บนเส้นทาง “จากรางหญ้าสู่กางเขน” หรือ “จากเบธเลเฮมสู่กลโกธา” ไม่มีทางลัด หรือ ทางเบี่ยง และเมื่อใครตัดสินใจที่จะเดินบนเส้นทางชีวิตเส้นนี้ เขาต้องเดินให้สุดซอย และเส้นทางชีวิตเส้นนี้เองที่พระคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์และดำเนินชีวิตบนเส้นทางนี้จนสุดซอย นี่คือเส้นทางที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือกและได้เดินให้เราเห็นเป็นแบบอย่างที่ชัดเจน ถ้าใครก็ตามที่ต้องการให้พระคริสต์บังเกิดในชีวิตของตน คน ๆ นั้นจะต้องยอมดำเนินชีวิตประจำวันบนเส้นทางนี้ โดยไม่เบี่ยง เลี่ยง และลัด และไปจนสุดซอยอย่างพระคริสต์
“ขณะเขาทั้งสองอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะคลอดบุตร
นางจึงคลอดบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า
เพราะว่าไม่มีที่ว่างในโรงแรมสำหรับพวกเขา” (ลูกา 2:6-7 มตฐ.)
เราอาจจะคิดว่า ถ้าพระเจ้าทรงมีอำนาจปกครองโลกทั้งใบนี้ จนสามารถใช้ให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวเพื่อนำให้มารีย์และโยเซฟต้องเดินทางมาที่เบธเลเฮม
แล้วมาประสูติบุตรชายหัวปีที่นั่นตามคำเผยพระวจนะล่วงหน้า
พระองค์ก็น่าจะมองหาและจัดเตรียมสักห้องในบ้านพักสำหรับมารีย์และโยเซฟได้
ใช่ครับ...แน่ยิ่งกว่าแน่ว่า
พระเจ้าจะทำเช่นได้อย่างแน่นอน! มากกว่านั้นอีก พระองค์อาจจะจัดการให้พระเยซูไปเกิดในบ้านของเศรษฐีก็ได้
เพราะพระคัมภีร์บอกว่า พระองค์สามารถเปลี่ยนก้อนหินในทะเลทรายให้เป็นขนมปัง พระองค์สามารถสั่งกองทัพทูตสวรรค์หมื่นคนที่มาช่วยพระเยซูคริสต์ที่เกทเสมนี
พระเยซูคริสต์สามารถลงมาจากกางเขนที่ถูกตรึงและช่วยตนเองให้รอดจากการประหารนั้น แต่ทั้งสิ้นทั้งปวงไม่ได้อยู่ที่ประเด็นว่า
“พระเจ้าสามารถทำอะไรได้บ้าง”
แต่ประเด็นสำคัญคือ “พระองค์จะทำอะไรและไม่ทำอะไร” ต่างหาก
พระประสงค์ของพระเจ้า ต้องการให้พระเยซูคริสต์ที่มีทั้งฐานะความเป็นพระเจ้า
เท่าเทียมกับพระเจ้า พระผู้สร้างและเจ้าของสารพัดสิ่งทั้งโลกและจักรวาลที่พระเจ้าทรงสร้าง
แต่ต้องการให้พระเยซูมาเกิดเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดาคนหนึ่ง ยิ่งกว่านั้นเป็นปุถุชนคนชั้นล่างที่ยากไร้และยากจน
“เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลาย” (2 โครินธ์ 8:9 มตฐ.)
แม้ว่าพระเจ้าจะมีอำนาจล้นฟ้าท่วมแผ่นดิน แต่เส้นทางไปสู่กางเขนที่ภูเขากะโหลกศีรษะเริ่มต้นที่
“รางหญ้า” พร้อมกับสัญญาณชัดเจนว่า “เส้นทางนี้ไม่มีทางเลี่ยง หรือ ทางเบี่ยง” และจบลงด้วยการถูกถ่มน้ำลายรด
และเสียงเย้ยหยัน เป็นเส้นทางที่เริ่มต้นด้วย “ยืมรางหญ้าของสัตว์เลี้ยง” ต่างเปลนอนของทารกน้อย
และจบลงด้วย การยืมใช้หลุมฝังศพของคนอื่นในการฝังร่างที่หมดลมหายใจ เริ่มต้นด้วยการถูกห่อด้วยผ้าอ้อมและนอนในรางหญ้า
แล้วจบลงด้วยผ้าป่านพันร่างอันเปลือยเปล่าของพระเยซูคริสต์
เราต้องไม่ลืมคำกล่าวของพระเยซูคริสต์ที่ว่า
“หากผู้ใดปรารถนาจะตามเรามา เขาต้องปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวัน
และตามเรามา...” (ลูกา 9:23 อมธ.)
บนเส้นทางจากรางหญ้าสู่กางเขน เสียงยังก้องในโสตประสาทของคนที่ร่วมเดินบนเส้นทางนั้นว่า
"จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่พวกท่านไว้ว่า ‘บ่าวย่อมไม่เหนือกว่านายของตน’
ถ้าเขาข่มเหงเราพวกเขาย่อมจะข่มเหงพวกท่านด้วย...” (ยอห์น 15:20 อมธ.)
ขณะที่เดินไปตามทาง
มีชายคนหนึ่งมาทูลพระองค์ด้วยความกระตือรือร้นว่า
“ข้าพระองค์จะติดตามพระองค์ไม่ว่าจะทรงไปยังที่ใด” พระเยซูตรัสตอบว่า
“สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ”
(ลูกา 9:57-58 อมธ.)
ใช่...
พระเจ้าสามารถที่จะทำให้พระเยซูมีที่ประสูติที่ดีกว่า เหมาะสมกว่า
และสะดวกกว่าที่รางหญ้า แต่นั่นเป็นทางเบี่ยง หรือ ทางเลี่ยง ที่จะเดินไปสู่
“กลโกธา” หรือ ภูเขากะโหลกศีรษะ
แล้ว “ฐานเชื่อกระบวนคิด” แบบพระคริสต์อย่างข้างต้นนี้ เราจะยอมรับให้เป็นฐานเชื่อกระบวนคิดของเรา
ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้หรือไม่? ถ้าได้ แสดงว่าพระคริสต์ได้เริ่มบังเกิดในชีวิตของเราแล้ว
ถ้าใครก็ตามที่ต้องการให้พระคริสต์บังเกิดในชีวิตของตน คน ๆ นั้นจะต้องยอมดำเนินชีวิตประจำวันบนเส้นทางนี้ โดยไม่เบี่ยง เลี่ยง และลัด และไปจนสุดซอยอย่างพระคริสต์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย
สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น