11 ธันวาคม 2563

จำเป็นด้วยหรือที่พระคริสต์ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์?

ครั้งเมื่อผมเป็นนักศึกษาพระคริสต์ธรรม และร่วมในทีมฟื้นฟูของพระคริสต์ธรรม ที่โรงเรียนดาราวิทยาลัย และจะมีช่วงหนึ่งที่อาจารย์และนักศึกษาจะแยกย้ายไปเข้าชั้นเรียนต่าง ๆ เพื่อสนทนาและตอบคำถามของนักเรียนเกี่ยวกับชีวิตและคริสต์ศาสนา ในชั้นเรียนหนึ่ง มีนักเรียนคนหนึ่งลุกขึ้นถามผมตรง ๆ ว่า ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์? (ปัจจุบัน นักเรียนท่านนี้ได้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก)

ใช่ถ้าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าก็มีอำนาจล้นฟ้าจะทำจะเสกอะไรก็ได้ แล้วทำไมต้องมาเกิดเป็นมนุษย์? พระเจ้าได้ประทานสติปัญญาแก่ผมในตอนนั้น ผมตอบไปว่า วันหนึ่งผมเห็นกองทัพมดเดินตัดถนนแล้วก็ถูกคนถูกรถเหยียบ และ ทับตายจำนวนมาก แล้วถ้าผมต้องการบอกบรรดามด ๆ ทั้งหลายว่าอย่าเดินตัดผ่านกลางถนน ผมควรทำอย่างไรดี? 

การสนทนาออกรสชาติอย่างมาก และมีข้อเสนอหนึ่งว่า พี่ก็ต้องไปเกิดเป็นมดซิ จะได้พูดภาษามดได้ แล้วบอกบรรดามด ๆ ทั้งหลายว่าควรเลี่ยงทางที่กำลังเดินไปใช้ทางอื่นอย่างไร

โอ้...คำตอบนี้คมชัดมากครับ แม้ดูเหมือนจะตอบแบบประชดติดตลกเรียกเสียงฮาจากชั้นเรียนได้ดังมิใช่น้อย แต่ผมก็ต้องขอบคุณนักเรียนคนนั้น ผมก็สวมรอยต่อไปว่า ก็เพราะพระเจ้าต้องการสื่อสารกับมนุษย์อย่างรู้เรื่องเข้าใจนั่นซิ พระเจ้าจึงต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อสื่อสารกับมนุษย์ได้รู้เรื่อง ชัดเจน ลึกซึ้ง

“พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียวผู้ทรงมาจากพระบิดา” (ยอห์น 1:14 อมธ.)

ท่านเคยมีคำถามในใจเช่นนี้ไหม...  จำเป็นด้วยหรือที่พระเยซูคริสต์ผู้เป็นพระเจ้าต้องมาเกิดเป็นมนุษย์? ทำไมผู้ที่สร้างทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกต้องมาเกิดเป็นปุถุชนคนธรรมดา? แต่ด้วยความเชื่อศรัทธาผมขอประมวลจุดยืนทางความเชื่อตอบในเรื่องนี้เป็น 7 ประการด้วยกัน

1. เพื่อสำแดงพระเจ้าพระบิดาให้ประจักษ์

“ข้าแต่พระบิดาผู้ชอบธรรม แม้โลกไม่รู้จักพระองค์แต่ข้าพระองค์รู้จักพระองค์ และพวกเขาก็รู้ว่าพระองค์ทรงส่งข้าพระองค์มา  ข้าพระองค์ได้ทำให้พวกเขารู้จักพระองค์และจะทำให้พระองค์ทรงเป็นที่รู้จักต่อไปอีก เพื่อความรักซึ่งพระองค์ทรงมีต่อข้าพระองค์จะอยู่ในพวกเขาและเพื่อข้าพระองค์เองจะอยู่ในพวกเขา”  (ยอห์น 17:25-26 อมธ.)

สิ่งสำคัญมากประการหนึ่งของการที่พระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็เพื่อที่จะสำแดง หรือ เปิดเผยให้มนุษย์ได้เห็นและเข้าใจอย่างถูกต้องลึกซึ้งถึงพระลักษณะที่สำคัญของพระบิดา พระลักษณะที่ว่านี้คือ ความรักเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ จากภาพลักษณ์และความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้าของอิสราเอลก่อนพระเยซูคริสต์นั้น เป็นพระเจ้าที่เต็มไปด้วยฤทธิ์เดช ทรงไว้ซึ่งอำนาจ และ เป็นพระเจ้าที่บริสุทธิ์สุด ซึ่งมนุษย์ปุถุชนคนเชื่อทั่วไปยากที่จะเข้าถึงพระองค์   ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์จึงถูกเข้าใจและเชื่อว่าพระเจ้ากับมนุษย์อยู่ห่างไกลกัน   แต่เมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ได้สำแดง หรือ เปิดเผยให้ผู้คนมีฐานเชื่อกระบวนคิดใหม่เกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงอิทธิฤทธิ์ว่าเป็น “พระบิดา” และสอนให้สาวกอธิษฐานต่อ “พระบิดา” ซึ่งพระลักษณะเช่นนี้ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ได้ใกล้ชิดสนิทแบบ “พ่อกับลูก” นี่ต้องบอกว่า การมาเกิดเป็นมนุษย์ของพระเยซูคริสต์ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ (paradigm shift) ในความเชื่อของอิสราเอลใหม่ พระเจ้าจะเป็นพ่อของเรา และ เราเป็นลูกของพระองค์

2. เพื่อเป็นแบบอย่างชีวิต

“เราได้วางแบบอย่างไว้เพื่อพวกท่านจะทำเหมือนที่เราได้ทำเพื่อพวกท่าน” (ยอห์น 13:15 อมธ.)

พระเยซูคริสต์ใช้ชีวิตในโลกนี้ประมาณ 33 ปี พระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างเราท่าน โดยเข้ามาในโลกด้วยการเกิดเป็นทารก เติบโตเป็นเด็กน้อย พัฒนาไปสู่วัยรุ่น และเจริญวัยเป็นผู้ใหญ่เหมือนมนุษย์ปุถุชนคนทั่วไป พระองค์ใช้เวลาประมาณ 3 ปีในการทำงานรับใช้ ถูกประหารให้สิ้นชีวิต แต่พระองค์เป็นขึ้นจากความตาย

ในช่วงเวลาของการทำงานพันธกิจบนโลกนี้ พระองค์วางแบบอย่างการดำเนินชีวิตสำหรับคนที่ติดตามพระองค์และสำหรับเราด้วย พระองค์วางแบบอย่างว่าจะอธิษฐานอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างไร จะมีปฏิกิริยาตอบโต้อย่างไรกับคนที่ต่อต้านเรา สอนอย่างไร รักเมตตาคนอื่นอย่างไร   จะสำแดงความเมตตากรุณาอย่างไร ยกโทษคนอื่นและศัตรูอย่างไร กล่าวคือ พระองค์ได้แสดงแบบอย่างทุกสิ่งที่เราจำเป็นจะต้องรู้ว่าจะดำเนินในชีวิตนี้อย่างไร พระองค์ได้เป็นแบบอย่างการดำเนินชีวิตที่สำคัญและยิ่งใหญ่สำหรับเราทุกคน และถ้าพระเยซูคริสต์ไม่บังเกิดเป็นมนุษย์ก็ยากที่จะทำสิ่งนี้ได้

3. ไถ่เราพ้นจากอำนาจของคำสาปแช่ง

“พระคริสต์ได้ทรงไถ่เราพ้นจากคำสาปแช่งของบทบัญญัติ โดยทรงรับคำสาปแช่งแทนเรา เนื่องจากมีเขียนไว้ว่า “ผู้ใดถูกแขวนบนต้นไม้ (บนไม้กางเขน) ก็ถูกแช่งสาปแล้ว” (กาลาเทีย 3:13 อมธ.)

การที่พระเจ้าจะกอบกู้ไถ่ถอนให้มนุษย์เราหลุดรอดออกจากการตกอยู่ภายใต้คำสาปแช่งจำเป็นที่พระองค์ต้องมาเกิดเป็นมนุษย์ พระคริสต์ได้มาเป็นมนุษย์เพื่อรับเอาคำสาปแช่งเหล่านั้นที่มนุษย์ต้องรับไปถึงจะไถ่ถอนกอบกู้มนุษย์เราออกจากใต้อำนาจแห่งคำสาปแช่ง และการกอบกู้นี้เป็นงานที่จะต้องกระทำการเปลี่ยนแปลงภายในชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ดังนั้น พระองค์ต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง อยู่ท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อที่จะสื่อสาร เป็นแบบอย่าง และยอมรับความเจ็บปวดและความตายเพราะคำสาปแช่งของมนุษย์ทั้งหลาย เพื่อจะสามารถปลดปล่อยให้มนุษย์ทั้งหลายรอดออกจากอำนาจแห่งการสาปแช่งนั้น

4. เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดของบทบัญญัติ

“อย่าคิดว่าเรามาล้มเลิกธรรมบัญญัติและคำของบรรดาผู้เผยพระวจนะ เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ”  (มัทธิว 5:17 มตฐ.)

จำเป็นต้องมีใครสักคนที่จะปฏิบัติตามข้อกำหนดทุกประการ เพื่อให้เป็นไปตามข้อกำหนดอย่างสมบูรณ์ของกฎหมาย จึงจำต้องมีคนเข้ารับผลของการกระทำผิดตามข้อกำหนดของกฎหมาย  มิฉะนั้นบทลงโทษของกฎหมายจะยังคงมีผลบังคับใช้ ทุก ๆ ความบาปผิดที่มีการกระทำลงไปจำเป็นจะต้องมีการชดใช้ผลของการกระทำบาปผิดเหล่านั้น

การที่จะต้องกระทำตามข้อกำหนดของบทบัญญัติอย่างครบถ้วน มิเพียงแต่ที่พระเยซูคริสต์จะดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดของบทบัญญัติเหล่านั้นอย่างสมบูรณ์เท่านั้น แต่ในที่สุดพระองค์ต้องสละชีวิตของพระองค์เองเพื่อไถ่ถอนมนุษย์ทั้งหลายให้หลุดรอดออกจากผลของการกระทำผิดต่อพระบัญญัติ ด้วยการยอมรับเอาผลของการกระทำผิดทั้งมวลของมนุษย์ทั้งหลายตามข้อกำหนดของพระบัญญัติมาเป็นความบาปผิดของตนเอง และการที่พระคริสต์จะกระทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อพระองค์มาบังเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้น แต่ในที่นี้มีเงื่อนไขว่า ใครก็ตามที่ต้องการให้พระคริสต์แบกรับเอาผลของการกระทำผิดข้อกำหนดของพระบัญญัติ คน ๆ นั้นจะต้องยอม “ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์” และ “วางผลของการกระผิดทั้งมวลตามข้อกำหนดของบทบัญญัติ” ลงบนชีวิตของพระเยซูคริสต์ ที่พระคริสต์จะเป็นคนที่รับผลของการกระผิด ยอมรับเอาคำสาปแช่งที่ตกแก่เราแทนเรา

5. ด้วยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์

เมื่อพระคริสต์ทรงมาในฐานะมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐต่าง ๆ ซึ่งได้มาถึงแล้ว พระองค์ทรงผ่านเข้าสู่พลับพลาที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ซึ่งไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ กล่าวคือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ทรงสร้างนี้ พระองค์ไม่ได้ทรงเข้าไปด้วยเลือดแพะหรือเลือดวัว แต่พระองค์ทรงเข้าไปสู่อภิสุทธิสถานด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง พระองค์ทรงกระทำเช่นนี้เพียงครั้งเดียวเป็นพอและได้การไถ่บาปชั่วนิรันดร์มา เลือดแพะเลือดวัวหรือเถ้าถ่านจากวัวตัวเมียที่ประพรมลงบนผู้มีมลทินตามระเบียบพิธีได้ชำระเขาให้บริสุทธิ์ เพื่อเขาจะสะอาดภายนอก  แล้วยิ่งกว่านั้นสักเพียงใดพระโลหิตของพระคริสต์ผู้ถวายพระองค์เองอย่างปราศจากตำหนิแด่พระเจ้าโดยทางพระวิญญาณนิรันดร์ ย่อมชำระจิตสำนึกของเราจากการกระทำอันนำไปสู่ความตาย เพื่อเราจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่! (ฮีบรู 9:11-14 อมธ.)

อันที่จริงบทบัญญัติระบุให้ชำระแทบทุกสิ่งด้วยเลือด และถ้าไม่มีการหลั่งเลือดก็ไม่มีการอภัยบาป (ฮีบรู 9:22 อมธ.)

เหตุผลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่พระองค์ต้องมาบังเกิดเป็นมนุษย์ก็เพื่อที่จะหลั่งโลหิตของพระองค์ ตามพระบัญญัติกำหนดไว้ว่า การชำระจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการหลั่งเลือดเท่านั้น   พระคริสต์ไม่มีทางอื่นที่จะหลั่งเลือดตามพระบัญญัตินอกจากที่พระองค์จะต้องมาเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น และข่าวดีสำหรับการหลั่งเลือดของพระองค์คือ การหลั่งเลือดของพระคริสต์ครั้งเดียวก็เพียงพอสำหรับผลของความบาปผิดทั้งสิ้นของมวลมนุษย์ทั้งหลาย และไม่จำเป็นที่จะต้องมีการนำเลือดมาเพื่อใช้การชำระผลของการกระทำผิดตามพระบัญญัติต่อไป แต่พระโลหิตของพระคริสต์ที่หลั่งออกเพียงครั้งเดียวได้ชดใช้ผลของความบาปผิดทั้งมวลของมนุษย์ และที่สำคัญคือพระโลหิตของพระองค์จะชำระ “จิตสำนึกของเรา” จากอำนาจแห่งความบาปชั่วทั้งสิ้น

6. เพื่อแบกรับความบาปชั่วช้าของเรา

“พระองค์เองทรงรับแบกบาปของเราทั้งหลายไว้ที่พระกายบนไม้กางเขน (หรือต้นไม้นั้น) เพื่อเราจะได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อความชอบธรรม และด้วยบาดแผลของพระองค์พวกท่านได้รับการรักษาให้หาย”  (1เปโตร 2:24 อมธ.)

ตามบทบัญญัติของพระเจ้า ความบาปจะต้องได้รับการไถ่ หรือ การทดแทน ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม จะใช้เลือดจากสัตว์ที่ใช้ในการถวายบูชาที่บนแท่นเครื่องบูชาเพื่อเป็นการไถ่บาป ซึ่งเป็นการไถ่ความบาปผิดสำหรับช่วงเวลาหนึ่ง แล้วต้องกลับมากระทำใหม่อีก แต่มิใช่การไถ่เราให้รอดจากอำนาจความบาปผิดตลอดไป หรือ เป็นนิรันดร์ แต่สำหรับพระโลหิตของพระคริสต์จะเป็นเครื่องบูชาไถ่เราให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปผิดไปชั่วนิรันดร์ และสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เป็นจริงก็ต่อเมื่อพระคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้น

7. เพื่อพระคริสต์จะเป็นปุโรหิตของเราและหนุนเสริมเราอย่างแท้จริง

“เพราะฉะนั้น เมื่อเรามีมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ผู้เสด็จผ่านฟ้าสวรรค์แล้ว คือพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า ขอให้เรายึดมั่นในหลักความเชื่อที่ประกาศรับไว้ เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ”  (ฮีบรู 4:14-16 มตฐ.)

สิ่งสุดท้ายที่เราพึงพิจารณาคือ พระคริสต์ทรงยืนหยัด และ เปิดให้เราเข้าถึงพระองค์ได้ง่าย   พระคริสต์เข้าใจถึงชีวิตของเราที่ต้องเผชิญในสถานการณ์ต่าง ๆ การที่พระคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นภาพที่งดงามมากยิ่งคือการที่พระคริสต์เห็นอกเห็นใจ และ เข้าอกเข้าใจถึงความรู้สึกในชีวิตของมนุษย์แต่ละคน พระองค์รู้ซึ้งอย่างดีถึงการที่ใครคนหนึ่งที่ได้รับความรัก หรือ คนที่ถูกกีดกัน ขับไสไล่ส่ง หรือ ถูกปฏิเสธ เข้าใจถึงความรู้สึกที่ได้รับการยกย่องกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างเสียหาย พระองค์ได้รับประสบการณ์ของการที่คนจงรักภักดีจริงใจต่อพระองค์ กับ ความรู้สึกที่ได้รับการทรยศหักหลังจากผู้คน พระองค์รู้ซึ้งถึงความรู้สึกที่ต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ความรู้สึกที่มีความสนิทใกล้กับพระบิดา และ รู้สึกในเวลาที่ถูกทอดทิ้ง

กล่าวโดยรวมแล้ว พระคริสต์รู้ซึ้งถึงใจของการเป็นมนุษย์เพราะพระองค์มาเกิดเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เพราะการที่พระคริสต์เคยเป็นและมีประสบการณ์ตรงกับการเป็นมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อเราเข้าใกล้พระองค์เราจึงรู้สึกสบายใจไม่ว่าเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ชีวิตแบบไหน และนี่เองที่ทำให้เราต้องการเข้าหาพระองค์ในทุกเวลาไม่ว่าชีวิตของเรากำลังเผชิญกับสถานการณ์ใดก็ตาม  เราจะพบว่า สำหรับพระคริสต์แล้วพระองค์รอคอยที่เราจะเข้าไปหาพระองค์ พระองค์พร้อมที่จะยอมรับเราไม่ว่าเราจะมีสภาพชีวิตเช่นไร และทรงพร้อมที่จะหนุนเสริมเราแต่ละคนที่จะสามารถก้าวเดินต่อไปบนเส้นทางที่เราจะต้องเดินไป

เป็นการน่าอัศจรรย์และชื่นอกชื่นใจสักแค่ไหน ที่เรารู้ว่าเรากำลังอธิษฐานต่อพระเจ้าที่รู้และเข้าใจถึงความรู้สึกของเราในขณะนั้น เราจะรู้สึกสบายใจแค่ไหนที่รู้ว่า พระเยซูคริสต์เข้าใจว่าเราเป็นใคร และ มีชีวิตที่มุ่งไปทิศทางใด การที่พระคริสต์มาบังเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นทางที่ช่วยให้พระองค์ที่จะหนุนเสริมเพิ่มพลังใจ และความมั่นใจแก่เราได้เป็นอย่างดี และนี่คือความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่เรายกย่องสรรเสริญ

แล้วเวลานี้ท่านพร้อมจะเปิดใจเปิดชีวิตให้พระคริสต์มาบังเกิดในชีวิตของท่านหรือยัง?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น