สายวันนั้น ศิษยาภิบาลผู้สูงอายุสองสามท่าน นักเขียนนักศาสนศาสตร์สองท่าน และผู้ที่มีชื่อเสียงในวงการวิทยาลัยพระคริสต์ธรรมและเป็นนักศาสนศาสตร์กำลังตีวงสนทนากันอย่างไม่เป็นทางการ แต่ดูจะเอาจริงเอาจังในการสนทนามากทีเดียว ประเด็นหลักที่ถูกตั้งขึ้นมาให้ถกกันเพื่อหาคำตอบหนีไม่พ้นประเด็นทางคริสต์ศาสนศาสตร์ครับ
อะไรคือ “หัวใจ” หรือ “เอกลักษณ์เฉพาะ”
ของคริสต์ศาสนา?
บางคนก็บอกว่า ความเป็นบุคคลของพระเจ้า ที่ทำให้คริสต์ศาสนาแตกต่างจากศาสนาอื่น ในขณะที่บางคนมองว่าลักษณะเฉพาะของคริสต์ศาสนาคือ
การที่พระเจ้าทรงมาบังเกิดเป็นมนุษย์
ในสภาพของพระเยซูคริสต์ที่มาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับมนุษย์ เพื่อสื่อสารพระประสงค์ของพระเจ้าให้มนุษย์ได้รู้
ซึ่งพระเยซูคริสต์มีชีวิตที่เป็นทั้งพระเจ้าจริงและในเวลาเดียวกันเป็นมนุษย์อย่างเต็มตัวด้วย
อีกท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า เอกลักษณ์ของคริสต์ศาสนาคือ
การเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์
พระเจ้าทรงมีชัยเหนือความตาย
สายตาทุกคู่มองไปที่ ซี.เอ็ส. เลวีส (C.S.
Lewis) ผู้เข้ามาร่วมวงคนล่าสุด
แล้วมีคนหนึ่งถามท่านว่า
แล้วท่านคิดเห็นอย่างไรในเรื่องนี้
ซี.เอ็ส. เลวีส เอ่ยขึ้นว่า
เรื่องนี้ไม่ยากครับ
ลักษณะเฉพาะของคริสต์ศาสนาคือ “พระคุณพระเจ้า” ครับ
นักเขียนนักศาสนศาสตร์ชาวอังกฤษท่านนี้พูดถูกครับ หัวใจแก่นสารของคริสต์ศาสนา เอกลักษณ์หลักเชื่อศรัทธาของคริสตชนคือ
“พระคุณพระเจ้า” พระคุณของพระเจ้าคือของประทานที่พระเจ้าให้แก่มนุษย์อย่างเราท่านที่ไม่สมควรจะได้รับพระคุณที่พระเจ้าประทานให้นี้เลย ด้วยเหตุนี้เองผู้ที่ได้รับ “พระคุณพระเจ้า”
จึงซาบซึ้งในความรักของพระองค์ ทำให้คนๆ นั้นมอบกายถวายชีวิต ถวายความจงรักภักดี ความสัตย์ซื่อ
สวามิภักดิ์ทำทุกอย่างที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าผู้ทรงมีพระคุณสูงยิ่งต่อชีวิตของตน และยื่นพระคุณพระเจ้าไปยังชีวิตคนรอบข้าง
“พระคุณพระเจ้า”
เป็นพลังดึงดูดให้ผู้คนเข้าใกล้และสัมพันธ์ใกล้ชิดกับพระเจ้า
พระคุณนี้เองที่ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าถึงความรักเมตตาอันเปี่ยมล้นล้ำค่าของพระองค์ ดังนั้น
พระคุณพระเจ้านี้เองที่เป็นพลังที่เปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้คน ไม่ว่าคนๆ นั้นจะมีจิตใจที่แข็งกระด้างเพียงใดก็ตามให้เป็นใจเนื้อที่มีความรู้สึกและนิ่มนวล
พระคุณนี้เองที่เป็นพลังเปลี่ยนจิตวิญญาณที่ไม่อีนังขังขอบ ไม่แยแส ไม่สนใจใยดีใคร ให้กลายเป็นจิตใจที่ที่เปี่ยมล้นด้วยเมตตากรุณา
ในเมื่อพระเจ้าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ทรงเป็นผู้ที่สมบูรณ์เปี่ยมล้นด้วยความรักเมตตา
พระองค์ติดต่อสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมนุษย์ผ่านพลังแห่งพระคุณของพระองค์ ดังนั้น “พระคุณพระเจ้า” จึงเป็นแม่แบบของความสัมพันธ์สำหรับเราที่จะมีความสัมพันธ์รักเมตตากับเพื่อนมนุษย์คนอื่นๆ นั่นหมายความว่า
รากฐานในการดำเนินชีวิตที่เป็นสาวกของพระคริสต์คือการดำเนินชีวิตตาม
“พระคุณพระเจ้า” ที่เป็นแม่แบบในการดำเนินชีวิตประจำวันด้านต่างๆ ของเรา
นอกจาก “พระคุณพระเจ้า”
เป็นรากฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชนแล้ว
“พระคุณพระเจ้า” ยังเป็นรากฐานในการที่คริสตชนจะมีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน อีกทั้งเป็นรากฐานในการความสัมพันธ์ที่คริสตชนจะมีต่อผู้คนรอบข้าง และ ผู้คนในสังคมโลก
“พระคุณพระเจ้า” ยังเป็นรากฐานในการปกครองชุมชนสังคม สำหรับการปกครองแบบคริสตชนแล้ว มิใช่การปกครองแบบ
“ประชาธิปไตย”
ที่มีเสียงของประชาชนเป็นใหญ่
และเสียงข้างมากเป็นอำนาจตัดสิน
แต่การปกครองของคริสตชนนั้นต้องหยั่งรากในการปกครองแบบ
“พระคุณพระเจ้าธิปไตย”
การปกครองด้วยแม่แบบแห่งพระคุณเมตตากรุณาของพระเจ้า ที่คำนึงถึงพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นหลักเกณฑ์ในการปกครอง มิใช่เสียงข้างมากลากไป
“พระคุณพระเจ้า” ยังเป็นรากฐานเศรษฐกิจ หรือ
การกินการอยู่และคุณภาพชีวิตของผู้คนในชุมชนสังคม
สำหรับคริสตชนแล้วระบบเศรษฐกิจคริสตชนมิใช่ “ทุนนิยม”
“บริโภคนิยม”
และก็มิใช่ระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยม
หรือเศรษฐกิจพอเพียง แต่เศรษฐกิจของคริสตชนยืนบนรากฐาน
“เศรษฐกิจแห่งพระคุณของพระเจ้า”
เพราะคริสตชนเชื่อว่า
ทุกสิ่งที่เราทำมาหามาได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม นั่นเป็นของประทานจากพระคุณของพระเจ้า บนรากฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชน ที่เรามีกินมีอยู่ และ อยู่รอดได้นั้น เพราะเป็นความรักเมตตา การเอาใจใส่
และเป็นการเลี้ยงดูจากพระเจ้า
ที่เราอยู่รอดได้จนถึงวันนี้ก็เพราะ “พระคุณของพระเจ้า”
และเมื่อเราสำนึกในความรักเมตตาของพระองค์ที่ทรงประทานสิ่งต่างๆ แก่เราให้เราอยู่รอด
พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราแบ่งปันพระพรที่เราได้รับจากพระเจ้าแก่คนรอบข้าง
และ ผู้คนในชุมชนสังคมโลกด้วย
มิใช่เหลือกินเหลือใช้แล้วจึงแบ่ง มิใช่เก็บสะสมกักตุน
แต่มีจิตใจรักเมตตาและเอาใจใส่คนอื่นแบ่งปันพระคุณที่ได้รับจากพระเจ้าแก่คนที่ขัดสน
ต้องการ หิวโหยอย่างไรเงื่อนไข (ไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนนั้นเป็นสีอะไร เป็นสมาชิกพรรคไหน หรือเป็นคนดีหรือคนชั่ว เหมาะสมหรือสมควรจะได้รับหรือไม่ เราต้องไม่ลืมว่า
พระคุณพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นให้แก่เราทั้งๆ ที่เราไม่สมควรจะได้รับ) พระเยซูคริสต์สอนว่า “...(พระบิดา)ทรงให้ดวงอาทิตย์ขึ้นแก่คนชั่วและคนดี และทรงให้ฝนตกแก่ทั้งคนชอบธรรมและคนอธรรม”
(มัทธิว 5:45 อมตธรรม)
ดังนั้นเศรษฐกิจที่แบ่งปันจึงมิใช่เพราะเราเป็นคนใจดีมีเมตตา
หรือใจบุญ
แต่เพราะเราสำนึกในพระคุณพระเจ้าต่างหาก
ประการหนึ่งที่เราละเว้นไปจึงทำให้เราต้องประสบปัญหามากมายในการเลี้ยงลูกปัจจุบันนี้
ผมพบพ่อแม่ทุกภูมิภาคต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เมื่อไหร่จะตั้งโรงเรียนพ่อแม่ ถ้ามีเมื่อไหร่จะขอเข้าไปเรียนด้วยคน เพราะทุกวันนี้ไม่รู้จะเลี้ยงลูกอย่างไรดี! การเลี้ยงลูกหลานในครอบครัวคริสตชนได้ละทิ้ง
หรือ คิดไม่ถึงการเลี้ยงลูกบนรากฐานแห่งพระคุณพระเจ้า เรื่องนี้คริสตจักรคงต้องเอาใจใส่จริงๆ จังๆ อย่างรีบด่วนในปัจจุบันนี้ และนี่คือความจริงที่เราคริสตชนจะต้องยอมรับ
เปาโลกล่าวกับผู้เชื่อในคริสตจักรเอเฟซัสว่า พระเจ้ามิได้ประทานสิ่งที่สมควรที่เราจะได้รับ แต่พระองค์ประทานสิ่งตรงกันข้ามกับสิ่งที่เราสมควรได้รับ ท่านกล่าวว่า
“ส่วนท่านทั้งหลายได้ตายแล้วในการล่วงละเมิดและในบาปทั้งหลาย
ซึ่งท่านเคยทำเมื่อดำเนินชีวิตตามวิถีของโลกนี้ และ
วิถีของเจ้าแห่งย่านฟ้าอากาศซึ่งเป็นวิญญาณ บัดนี้ทำการอยู่ในบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อฟัง
ครั้งหนึ่งเราเคยใช้ชีวิตร่วมกับพวกนั้นบำเรอตัณหาแห่งวิสัยบาปของเรา
สนองความอยากกับความคิดของมันตามวิสัย
เราจึงควรแก่พระพิโรธเหมือนคนอื่น” (เอเฟซัส 2:1-3 อมตธรรม)
เปาโลบอกว่า
แท้จริงแล้วชีวิตของเราตกอยู่ใต้อำนาจแห่งวิญญาณชั่ว แต่พระเจ้ายังทรงรักเมตตา ช่วยเหลือ
และอภัยแก่เรา
ซึ่งเป็นความรักเมตตาที่เราไม่สมควรจะได้รับ แต่พระเจ้าทรงเต็มใจจะให้ เปาโลกล่าวต่อไปว่า
“แต่เนื่องจากความรักใหญ่หลวงที่ทรงมีต่อเรา
พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยพระเมตตาอันอุดม
จึงทรงให้เรามีชีวิตอยู่กับพระคริสต์แม้เมื่อเราได้ตายแล้วในความบาป
คือท่านทั้งหลายได้รับความรอดโดยพระคุณ” (ข้อ 4-5 อมตธรรม)
พระเจ้าทรงกระทำตรงกันข้ามกับสิ่งที่ชีวิตของเราสมควรจะได้รับ และเปาโลลงท้ายในข้อ 5
ว่า คือท่านได้รับความรอดโดยพระคุณ ที่เป็นพระคุณของพระเจ้าเพราะเป็นพระเมตตากรุณาที่เปี่ยมล้นช่วยกู้ในชีวิตของเราทั้งที่เราไม่สมควรจะได้รับ
เป็นพระคุณเพราะนี่เป็นโอกาสที่จะได้รับชีวิตใหม่จากพระเจ้า ที่มาจากใจรักเมตตาของพระองค์ นี่คือพระคุณของพระเจ้า
ด้วยความรักเมตตาที่เป็นพระคุณของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตของเรา
ในวันนี้ให้เราแสวงหาโอกาสที่จะให้ความรักเมตตาแก่คนที่เราพบเห็นแม้ว่าเขาคนนั้นจะไม่สมควรจะได้รับความรักเมตตาจากเราก็ตาม ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นคนในครอบครัว ในที่ทำงาน
เพื่อนฝูง
หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง
หรือแม้แต่ศัตรูคู่อาฆาต ที่กระทำผิด
สร้างความเจ็บปวดในชีวิตของเราก็ตาม
ให้เราสัมพันธ์กับคนๆ นั้นด้วยความรักเมตตาแบบ “พระคุณของพระเจ้า”
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ได้ความรู้มากมาย
ตอบลบยาวเกินนนนนนนนนนนนนนนนน
ตอบลบแต่ก็อ่านหมดนะ
ลบ