09 ธันวาคม 2563

เมื่อ “พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์” เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง

ส่วนมากในช่วงเวลาของการเตรียมรับเสด็จ และเทศกาลคริสต์มาส เรามักคิดถึงเรื่องที่พระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนี้เพื่อที่จะกอบกู้ไถ่ถอนประชากรของพระเจ้าออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วและความตาย แต่สิ่งหนึ่งที่คริสตชนมักมองข้ามคือ เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกนี้พระองค์ได้นำการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายสำหรับประชากรของพระเจ้า

ในช่วงเวลาคริสต์มาสปีนี้ขอเชิญชวนคริสตชนร่วมกันไตร่ตรองสะท้อนคิดว่า เมื่อพระคริสต์มาบังเกิดในสังคมโลกนี้ได้ทำให้การนมัสการ และ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?

ในพระกิตติคุณยอห์นบทแรกยอห์นได้เขียนเป็นภาษาสัญลักษณ์ว่า “พระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และประทับอยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง เราได้เห็นพระเกียรติสิริของพระองค์ คือพระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียวผู้ทรงมาจากพระบิดา” (ยอห์น 1:14 อมธ.)

คริสตจักรกล่าวถึงเรื่อง “พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ (เป็นเนื้อหนัง เป็นเลือดเนื้อ)” กันบ่อยครั้งทั้งในการศึกษาพระคัมภีร์ด้วย แต่น้อยครั้งนักที่จะมีการวิเคราะห์เจาะลึกลงไปว่า การที่พระคริสต์มาเกิดเป็นมนุษย์ได้ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ อะไรและอย่างไรบ้าง ข้อเขียนนี้ใคร่ค้นหาศึกษาลงลึกว่า “เมื่อพระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์” ได้สร้างผลกระทบต่อการนมัสการพระเจ้า และ ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรและอย่างไรบ้าง

ถ้าจะเข้าใจได้อย่างดีว่า การนมัสการพระเจ้าเปลี่ยนแปลงเมื่อพระเยซูคริสต์มาบังเกิดในโลกนี้ เราก็ควรจะต้องเข้าใจชัดเจนว่า ก่อนสมัยพระเยซูพวกยิวเขานมัสการพระเจ้ากันอย่างไรแบบไหนก่อน

ก่อนที่ “พระวาทะจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์” ในโลกใบนี้ การนมัสการพระยาเวห์มีศูนย์กลางอยู่ที่ธรรมบัญญัติ เป็นพระบัญญัติที่พระเจ้าประทานให้ผ่านมาทางโมเสส มีแนวทางที่เคร่งครัดและเฉพาะเจาะจงว่าประชากรอิสราเอลจะต้องดำเนินชีวิตและมีชีวิตอยู่อย่างไร

พระบัญญัติมากมายที่เกี่ยวข้องกับการถวายบูชาและพิธีกรรมต่าง ๆ ทางศาสนา การนมัสการพระยาเวห์ในสมัยพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมประชาชนอิสราเอลจะต้องเดินทางไปยังที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ ไม่ว่าที่พลับพลา หรือ ที่พระวิหาร การนมัสการพระยาเวห์เป็นแบบแผนตายตัวมาก การเชื่อและกระทำตามพระบัญญัติเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งและเป็นสิ่งที่ชอบธรรมด้วย เหมือนกับการที่มีจิตใจที่รักพระเจ้าที่มิใช่การที่มีเพียงรูปลักษณ์ของความบริสุทธิ์เท่านั้น

การนมัสการพระเจ้าจะกระทำเช่นนี้มาเป็นเวลาหลายพันปี จนกระทั่งเมื่อพระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

เมื่อ “พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์” ก่อเกิดการเปลี่ยนแปลง 4 ทางด้วยกัน ผู้เชื่อในพระองค์เกิดการเปลี่ยนแปลงในการนมัสการพระเจ้า และ ความสัมพันธ์ที่ประชากรของพระเจ้ามีต่อพระองค์ และสร้างผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อการคลี่คลายของกระบวนเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติตลอดไป

1. พันธสัญญาใหม่

พระคัมภีร์ในภาคพันธสัญญาเดิม พระธรรมเยเรมีย์ พระเจ้าทรงสัญญาว่า พระองค์จะทำพันธสัญญาใหม่กับประชากรของพระองค์ เมื่อพระเยซูคริสต์เสด็จเข้ามาในโลกพันธสัญญาใหม่ก็เริ่มขึ้น ประชากรของพระเจ้าสามารถมีประสบการณ์ในสัมพันธภาพกับพระเจ้าในแนวทางใหม่

พระเจ้าตรัสผ่านในพระธรรมเยเรมีย์ว่า
[31] องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “เวลานั้นจะมาถึง
เมื่อเราจะทำพันธสัญญาใหม่
กับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
และกับพงศ์พันธุ์ยูดาห์
...

[33] องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศว่า “นี่คือพันธสัญญาที่เราจะทำกับพงศ์พันธุ์อิสราเอล
หลังจากสมัยนั้น
คือเราจะใส่บทบัญญัติของเราในจิตใจของพวกเขา
จารึกบนหัวใจของพวกเขา
เราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา
และพวกเขาจะเป็นประชากรของเรา
[34] ผู้คนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน
หรือสอนพี่น้องของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า’
เพราะพวกเขาทุกคนจะรู้จักเรา
ตั้งแต่ผู้น้อยที่สุดไปจนถึงผู้ใหญ่ที่สุด”
องค์พระผู้เป็นเจ้าประกาศดังนั้น
เพราะเราจะอภัยความชั่วร้ายของเขา
และจะไม่จดจำบาปทั้งหลายของเขาอีกต่อไป”  (เยเรมีย์ 31:31, 33-34 อมธ.)

พระเจ้าได้สัญญาว่า พระองค์จะกระทำพันธสัญญาใหม่กับประชากรของพระองค์ ที่พระองค์จะยกบาปโทษทั้งสิ้นของพวกเขา และจะไม่ตัดสินพิพากษาพวกเขาตามการทรยศของพวกเขา พระเจ้าได้กระทำตามพระสัญญาของพระองค์โดยทางความตายและการการเป็นขึ้นใหม่ของพระคริสต์ 

โดยทางการสละพระชนม์ชีพของพระเยซูคริสต์ พระองค์ได้ทำให้ประชากรของพระองค์ได้รับการลบล้างให้สะอาด การพิพากษาตัดสินตามชีวิตของพระคริสต์ที่ไร้ตำหนิแทนที่จะพิพากษาจากชีวิตของเรา

2. เปิดประตูสำหรับคนที่ไม่ใช่ยิว

ประโยชน์อีกประการหนึ่งที่มักถูกละเลยมองข้ามของ “พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์” คือ ก่อนที่พระเยซูมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ความโปรดปรานของพระเจ้าถูกจำกัดอยู่แต่เฉพาะประชากรอิสราเอลเท่านั้น เพราะมีข้อจำกัดที่ยิ่งใหญ่คือถ้าใครไม่ได้เกิดมาเป็นยิวคนนั้นจะไม่ได้รับพิจารณาให้เป็นคนหนึ่งในบรรดาบุตรของพระเจ้า

อย่างไรก็ตาม แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้เปิดทางกว้างแก่คนที่ไม่ได้เป็นยิว และเปาโลได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ริเริ่มในพันธกิจนำพระกิตติคุณเข้าถึงคนต่างชาติ เมื่อพระกิตติคุณถูกประกาศท่ามกลางคนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิว คนยิวบางคนเริ่มรู้สึกผิดหวังที่กลุ่มคนต่างชาติจะนมัสการพระเจ้าของพวกเขาด้วย อย่างไรก็ตาม เปาโลได้กระทำประเด็นนี้ให้ชัดเจนว่า พระเจ้ามีพระประสงค์ให้ชนต่างชาติที่ไม่ใช่ยิวร่วมในพระประสงค์ของพระองค์ด้วย

นายแพทย์ลูกาได้บันทึกคำกล่าวของเปาโลไว้ว่า

[46] แล้วเปาโลกับบารนาบัสจึงโต้ตอบพวกเขาด้วยใจกล้าว่า “เราต้องประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกท่านก่อน ในเมื่อท่านปฏิเสธและไม่เห็นว่าตัวเองคู่ควรกับชีวิตนิรันดร์ บัดนี้เราก็จะหันไปหาพวกต่างชาติ [47] เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงบัญชาเราไว้ว่า
เราตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างสำหรับคนต่างชาติ
เพื่อเจ้าจะได้นำความรอดไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก’
[48] ฝ่ายคนต่างชาติเมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ดีใจและยกย่องพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และบรรดาผู้ที่ถูกกำหนดไว้ให้มีชีวิตนิรันดร์ก็เชื่อ (กิจการ 13:46-48 อมธ.)
ก่อนที่พระเยซูเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ความโปรดปรานของพระเจ้าอยู่กับชนชาติอิสราเอลเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยการสิ้นพระชนม์และการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ความรอดจึงมีสำหรับคนทั้งโลกนี้ เรื่องนี้ง่ายที่เราจะมองข้าม แต่เป็นเรื่องหนึ่งที่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความสำคัญอย่างยิ่งที่เกิดจากการที่ “พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์”

3. พระวิญญาณบริสุทธิ์

คำสอนและการรับใช้ของพระเยซูคริสต์มากมายที่ดูเหมือนว่าสวนทางกัน หนึ่งในคำกล่าวของพระองค์ที่น่าตกใจสำหรับเหล่าอัครสาวกคือ พระองค์ควรจะไปจากพวกเขาไป เพื่อว่าพระบิดาจะได้ส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาอยู่กับอัครสาวกหลังจากที่พระเยซูคริสต์จากพวกเขาไปแล้ว ขอให้อ่านจากคำตรัสของพระเยซูคริสต์โดยตรงที่ว่า...

[7] อย่างไรก็ตามเราจะบอกความจริงกับพวกท่าน คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาท่าน (ยอห์น 16:7 มตฐ.)

ในที่นี้กล่าวถึงองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระเยซูคริสต์เคยแบ่งปันเรื่องนี้แก่เหล่าสาวกแล้ว การสนทนาก่อนหน้านี้  พระเยซูคริสต์ตรัสกับสาวกว่า...

[16] เราจะทูลขอพระบิดา และพระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป [17] คือพระวิญญาณแห่งความจริงซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นและไม่รู้จักพระองค์ พวกท่านรู้จักพระองค์เพราะพระองค์สถิตอยู่กับท่าน และจะประทับอยู่ท่ามกลางท่าน (ยอห์น 14:16-17 มตฐ.)

ทำไมการที่พระคริสต์ไปจากพวกคริสตชนจึงดีสำหรับเราคริสตชน? เพราะตัวพระเยซูคริสต์เป็นเพียงร่างมนุษย์   พระองค์อยู่ด้วยกับเราได้เพียงคนเดียวที่เดียว พระองค์มีความจำกัดในร่างกายที่เป็นมนุษย์ แต่ในทางกลับกัน องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นสถิตในคริสตชนได้หลาย ๆ คนและในหลาย ๆ ที่ในเวลาเดียวกัน ไม่ถูกจำกัดด้วยกาลเทศะ

ด้วยการเสด็จสู่สวรรค์ของพระคริสต์ องค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จมา พระเจ้าทรงสถิตในประชากรของพระองค์แต่ละคนตลอดไป

นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่เมื่อเทียบกับก่อนการเสด็จมาของพระคริสต์ประชากรของพระเจ้าทั้งหมดต้องเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อที่จะได้อยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า เพื่อที่จะนมัสการพระองค์ แต่ละคนจะต้องไปและปรากฏตัวในพระวิหารกรุงเยรูซาเล็ม

ปัจจุบันนี้ คริสตชนไม่จำเป็นจะต้องออกจากบ้านไปยังพระพักตร์พระเจ้าในอาคารวิหารที่พระองค์สถิตอยู่ เพราะองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตอยู่ในชีวิตของเราคริสตชนแต่ละคน

อย่างที่เปาโลได้เขียนไว้ว่า ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือว่า ร่างกายของพวกท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้สถิตในท่าน ผู้ซึ่งพวกท่านได้รับจากพระเจ้า (1โครินธ์ 6:19) แทนที่ประชากรของพระเจ้าจะต้องเดินทางไปยังพระวิหารของพระเจ้า แต่ในชีวิตของประชากรของพระเจ้าแต่ละคนเป็นพระวิหารขององค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ ที่พระองค์สถิตอยู่ด้วย

4. พระเจ้าผู้ทรงเห็นใจ

ในช่วงเวลาของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม ดูเหมือนว่าพระเจ้านั้นอยู่เหนือและห่างไกลจากมนุษย์ พระเจ้านั้นบริสุทธิ์ยิ่ง ดูเหมือนว่ายากที่ใครจะเข้าถึงพระองค์ได้ มนุษย์ไม่สามารถที่จะเข้าใจพระเจ้า และมนุษย์รู้สึกว่า พระเจ้าจะไม่ค่อยเข้าใจในความเป็นมนุษย์

สิ่งนี้เกิดการเปลี่ยนแปลง  เมื่อพระเจ้าได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และสำแดงให้มนุษย์โลกถึงความรุ่งเรืองอย่างแท้จริงนั้นเป็นเช่นไร มิใช่เพียงแต่พระเจ้าจะเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์อย่างแท้จริงเป็นอย่างไรเท่านั้น แต่พระองค์ได้สำแดงให้มนุษย์ได้เห็นว่าจะดำเนินชีวิตเช่นไรที่จะมีชีวิตที่สมบูรณ์ เป็นมนุษย์ที่ไม่มีความด่างพร้อย

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้เน้นย้ำถึงพลวัตรในเรื่องนี้ และอธิบายว่า เพราะพระเยซูคริสต์มีชีวิตที่เป็นมนุษย์ พระองค์ย่อมจะเข้าใจถึงสภาพการณ์ชีวิตของมนุษย์ พระองค์รู้ถึงสิ่งที่มนุษย์ต้องต่อสู้ดิ้นรนฟันฝ่า รู้ถึงชีวิตที่ได้รับการข่มเหง เข้าใจถึงชีวิตที่ถูกทดสอบและทดลอง

ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูได้เขียนไว้ว่า “[15] เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ทรงเคยถูกทดลองใจเหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป [16] ฉะนั้นขอให้เราเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณด้วยความกล้า เพื่อเราจะได้รับพระเมตตา และจะพบพระคุณที่ช่วยเราในยามต้องการ” (ฮีบรู 4:15-16 มตฐ.)

พระเยซูถูกทดลองอย่างแท้จริงในทุกทาง แต่พระองค์ไม่ได้พ่ายแพ้ในการถูกทดลองและล่อลวง พระองค์ได้มีชัยชนะเหนือการทดลองล่อลวงเหล่านั้นที่พระองค์ต้องประสบพบเจอ แต่พระองค์กลับมีความเข้าใจอย่างลุ่มลึกถึงการเป็นมนุษย์อย่างเราท่าน

ปัจจุบันนี้ ประชากรของพระเจ้าสามารถติดต่อสัมพันธ์กับพระองค์ในรูปแบบใหม่ที่ลึกซึ้งกว่า ให้เราเข้ามาหาพระคริสต์ด้วยความมั่นใจ รู้ว่าพระองค์เข้าใจถึงสิ่งที่เราต้องเผชิญในชีวิต และพระองค์ได้มีชัยเหนือสถานการณ์เหล่านั้นที่เราต้องเผชิญอยู่

เมื่อ “พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์” ได้เปลี่ยนแปลงมุมมองความเข้าใจทุกแง่มุมใหม่ในการนมัสการพระเจ้าของประชากรของพระองค์ ประชากรของพระเจ้ามิได้ดำเนินชีวิตตามบทบัญญัติ ตามตัวอักษร แต่เราดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าได้ประทานโอกาสแก่ประชากรของพระองค์ที่จะเข้าใกล้ชิดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์  และร่วมสามัคคีธรรมกับพระองค์ที่ไม่เคยมีมาก่อนสมัยของพระเยซูคริสต์ และอย่ามองข้ามความสำคัญในเรื่องนี้

การติดตามสัมพันธ์กับพระคริสต์ อย่างที่พระองค์ติดตามเรา อย่าให้เราขาดการใส่ใจต่อประโยชน์ที่น่าอัศจรรย์และประโยชน์ที่น่าทึ่งของ “พระวาทะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ (เนื้อหนัง/เลือดเนื้อ)”

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น