15 มิถุนายน 2555

อะไรคือ “หัวใจ” ของคริสต์ศาสนา?


สายวันนั้น  ศิษยาภิบาลผู้สูงอายุสองสามท่าน   นักเขียนนักศาสนศาสตร์สองท่าน  และผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการวิทยาลัยพระคริสต์ธรรมและเป็นนักศาสนศาสตร์กำลังตีวงสนทนากันอย่างไม่เป็นทางการ   แต่ดูจะเอาจริงเอาจังในการสนทนามากทีเดียว   ประเด็นหลักที่ถูกตั้งขึ้นมาให้ถกกันเพื่อหาคำตอบหนีไม่พ้นประเด็นทางคริสต์ศาสนศาสตร์ครับ

อะไรคือ “หัวใจ” หรือ “เอกลักษณ์เฉพาะ” ของคริสต์ศาสนา?  

บางคนก็บอกว่า ความเป็นบุคคลของพระเจ้า ที่ทำให้คริสต์ศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่น   ในขณะที่บางคนมองว่าลักษณะเฉพาะของคริสต์ศาสนาคือ การที่พระเจ้าทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์  ในสภาพของพระเยซูคริสต์ที่มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมนุษย์   เพื่อสื่อสารพระประสงค์ของพระเจ้าให้มนุษย์ได้รู้  ซึ่งพระเยซูคริสต์มีชีวิตที่เป็นทั้งพระเจ้าจริงและในเวลาเดียวกันเป็นมนุษย์อย่างเต็มตัวด้วย  

อีกท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า  เอกลักษณ์ของคริสต์ศาสนาคือ การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์   พระเจ้าทรงมีชัยเหนือความตาย  

สายตาทุกคู่มองไปที่ ซี.เอ็ส. เลวีส (C.S. Lewis) ผู้เข้ามาร่วมวงคนล่าสุด   แล้วมีคนหนึ่งถามท่านว่า  แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้   ซี.เอ็ส. เลวีส เอ่ยขึ้นว่า  เรื่องนี้ไม่ยากครับ   ลักษณะเฉพาะของคริสต์ศาสนาคือ “พระคุณพระเจ้า”  ครับ

นักเขียนนักศาสนศาสตร์ชาวอังกฤษท่านนี้พูดถูกครับ  หัวใจแก่นสารของคริสต์ศาสนา  เอกลักษณ์หลักเชื่อศรัทธาของคริสตชนคือ “พระคุณพระเจ้า”  พระคุณของพระเจ้าคือของประทานที่พระเจ้าให้แก่มนุษย์อย่างเราท่านที่ไม่สมควรจะได้รับพระคุณที่พระเจ้าประทานให้นี้เลย   ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่ได้รับ “พระคุณพระเจ้า” จึงซาบซึ้งในความรักของพระองค์  ทำให้คนๆ นั้นมอบกายถวายชีวิต  ถวายความจงรักภักดี  ความสัตย์ซื่อ  สวามิภักดิ์ทำทุกอย่างที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงมีพระคุณสูงยิ่งต่อชีวิตของตน  และยื่นพระคุณพระเจ้าไปยังชีวิตคนรอบข้าง

“พระคุณพระเจ้า” เป็นพลังดึงดูดให้ผู้คนเข้าใกล้และสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า   พระคุณนี้เองที่ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าถึงความรักเมตตาอันเปี่ยมล้นล้ำค่าของพระองค์   ดังนั้น พระคุณพระเจ้านี้เองที่เป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน   ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีจิตใจที่แข็งกระด้างเพียงใดก็ตามให้เป็นใจเนื้อที่มีความรู้สึกและนิ่มนวล   พระคุณนี้เองที่เป็นพลังเปลี่ยนจิตวิญญาณที่ไม่อีนังขังขอบ ไม่แยแส  ไม่สนใจใยดีใคร ให้กลายเป็นจิตใจที่ที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตากรุณา

ในเมื่อพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงเป็นผู้ที่สมบูรณ์เปี่ยมล้นด้วยความรักเมตตา  พระองค์ติดต่อสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษย์ผ่านพลังแห่งพระคุณของพระองค์   ดังนั้น “พระคุณพระเจ้า” จึงเป็นแม่แบบของความสัมพันธ์สำหรับเราที่จะมีความสัมพันธ์รักเมตตากับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ   นั่นหมายความว่า รากฐานในการดำเนินชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์คือการดำเนินชีวิตตาม “พระคุณพระเจ้า” ที่เป็นแม่แบบในการดำเนินชีวิตประจำวันด้านต่างๆ ของเรา

นอกจาก “พระคุณพระเจ้า” เป็นรากฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชนแล้ว   “พระคุณพระเจ้า” ยังเป็นรากฐานในการที่คริสตชนจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน   อีกทั้งเป็นรากฐานในการความสัมพันธ์ที่คริสตชนจะมีต่อผู้คนรอบข้าง  และ ผู้คนในสังคมโลก

“พระคุณพระเจ้า” ยังเป็นรากฐานในการปกครองชุมชนสังคม  สำหรับการปกครองแบบคริสตชนแล้ว มิใช่การปกครองแบบ “ประชาธิปไตย”  ที่มีเสียงของประชาชนเป็นใหญ่  และเสียงข้างมากเป็นอำนาจตัดสิน   แต่การปกครองของคริสตชนนั้นต้องหยั่งรากในการปกครองแบบ “พระคุณพระเจ้าธิปไตย”   การปกครองด้วยแม่แบบแห่งพระคุณเมตตากรุณาของพระเจ้า   ที่คำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นหลักเกณฑ์ในการปกครอง   มิใช่เสียงข้างมากลากไป

“พระคุณพระเจ้า” ยังเป็นรากฐานเศรษฐกิจ หรือ การกินการอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชนสังคม  สำหรับคริสตชนแล้วระบบเศรษฐกิจคริสตชนมิใช่  “ทุนนิยม”  “บริโภคนิยม”  และก็มิใช่ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม  หรือเศรษฐกิจพอเพียง   แต่เศรษฐกิจของคริสตชนยืนบนรากฐาน “เศรษฐกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า”  เพราะคริสตชนเชื่อว่า  ทุกสิ่งที่เราทำมาหามาได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม  นั่นเป็นของประทานจากพระคุณของพระเจ้า   บนรากฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชน  ที่เรามีกินมีอยู่ และ อยู่รอดได้นั้น  เพราะเป็นความรักเมตตา  การเอาใจใส่  และเป็นการเลี้ยงดูจากพระเจ้า   ที่เราอยู่รอดได้จนถึงวันนี้ก็เพราะ “พระคุณของพระเจ้า”   และเมื่อเราสำนึกในความรักเมตตาของพระองค์ที่ทรงประทานสิ่งต่างๆ แก่เราให้เราอยู่รอด   พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราแบ่งปันพระพรที่เราได้รับจากพระเจ้าแก่คนรอบข้าง และ ผู้คนในชุมชนสังคมโลกด้วย   มิใช่เหลือกินเหลือใช้แล้วจึงแบ่ง  มิใช่เก็บสะสมกักตุน  แต่มีจิตใจรักเมตตาและเอาใจใส่คนอื่นแบ่งปันพระคุณที่ได้รับจากพระเจ้าแก่คนที่ขัดสน ต้องการ หิวโหยอย่างไรเงื่อนไข (ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนั้นเป็นสีอะไร  เป็นสมาชิกพรรคไหน  หรือเป็นคนดีหรือคนชั่ว  เหมาะสมหรือสมควรจะได้รับหรือไม่  เราต้องไม่ลืมว่า พระคุณพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นให้แก่เราทั้งๆ ที่เราไม่สมควรจะได้รับ)  พระเยซูคริสต์สอนว่า  “...(พระบิดา)ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแก่คนชั่วและคนดี  และทรงให้ฝนตกแก่ทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรม” (มัทธิว 5:45 อมตธรรม)   ดังนั้นเศรษฐกิจที่แบ่งปันจึงมิใช่เพราะเราเป็นคนใจดีมีเมตตา หรือใจบุญ   แต่เพราะเราสำนึกในพระคุณพระเจ้าต่างหาก

ประการหนึ่งที่เราละเว้นไปจึงทำให้เราต้องประสบปัญหามากมายในการเลี้ยงลูกปัจจุบันนี้  ผมพบพ่อแม่ทุกภูมิภาคต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า  เมื่อไหร่จะตั้งโรงเรียนพ่อแม่  ถ้ามีเมื่อไหร่จะขอเข้าไปเรียนด้วยคน   เพราะทุกวันนี้ไม่รู้จะเลี้ยงลูกอย่างไรดี!   การเลี้ยงลูกหลานในครอบครัวคริสตชนได้ละทิ้ง หรือ คิดไม่ถึงการเลี้ยงลูกบนรากฐานแห่งพระคุณพระเจ้า   เรื่องนี้คริสตจักรคงต้องเอาใจใส่จริงๆ จังๆ อย่างรีบด่วนในปัจจุบันนี้   และนี่คือความจริงที่เราคริสตชนจะต้องยอมรับ

เปาโลกล่าวกับผู้เชื่อในคริสตจักรเอเฟซัสว่า   พระเจ้ามิได้ประทานสิ่งที่สมควรที่เราจะได้รับ   แต่พระองค์ประทานสิ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราสมควรได้รับ   ท่านกล่าวว่า
“ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในการล่วงละเมิดและในบาปทั้งหลาย
ซึ่งท่านเคยทำเมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ และ
วิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศซึ่งเป็นวิญญาณ บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง
ครั้งหนึ่งเราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้นบำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา
สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย
เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น” (เอเฟซัส 2:1-3 อมตธรรม)

เปาโลบอกว่า แท้จริงแล้วชีวิตของเราตกอยู่ใต้อำนาจแห่งวิญญาณชั่ว   แต่พระเจ้ายังทรงรักเมตตา ช่วยเหลือ และอภัยแก่เรา  ซึ่งเป็นความรักเมตตาที่เราไม่สมควรจะได้รับ  แต่พระเจ้าทรงเต็มใจจะให้  เปาโลกล่าวต่อไปว่า
“แต่เนื่องจากความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา
พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม 
จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในความบาป
คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ”  (ข้อ 4-5 อมตธรรม)

พระเจ้าทรงกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่ชีวิตของเราสมควรจะได้รับ   และเปาโลลงท้ายในข้อ 5 ว่า  คือท่านได้รับความรอดโดยพระคุณ   ที่เป็นพระคุณของพระเจ้าเพราะเป็นพระเมตตากรุณาที่เปี่ยมล้นช่วยกู้ในชีวิตของเราทั้งที่เราไม่สมควรจะได้รับ   เป็นพระคุณเพราะนี่เป็นโอกาสที่จะได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้า  ที่มาจากใจรักเมตตาของพระองค์  นี่คือพระคุณของพระเจ้า 

ด้วยความรักเมตตาที่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา   ในวันนี้ให้เราแสวงหาโอกาสที่จะให้ความรักเมตตาแก่คนที่เราพบเห็นแม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่สมควรจะได้รับความรักเมตตาจากเราก็ตาม   ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนในครอบครัว  ในที่ทำงาน  เพื่อนฝูง  หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง   หรือแม้แต่ศัตรูคู่อาฆาต ที่กระทำผิด  สร้างความเจ็บปวดในชีวิตของเราก็ตาม   ให้เราสัมพันธ์กับคนๆ นั้นด้วยความรักเมตตาแบบ “พระคุณของพระเจ้า”

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

3 ความคิดเห็น: