โดยทั่วไปแล้ว ผู้คนในคริสตจักรต่างคาดหวังว่า ในช่วงเวลาคริสต์มาส จะเป็นช่วงเวลาที่ “สงบ-สุขสันติ” ในการเฉลิมฉลองคริสต์มาส ส่วนใหญ่หรือเกือบทุกคนพยายามหลีกเลี่ยง หรือ ป้องกันไม่ให้เกิดเหตุวุ่นวาย สับสน หรือ เกิดเหตุการณ์ที่ไม่พึงปรารถนาขึ้นในช่วงของการเฉลิมฉลองคริสต์มาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการนมัสการพระเจ้า รายการแสดงเช้าวันนั้น หรือ การจัดเลี้ยงต้อนรับแขกที่มาร่วม เราต้องการคริสต์มาสที่มีการจัดเตรียมที่พร้อมเรียบร้อย
แท้จริงแล้วเกือบทุกคนคาดว่าคริสต์มาสควรจะเป็นเวลาที่
“สงบ” และมี “ความสุข” ใช่ไหม? แม้แต่เพลงคริสต์มาสที่เราร้องก็บ่งบอกอาการเช่นนั้น
เช่น “คืนนั้นหน้าหนาว เงียบเหงาวังเวง...” “ราตรีสงัด...ราตรีสวัสดิ์” “มีหมู่บ้านน้อยชื่อเบธเลเฮม หลับเงียบเกษมสบาย” และท่านสามารถบอกได้อีกมากมายที่บ่งบอกถึงคริสต์มาสเป็นวันคืนแห่ง
“ความสงบสุข”
แต่เมื่อครั้งคริสต์มาสคืนแรกที่เบธเลเฮมนั้น
เป็นคริสต์มาสที่แสนจะว้าวุ่นกังวลโดยเฉพาะกับมารีย์และโยเซฟที่เดินทางไกลจากนาซาเร็ธถึงบ้านเบธเลเฮม
ที่เดินทางอย่างทุลักทุเลเพราะมารีย์ท้องแก่และเดินทางติดต่อกันมาไม่น้อยกว่า 10
วันแล้ว ในระยะทางประมาณ 145 กิโลเมตร นักวิชาการทางพระคัมภีร์สันนิษฐาน หรือ
ประมาณการว่า ทั้งโยเซฟและมารีย์เดินทางไปด้วยเท้า คงไม่ได้ขี่ลาอย่างที่เราเห็นในรูปการ์ดคริสต์มาส
เพราะทั้งสองมีฐานะที่ยากจน
ปัญหาที่สร้างความวิตกกังวลแก่ทั้งสองคือ
หาที่พักไม่ได้ และมารีย์ก็กำลังจะคลอดแล้ว ในคืนนี้ที่เบธเลเฮมไม่ได้เงียบสงบอย่างเพลงบอกเลย!
ในที่สุดลงเอยด้วยการไปยืมใช้มุมหนึ่งของคอกสัตว์ ซึ่งมีนักวิชาการทางพระคัมภีร์บางท่านสันนิษฐานว่า
น่าจะเป็นถ้ำที่เขาใช้ในการเก็บสัตว์เลี้ยง และที่นั่นมารีย์ก็ได้คลอดทารกน้อยเพศชาย
เอาผ้าอ้อม หรือ ฉีกจากเสื้อผ้าของแม่มาเป็นผ้าอ้อม พันทารกน้อย
แล้ววางให้นอนที่รางหญ้าที่ใช้เป็นที่ให้อาหารสัตว์เลี้ยง ต่างเปลนอน... โล่งอกไปเปราะหนึ่ง
ที่คลอดทารกออกมาได้และยังมีชีวิตอยู่!
ในขณะที่มารีย์กำลังพักผ่อนจากความเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัสทั้งจากการเดินไกล
และ การเบ่งให้ทารกน้อยออกมา ทันใดนั้นก็ต้องแปลกใจที่มีพวกเลี้ยงแกะมาด้อม ๆ มอง ๆ
อยู่นาน แล้วก็พากันเข้ามานมัสการทารกน้อยของเธอ พร้อมเล่าว่า
“ทูตสวรรค์มาบอกพวกเขาว่า พระผู้ช่วยให้รอดมาบังเกิด และบอกหมายสำคัญคือ
ทารกน้อยจะถูกพันด้วยผ้าอ้อมหรือผ้าที่ใช้แล้ว
และวางในรางหญ้า” คำบอกเล่าของคนเลี้ยงแกะยิ่งสร้างความตื่นเต้นระคนความตระหนก
และฉงนว่า แล้วเรื่องนี้จบลงอย่างไรกันแน่? แต่มารีย์ได้แต่เก็บเรื่องเล่านี้ไว้ในใจ
พร้อมทั้งภูมิใจลึก ๆ ว่า
ตนมีส่วนในการมาเกิดของพระผู้ช่วยให้รอดที่จะนำความสงบและสันติสุขกลับมาให้แก่อิสราเอลอีกครั้งหนึ่ง
หลังจากที่คนเลี้ยงแกะได้มานมัสการทารกน้อยนั้นแล้ว
ด้วยความตื่นเต้นของการมาบังเกิดของพระผู้ช่วยให้รอด “เมื่อพวกเขาเห็น
(ทารกน้อยพันผ้าอ้อมนอนในรางหญ้า ตามคำบอกของทูตสวรรค์) แล้ว จึงเล่าเรื่องที่เขาได้ยินและได้เห็นถึงพระกุมารนั้น
แก่คนที่เขาพบเห็น คนทั้งหลายที่ได้ยินก็ประหลาดใจเกี่ยวกับเรื่องที่คนเลี้ยงแกะบอกกับเขา”
(ลูกา 2:17 สมช.)
แน่นอนครับ เรื่องแปลกประหลาดน่าอัศจรรย์เช่นนี้ต้องมาพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาของตนเอง
ผู้คนมากมายคงจะมาดูทารกน้อยพันผ้าอ้อมนอนในรางหญ้า ตามที่คนเลี้ยงแกะบอกพวกเขา ทั้งมารีย์และโยเซฟต้องงงอย่างยิ่ง
มีผู้คนมามุงดูมากมาย น่าจะเรียกว่า “ยิวมุง” ถ้าอยู่ในบ้านเราเป็น “ไทยมุง” หรือในพวกยิวไม่มีวัฒนธรรมแบบนี้ก็ได้นะ
คืนนั้น
ทั้งมารีย์และโยเซฟอาจจะไม่ได้หลับไม่ได้นอนอีกคืนหนึ่ง ความว้าวุ่นใจ ความสับสนวุ่นวาย
ค่อย ๆ ลงตัวทีละเรื่อง ทำไม “คริสต์มาสถึงเป็นเวลาที่ว้าวุ่นใจ และ วุ่นวายไปเสียทุกเรื่อง?” ทั้งนี้เพราะ การมาบังเกิดของพระเมสิยาห์ พระผู้ช่วยให้รอดนั้น มิได้มาบังเกิดอย่าง
“ฐานเชื่อกระบวนคิด” ตามที่ผู้คนนึกคิดและเข้าใจกัน ไม่ได้มาบังเกิดอย่างยิ่งใหญ่ แต่ตรงกันข้าม
พระองค์มาบังเกิดอย่างผู้เล็กน้อย ต่ำต้อยสุดๆในสังคมมนุษย์โลก และมาบังเกิดเพื่อรับใช้ด้วยการให้ทั้งชีวิตของพระองค์
เปาโลเขียนไว้ว่า
“(พระเยซูคริสต์)
ผู้ทรงสภาพพระเจ้า
แต่ไม่ได้ทรงยึดติดในความเท่าเทียมกับพระเจ้า
พระองค์กลับทรงสละทุกสิ่ง
มารับสภาพทาส
บังเกิดเป็นมนุษย์
และเมื่อทรงปรากฏเป็นมนุษย์
พระองค์ทรงถ่อมพระองค์ลง
และยอมเชื่อฟังแม้ต้องตายบนไม้กางเขน!”
(ฟีลิปปี 2:6-8
อมธ.)
การเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่แท้จริงมิได้เป็นการเฉลิมฉลองในช่วงเดือนธันวาคมของแต่ละปีเท่านั้น
ถ้าเราต้องการเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่แท้จริง เราต้องเฉลิมฉลองในชีวิตประจำวันตลอดปี
และเราสามารถเฉลิมฉลองได้ดังนี้ ตามคำแนะนำของเปาโลที่ว่า
“บัดนี้ถ้าเราเป็นบุตรของพระองค์แล้ว
เราก็เป็นทายาทคือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์
ถ้าเราร่วมทนทุกข์อย่างแท้จริงกับพระองค์
เราก็จะร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์ด้วย” (โรม 8:17 อมธ.) เราก็จะเป็นคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า
การเฉลิมฉลองคริสต์มาสที่แท้จริงคือ
การเฉลิมฉลองที่เราได้ร่วมทนทุกข์กับพระเยซูคริสต์ และร่วมในพระเกียรติสิริของพระองค์
และเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวของพระเจ้า และนี่คือการที่พระคริสต์บังเกิดในชีวิตของเราอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น