการสนทนาอำลากันนั้น สตรีอาสาสมัครท่านหนึ่งกล่าวกับลีว่า “ลี
ฉันรู้นะว่าคุณเป็นคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า
แต่ฉันก็เป็นคนที่อยากรู้อยากเห็น หรือ
คุณจะว่าเป็นคนที่สอดรู้สอดเห็นก็ว่าได้
แต่ฉันขอถามตรงๆ ว่า
คุณคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์?”
ลีเขียนไว้ว่า “ผมยืนกรานใจแข็งไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า ผมเองคุ้นชินและถนัดกับการ “ปิดทาง” สำหรับพวกคริสเตียนที่พยายามจะมาทำให้ผมเปลี่ยนใจเชื่อเรื่องพระเจ้า
แต่เมื่อสตรีคนนี้มาพูดเรื่องพระเจ้ากับผมในครั้งนี้ผมกลับเปิดใจรับฟังความคิดเห็นอย่างง่ายดาย ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เพราะเธอไม่ได้เพียงบอกผมว่าพระเจ้ารักประชาชนเท่านั้น
แต่ผมได้เห็นมากับตาและสัมผัสมาด้วยตนเองว่าทีมสตรีทีมนี้มีชีวิตที่สำแดงความรักของพระคริสต์ที่พวกเขาพูดถึงด้วยการกระทำ
ด้วยชีวิตทั้งหมดของพวกเธออย่างยอมละทิ้งความเป็นตัวตนของตนเอง และมีชีวิตที่รับใช้ในพระนามของพระคริสต์ ผมเฝ้ามองพวกเขาสำแดงออกถึงพระคุณของพระเจ้าในหลากหลายรูปแบบ ทั้งกับผู้คนที่ได้รับความเจ็บปวดในชีวิต การกระทำและสำแดงออกของพวกเขาเช่นนั้นเองที่ได้รื้อโค่นกำแพงที่เคยขวางกั้นผมลง ทำให้ผมยอมรับเรื่องพระเจ้า เป็นการรื้อถอนกำแพงอย่างค่อยเป็นค่อยไป รื้ออิฐกำแพงใจที่ล้อมรอบชีวิตของผมลงทีละก้อนสองก้อน และในที่สุดประสบการณ์ชีวิตดังกล่าวได้ค่อยๆ สร้างห่วงโซ่แห่งความสัมพันธ์ที่นำชีวิตของผมเข้าผูกพันกับพระคริสต์”
“ด้วยเหตุนี้เราจึงรับใช้คนที่ได้รับความเจ็บปวดจากบาดแผลในชีวิต คนต้องโทษติดคุก คนไร้บ้านและที่พักอาศัย คนตกงาน
คนที่ใช้สารเสพติด และคนต่างๆ อีกมากมายในพระนามของพระเยซูคริสต์ เพราะผู้คนเหล่านี้ก็เป็นคนที่พระองค์ทรงสร้างด้วยเช่นกัน
และทรงสร้างตามพระฉายาคือตามคุณค่าและความหมายในชีวิตที่พระเจ้าประทานใส่ในชีวิตแก่ผู้คนต่ำต้อยเล็กน้อยไร้ค่าของคนส่วนใหญ่ในโลกนี้
ดังนั้น พวกเขาแต่ละคนเป็นผู้ที่มีคุณค่าและความหมายสำหรับพระเจ้าอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ทุกคนจึงมีคุณค่าและความหมายสำหรับเราทุกคนด้วย
และผลกระทบจากการรับใช้ผู้คนเหล่านี้ในพระนามของพระคริสต์คือ
ความรักเมตตาแห่งการรับใช้เช่นนี้สามารถที่จะเจาะทะลุเข้าในจิตใจที่หนักแน่นแข็งกระด้างต่อต้านพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์” นี่เป็นคำยืนยันที่หนักแน่นจากประสบการณ์การรับใช้อย่างโชกโชนของทีมงาน
ข้อควรระวังที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือ พันธกิจการรับใช้คนยากคนจนคนเล็กน้อยเหล่านี้เราทำในพระนามของพระเยซูคริสต์ เราจึงไม่ใช่ เอ็นจีโอ เรามิใช่องค์กรสาธารณกุศล เรามิได้ทำงานแทนสภากาชาด เรามิใช่องค์กรสังคมสงเคราะห์ หรือ หน่วยงานพัฒนาสังคม หรือหน่วยงานบริการสังคม หรือหน่วยงานการกู้ภัยต่างๆ หรือกลุ่มที่หนุนเสริมให้ประชาชนลุกขึ้นมาก่อการเปลี่ยนแปลงสังคมด้วยพลังของมวลชน กล่าวคือ
ภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เรากระทำนั้นมากและกว้างไกลกว่า
การเอาใจใส่เรื่องการช่วยตอบสนองความจำเป็นต้องการด้านกายภาพของประชาชนกลุ่มนี้เท่านั้น แต่ภารกิจความรับผิดชอบที่พระเจ้าบัญชาให้เราต้องทำคือ คุณภาพชีวิตจิตวิญญาณด้วย ซึ่งมิใช่การกอบกู้สิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล เชิงการเมือง
หรืออำนาจเท่านั้น
แต่เป็นการกอบกู้พระฉายาของพระเจ้าในชีวิตทั้งชีวิตของมนุษย์กลับคืนมา
เพื่อนำสู่การมีคุณภาพชีวิตที่มีอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้า
ทำให้ชุมชนสังคมนี้สำแดงออกถึงพระฉายาของพระเจ้า และพระประสงค์ของพระองค์
เปาโลเคยกล่าวไว้อย่างชัดเจน ในโรม 10:14 ว่า ผู้คนทั่วไปจะไม่สามารถเข้าใจพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เลย ถ้าคริสเตียนมิได้สื่อสารอธิบายให้ชัดเจน
และการที่จะอธิบายหรือสื่อสารพระกิตติคุณได้อย่างชัดเจนนอกจากการอธิบายด้วยคำพูดแล้ว การสำแดงออกถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้เชื่อเพื่อผู้คนจะได้เห็น
ได้สัมผัสและสัมพันธ์ประจักษ์ชัดเจน
และได้รับประสบการณ์ตรงในชีวิต
นั่นเป็นการสื่อสารพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่ชัดเจนและทรงพลังยิ่ง อีกทั้งจะต้องสำแดงเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง
เป็นการสื่อสารที่เหมาะสมไม่ประนีประนอมสาระหัวใจของพระกิตติคุณ
การสื่อสารพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ที่เหมาะสมสอดคล้องกับคนในยุคนี้
มิได้หมายความว่าเราจะต้องยอมประนีประนอมคุณค่าและคุณธรรมของคริสเตียน หรือ
พยายามทำให้คนยอมรับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์โดยการยอมตัดดัดแปลงหรือปรับเปลี่ยนเนื้อหาสาระหัวใจของพระกิตติคุณ
แต่หมายความว่าเราพยายามทุกหนทางที่จะแสวงหาการสื่อสารพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ด้วยภาษา
คำพูด ที่คนฟังสามารถเข้าใจง่ายและเข้าใจถูกต้องตามสาระของพระกิตติคุณ และทางหนึ่งที่จะสื่อสารให้เข้าใจได้ลึกซึ้งคือการสำแดงชีวิตประจำวันด้วยจิตใจที่เมตตากรุณาตามทัศนะมุมมองอย่างพระคริสต์ และยืนหยัดสื่อสารอย่างสร้างสรรค์
และในการสื่อสารด้วยการกระทำจากจิตใจที่เมตตากรุณา ด้วยชีวิตที่เสียสละเช่นนี้
เราต้องเตรียมตัวเตรียมใจที่จะยอมใช้ชีวิตคลุกกับคนรากหญ้าพื้นดิน คนที่จมอยู่ในโคลนตมแห่งความทุกข์ มือไม้พร้อมที่จะเปื้อน หัวใจพร้อมที่จะฉีกขาด หรือถูกบาดเป็นแผล และเหนือกว่าสิ่งใดๆ แผนการการรับใช้ของเราต้องเปิดกว้างและพร้อมรับการทรงแทรกแซงจากพระราชกิจของพระเจ้า
นั่นหมายความว่าเรากำลังรับผิดชอบชีวิตผู้คนเหล่านั้น
ที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้เราอภิบาลฟูมฟักดูแล
และในเวลาเดียวกันเราต้องยอมรับว่าแต่ละชีวิตมีความแตกต่าง
มีประสบการณ์ชีวิตภูมิหลังที่ถูกบ่มเพาะพอกพูนมาที่ไม่เหมือนกัน จึงมีความต้องการจำเป็นที่ต่างกัน และต้องการการเสริมสร้าง การรักษาเยียวยา ที่แตกต่างกัน ด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนกัน และระยะเวลาที่ไม่เท่ากัน ยิ่งกว่านั้น
บนเส้นทางการรับใช้ผู้คนเหล่านี้ด้วยความรักเมตตาและเสียสละแบบพระคริสต์ยังเป็นพระราชกิจของพระเจ้าและพระองค์มีเวลากำหนดของพระองค์ ดังนั้น
เราต้องพร้อมที่จะรับแผนการของพระเจ้าและกำหนดเวลาของพระองค์ที่แทรกแซงเข้ามาในแผนงานที่เราวางไว้แต่แรก
การทำพันธกิจการรับใช้ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นมิใช่การทำโครงการเพื่อโครงการ
หรือ การทำกิจกรรมเพื่อกิจกรรม
หรือคิดเลยออกไปว่าเพื่อสร้างโอกาสที่จะประกาศพระกิตติคุณ
(ในลักษณะเพียงการบอกกล่าวเชิญชวนให้เขามาเป็นคริสเตียนเท่านั้น)
แต่การทำพันธกิจการรับใช้เพื่อการเปลี่ยนแปลงนั้น
เป็นการรับใช้ที่หวังผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งชีวิต กล่าวคือทั้งกาย ใจ ปัญญา สังคมความสัมพันธ์ และจิตวิญญาณ
มากกว่านั้นการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิตของแต่ละคนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตที่อยู่ร่วมกันเป็นชุมชนสังคม
เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบสังคมบนพื้นฐานพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ นำไปสู่การเป็นชุมชนที่ศานติชอบธรรม เป็นสังคมชุมชนที่มีสัมพันธภาพกับพระเจ้า และ
สัมพันธภาพซึ่งกันและกันในชุมชน
บนพื้นฐานพระกิตติคุณ บนรากฐานแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า
นั่นหมายความว่า
สิ่งที่เรากำลังกระทำนี้เป็นการกระทำตามนิมิต (vision) ของพระเยซูคริสต์
ครั้งเมื่อพระองค์สอนสาวกของพระองค์อธิษฐาน ตอนหนึ่งในคำอธิษฐานที่ทูลขอต่อพระเจ้าพระบิดาว่า
“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่...
ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นอย่างนั้นในแผ่นดินโลก”
(มัทธิว 6:10
ฉบับมาตรฐาน)
และสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงประกาศคือ
“...แผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว
จงกลับใจใหม่
และเชื่อข่าวประเสริฐ(พระกิตติคุณ)” (มาระโก 1:14)
ที่ศาลาธรรมในเมืองนาซาเร็ธบ้านที่พระองค์เจริญเติบโตขึ้น พระองค์ทรงประกาศถึงเจตนารมณ์ของพระองค์
ที่สอดคล้องกับคำประกาศถึงพันธกิจที่ทรงได้รับมอบหมายจากพระเจ้า โดยอ่านจากพระธรรมอิสยาห์ว่า
“พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้
เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย
ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก
ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ
และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
(ลูกา 4:18-19 ฉบับมาตรฐาน)
พระเยซูคริสต์เมื่อครั้งทรงสอนสาวกและประชาชนจำนวนมาก พระองค์ทรงบัญชาแก่ประชาชนที่กำลังฟังพระองค์ว่า
สิ่งแรกของสิ่งแรกในชีวิตของคนที่เชื่อศรัทธาในพระเจ้าคือ
“...ท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า
และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน...”
และตามด้วยพระสัญญาว่า ส่วนสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่จำเป็นในชีวิตพระเจ้าจะเป็นผู้รับผิดชอบและประทานให้
(มัทธิว 6:33 ฉบับมาตรฐาน) เพราะพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบว่า
พวกเราทุกคนต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ (ข้อ 32)
ดังนั้น
พันธกิจแห่งแผ่นดินของพระเจ้าจึงเป็นนิมิตหมายของพระเยซูคริสต์ในการทำพระราชกิจของพระเจ้าในโลกนี้ ด้วยพระทัยเมตตากรุณาเปี่ยมด้วยพระคุณ
เพื่อสร้างโอกาสใหม่ให้เราผู้เป็นมนุษย์ได้รับการเปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างใหม่จากพระองค์
แล้วพระเจ้าทรงเรียกและมีพระบัญชาให้เราแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน
ด้วยการเป็นคนรับใช้พระองค์ท่ามกลางชีวิตของประชาชนในพระนามของพระเยซูคริสต์ ด้วยการมีพระประสงค์เป็นเป้าหมาย ด้วยการมีจิตใจที่รักเมตตาแบบพระคริสต์ และยอมสละชีวิตของตนอย่างพระองค์ ทั้งนี้
เราจึงเป็นคนหนึ่งในกระบวนการพันธกิจรับใช้เพื่อก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลกนี้ให้เป็นแผ่นดินของพระเจ้า หรือร่วมในกระบวนการพลิกฟื้นโลกนี้ให้อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์
เพื่อทุกคนภายใต้การปกครองของพระเจ้าจะมีคุณภาพชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์
ความอดทนและและความเมตตากรุณาคือเครื่องมืออันทรงพลังในการรับใช้
เพราะว่าพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเสมอกัน
(มัทธิว 5:44-45, 48 ฉบับมาตรฐาน)
Bruce Cromwell เป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรที่มีสมาชิกหลากหลายฐานะ
กล่าวคือตั้งแต่สมาชิกผู้มั่งคั่งไปจนถึงสมาชิกที่ไร้บ้านซุกหัวนอนก็ว่าได้ และยังมีพันธกิจรับใช้ผู้ต้องทัณฑ์บน
คนที่กำลังตัดยาเสพติดหรือพยายามเลิกในการใช้สารเสพติด
คนที่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพในการขายบริการบันเทิง ในเวลาเดียวกันคริสตจักรของเขายังมีสมาชิกที่เป็นผู้พิพากษา นายธนาคาร
และอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัย
จากประสบการณ์การทำพันธกิจในคริสตจักร
ทั้งศิษยาภิบาลและสมาชิกที่ทำพันธกิจได้บทเรียนที่ชัดเจนว่า “ยิ่งถ้าเรามุ่งมองให้ความสนใจ ‘คนอื่น’
นั่นช่วยให้เรามุ่งมองพระเยซูคริสต์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น”
ผู้ที่ทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ในชุมชนได้สะท้อนประสบการณ์ของเขาว่า “บทเรียนประการแรกสุดที่เราได้เรียนรู้จากการทำพันธกิจการรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางคนต่างๆ
นั้นคือ
ผู้คนเหล่านี้จะตัดสินใจเลือกติดตามพระเยซูคริสต์ก็เพราะเขาได้สัมผัสความรักของพระองค์ผ่านการสำแดงความรักพระคริสต์ที่ทำผ่านพันธกิจที่เราได้กระทำ เราพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ในการที่ผู้คนจะรับเอาพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เพราะการที่เขาได้รับและสัมผัสกับความรักของพระเยซูคริสต์ผ่านการรับใช้ธรรมดาสามัญที่เราสำแดงผ่านชีวิตของเราด้วยความจริงใจ
มิใช่ความเพียรพยายามที่จะโน้มน้าวให้เขาเปลี่ยนใจมารับพระเยซูคริสต์ (ในที่นี้หมายความว่า การที่เขาจะรับพระเยซูคริสต์หรือไม่มิใช่เพราะความสามารถของเราในการโน้มน้าวสั่งสอน
หรือ ถกเถียงใช้เหตุใช้ผล
แต่ที่ผู้คนยอมรับพระกิตติคุณของพระคริสต์เพราะเขามีประสบการณ์กับความรักของพระคริสต์ และเขาเลือกว่าความรักนี้ดีมีค่าที่สุดในชีวิตของเขา จึงต้องการที่จะใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์) ดังนั้น จึงมิใช่ใช้การช่วยเหลือ โครงการ
หรือการใช้กิจกรรมเป็นเหมือน “เหยื่อ” เพื่อใช้ตกเบ็ดให้ได้ปลา
(ซึ่งหมายถึงคนที่เราต้องการให้เขาเป็นคริสเตียน) มาติดเหยื่อ แล้วเราจะได้ปลา ได้คนมาเป็นคริสเตียน อีกประการหนึ่ง
ในการที่ผู้คนตัดสินใจมาเป็นคริสเตียนมิใช่เพราะพวกเขาชอบเราหรือชอบสมาชิกคริสตจักรที่ได้ทำดีกับเขา เพราะถ้าเขาเชื่อพระคริสต์เพราะการที่เราและสมาชิกคริสตจักรทำดีกับเขา แต่ถ้าวันหนึ่งเมื่อเขาไม่ได้เห็นความดีของเรา เขาอาจจะเลิกเป็นคริสเตียนก็ได้ หรือรู้สึกผิดหวังจนเลิกเชื่อพระเจ้าก็ได้
จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องช่วยให้เขาสัมผัสกับความรักเมตตาของพระคริสต์ มิใช่เพียงสัมผัสการทำดีของเราเท่านั้น
แต่การที่เรากระทำกับคนเหล่านี้ด้วยความเคารพนับถือเฉกเช่นเรากระทำกับพระคริสต์ และด้วยความรักเมตตาที่เสียสละและด้วยความอดทนตามน้ำพระทัยของพระคริสต์ และที่สำคัญคือด้วยพระคุณของพระเยซูคริสต์ เราจะเห็นว่าประชาชนคนเหล่านี้จะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าจะหันกลับมาติดตามพระคริสต์หรือไม่ กล่าวคือการที่เขาตัดสินใจติดตามพระคริสต์เพราะชีวิตของเขาเกิดความผูกพันกับพระองค์ และที่แน่นอนตามมาคือ คนเหล่านี้จะเข้าร่วมในพลังการรับใช้พระคริสต์ผ่านพันธกิจการอภิบาลสังคมชุมชน
ในเมื่อเราสำแดงความรักเมตตาของพระคริสต์อย่างไร้เงื่อนไขมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เขายิ่งจะสัมผัสกับความรักเมตตาของพระคริสต์มากยิ่งขึ้น
การหนุนเสริมผู้ที่เรารับใช้ให้มีแผนในชีวิต
กระบวนการทำพันธกิจของเรามุ่งสู่การเข้าถึงชีวิตทั้งชีวิตของผู้คน
(ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ ชีวิตองค์รวม ชีวิตทั้งหมด)
และในการทำงานกับชีวิตเราพยายามร่วมกับคนที่เรารับใช้ในการมองชีวิตอย่างมีแผนรอบด้าน และอย่างเป็นกระบวนการ
รวมถึงการมีชีวิตที่เชื่อศรัทธาในพระคริสต์ และสร้างความคุ้นชินกับการพัฒนาชีวิตอย่างรอบด้าน
ดังนั้น
การทำพันธกิจการรับใช้เพื่อก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งชีวิต หรือ
เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นองค์รวม
จำเป็นที่จะต้องทำพันธกิจนี้ผ่านการขับเคลื่อนพันธกิจคริสตจักรในการอภิบาลชุมชน หรือทำร่วมกับคริสตจักรท้องถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่ง
หรือ หลายแห่ง ทั้งนี้เพราะ
การบ่มเพาะฟูมฟักเมล็ดแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ต้องอาศัย “ชุมชนผู้เชื่อ”
คือคริสตจักร
ที่จะต้องเอาใจใส่ฟูมฟักอภิบาลความเชื่อและแนวทางในการดำเนินชีวิต และเสริมสร้างให้คนๆ นั้นพัฒนาสู่การเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าท่ามกลางชีวิตชุมชนในพระนามของพระเยซูคริสต์
และพร้อมด้วยประสบการณ์ชีวิตในการรับใช้นั้นเองที่เสริมสร้างให้คนๆ นั้นเติบโตขึ้นในพระคริสต์
คือมีชีวิตที่เป็นอย่างพระคริสต์มากขึ้นในแต่ละด้าน ดังนั้น
การทำพันธกิจแบบองค์รวมจึงต้องมีชุมชนคริสตจักรเป็นชุมชนในการบ่มเพาะเสริมสร้างความเชื่อศรัทธา
และ การดำเนินชีวิต และการอุทิศตนเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ และนี่เองงานพันธกิจรับใช้เพื่อก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงจึงไม่ใช่
เอ็นจีโอ หรือองค์กรสังคมสงเคราะห์ หรือหน่วยงานพัฒนาและบริการ และคนที่เข้าไปทำงานพันธกิจในชุมชนก็ไม่ใช่อาสาสมัคร หรือ ผู้ที่มีจิตอาสา
แต่เป็นผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระเจ้าถวายตัวรับใช้พระองค์ท่ามกลางชีวิตในชุมชนในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า เขาเข้าไปในชุมชนเพราะเขากระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า
ถ้าเช่นนั้น
ต้องถามคริสตจักรว่า ทุกวันนี้ ตนได้ทำหน้าที่นี้หรือไม่?
และถ้าจะต้องรับผิดชอบพันธกิจอย่างที่กล่าวนี้ ชุมชนคริสตจักรเองมีความพร้อมหรือไม่? ถ้ายังไม่มีความพร้อม เราจะมีกระบวนการเตรียมและเสริมสร้างความพร้อมและพลังสำหรับการทำพันธกิจนี้ได้อย่างไร?
เมื่อเพื่อนบ้านเปลี่ยนแปลง: โอกาสที่เกิดขึ้นเมื่อเราอยู่ท่ามกลางเพื่อนบ้าน
L. J. Mariano เล่าให้ฟังว่า นอกจากที่ผมต้องรับผิดชอบเป็นผู้อภิบาลกลุ่มอนุชนแล้ว
ผมยังต้องช่วยเป็นพี่เลี้ยงนักศึกษาฝึกงานการทำพันธกิจอภิบาลชีวิตชุมชนและการประกาศในชุมชนแถบชานเมืองเป็นเวลา
10
เดือน ผมและนักศึกษาอยู่ด้วยกันในบ้านเช่าเก่าหลังหนึ่งในชุมชน และเริ่มสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่นๆ ที่อยู่ในแถบนี้ด้วยกัน เราทำงานรับใช้ในท้องถิ่น ร่วมกับการรับใช้ที่ศูนย์พันธกิจเพื่อบริการชุมชน และยังทำงานพันธกิจผู้ลี้ภัย ตลอดจนทำงานในร้านสะดวกซื้อราคาประหยัด ซึ่งเป็นร้านที่หารายได้เพื่อสนับสนุนในการทำพันธกิจด้านการศึกษาและการพัฒนาในชุมชน
ภายหลังเวลาเลิกเรียนที่โรงเรียน เรามีสองโปรแกรมสำหรับเด็ก
เพื่อช่วยเด็กนักเรียนระดับประถมในการทำการบ้าน
โปรแกรมดังกล่าวนักศึกษาฝึกงานร่วมในการรับใช้ด้วย เราต้องการให้โปรแกรมของเรามีพระกิตติคุณเป็นศูนย์กลาง ก่อนจะเริ่มเรียนการทำการบ้าน
เราจะเล่าเรื่องจากพระคัมภีร์สำหรับนักเรียน เป้าหมายของการทำพันธกิจช่วยน้องทำการบ้านนี้ก็เพื่อให้เด็กรู้ว่าพระเยซูคริสต์เป็นใคร
และพระองค์สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างไร และสร้างวัฒนธรรมความสัมพันธ์เชิงบวก และแสดงความขอบคุณกัน ก้าวเล็กๆ เหล่านี้เป็นย่างก้าวที่สำคัญสำหรับชีวิตของเด็กๆ
ด้วยความสัมพันธ์ที่มีต่อกันระหว่างเรากับเด็กนักเรียน
จะเป็นการจุดประกายสู่การมีชีวิตที่จาริกไปสู่เส้นทางแห่งแผ่นดินของพระเจ้า
การรับใช้ด้วยความสัมพันธ์ที่มีกับเด็กในชุมชนทำให้เราสามารถเข้าถึงคนในชุมชนและมีโอกาสที่จะอภิบาลชีวิตของคนในชุมชนนั้น
ด้วยความสัมพันธ์และการรับใช้และบริการตอดจนการอภิบาลดูแลเอาใจใส่ครอบครัวต่างๆ
ที่เป็นเพื่อนบ้านในชุมชน ทำให้เรามีโอกาสเชื่อมเพื่อนบ้านเหล่านี้กับชุมชนผู้เชื่อ
(สมาชิกคริสตจักร)
ผมมีโอกาสชักชวนครอบครัวเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้เคียงกันให้มาประชุมพบปะกัน
และกลายเป็นเวทีที่ผู้คนเข้ามาร่วมประชุมได้แบ่งปันเรื่องที่เป็นความห่วงใยและสนใจ เมื่อเรามาพบปะประชุมกัน เราจะมีโอกาสพูดคุยถึงประเด็นส่วนตัวของพวกเรา และในที่สุดประเด็นเรื่องที่จอดรถ ความปลอดภัยของเด็กๆ ลูกหลานชาวบ้าน
และแม้แต่เรื่องการศึกษาพระคัมภีร์ก็มีผู้นำเสนอด้วย
และเมื่อเราดำเนินชีวิตประจำวันที่สำแดงถึงความรักเมตตาของพระคริสต์ ก็จะมีคนมาถามเกี่ยวกับเรื่องพระเยซูคริสต์ เราก็มีโอกาสแบ่งปัน
แก่นหลักในการรับใช้ที่ได้ใจชุมชน
Mark De Ymaz กล่าวว่า คริสตจักรของเราได้รวมเอาการประกาศพระกิตติคุณเข้าเป็นเนื้อเดียวกับกับการเข้าไปมีส่วนร่วมในชีวิต
และ การให้บริการชุมชน
เป็นงานพันธกิจแห่งชีวิตที่รวมเอาชีวิตทุกด้านทั้งหมด เพราะเราเชื่อว่าคริสตจักรมิใช่เพียงตัวอาคารและสถานที่เท่านั้น เมื่อเรามีมุมมองการทำพันธกิจเช่นนี้ พระกิตติคุณที่ลงไปในชุมชนกลับเป็นที่เคารพและยอมรับมากขึ้นจากชุมชน แทนที่จะเป็นเสียงเยาะเย้ยจากชุมชนที่เราเคยพบเห็นในอดีต
กลุ่มคริสตจักรของเราทำงานด้านแรงงานข้ามชาติ เรามีพระกิตติคุณเป็นแก่นหลักในการทำงานของเรา
เราให้การปรึกษากับประชาชนที่ข้ามประเทศเพื่อมาหางานทำ
แนะนำและช่วยเหลือเขาในกระบวนการการเข้าเมือง ให้การปรึกษาแก่แรงงานหนุ่มสาวในช่วงชีวิตที่พบการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก เอาใจใส่ดูแลแก่แรงงานที่มีอายุ ช่วยพัฒนาฝีมือแรงงานแก่แม่ที่อายุน้อย ให้การเอาใจใส่เด็กที่ตกอยู่ในภาวะที่เสี่ยง
อีกทั้งเราให้ความช่วยเหลือด้านอาหารและเสื้อผ้าแก่ผู้ที่มีความจำเป็นถึงปีละประมาณ
16,000 คน
ที่เราทำเช่นนี้มิใช่เพราะพยายามที่จะทำ “พันธกิจ” แต่เพราะสภาพความจำเป็นต้องการของคนเหล่านี้กลายเป็นความจำเป็นต้องการของเรา
ความเจ็บปวดทนทุกข์ของคนเหล่านี้เป็นความเจ็บปวดที่เราทนทุกข์ร่วมกับเขา
ผลเป็นอย่างไรบ้าง? ผู้คนจำนวนเพิ่มขึ้นจากหลายชาติพันธุ์
จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่หลากหลาย
ได้พบกับพระคริสต์เมื่อเขาได้พบกับความช่วยเหลือ พบกับความหวังในชีวิต และได้รับการเยียวยาบาดแผลในชีวิตผ่านสมาชิกคริสตจักรในกลุ่มทำงาน
การที่คริสตจักรเป็นพยานชีวิตแก่แรงงานข้ามชาติแบบที่พวกเขาสามารถพบเห็นและสัมผัสอย่างเป็นรูปธรรม ตามแบบชีวิตพระคริสต์
ทำให้คริสตจักรเป็นที่รักของผู้คนเหล่านี้ในชุมชน เป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจที่การสำแดงความรักเมตตาเยี่ยงพระคริสต์ทำให้เกิดสิ่งต่างๆ
ขึ้นมากมายในชุมชนที่คริสตจักรทำงาน
รวมทั้งไมตรีจิตที่เกิดขึ้นและมีต่อกันของคนในชุมชน ซึ่งยากที่จะเห็นในชุมชนคนทุกข์ยากทั่วไป
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น