04 มีนาคม 2553

หัวใจของชีวิตที่บริสุทธิ์

“...เพราะเราคือพระเจ้าผู้นำเจ้าออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพื่อเป็นพระเจ้าของเจ้า
เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45)

ผมเติบโตมาในคริสตจักรจีน เมื่อพูดถึงเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ ภาพลักษณ์ของชีวิตที่บริสุทธิ์มักจะมีภาพในความเข้าใจว่า ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นไพ่ ไม่เต้นรำ มีพฤติกรรมทางเพศแบบผัวเดียวเมียเดียว เป็นคนมือสะอาดในเรื่องเงินๆ ทองๆ และเป็นคนที่อธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และไปโบสถ์เป็นประจำในวันอาทิตย์ พูดโดยภาพรวมแล้ว ความเข้าใจเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นเรื่องของศีลธรรม จริยธรรมหรือ การประพฤติส่วนตัวของคริสเตียนแต่ละคน

ในฐานะคริสเตียน เราเข้าใจว่าเราได้หลุดพ้นออกจากการอยู่ใต้อำนาจของธรรมบัญญัติ ประเพณีปฏิบัติ แต่กลับตกลงในกับดักทางความคิดเสรีส่วนบุคคลในยุคปัจจุบัน เช่น สิทธิส่วนบุคคล สิทธิ์และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของตนเองหรือส่วนบุคคล เสรีภาพส่วนบุคคล เสรีประชาธิปไตย และในเวลาเดียวกันก็ลดคุณค่าความสำคัญของชีวิตที่บริสุทธิ์ลงเหลือแค่รูปแบบชีวิตส่วนตัวบางด้านที่พึงปฏิบัติ ตามที่กล่าวข้างต้นใช่หรือไม่?

ถ้าไปพูดคุยกับคริสเตียนในคริสตจักรท้องถิ่นส่วนใหญ่ถึงเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ มักจะพบว่าส่วนใหญ่ตกกับดักความคิดเรื่องชีวิตบริสุทธิ์ไปตามกระแสคิดทางจริยธรรมสังคมในปัจจุบัน เช่น ในด้านเพศต้องไม่มีเพศสัมพันธ์นอกสมรส ไม่หย่าคู่ชีวิต ไม่กระทำความรุนแรงต่อคู่ชีวิตและคนในบ้าน ไม่อ่านหนังสือโป๊ ไม่เข้าเว็บโป๊และเพศสัมพันธ์ บ้างก็เข้มงวดถึงขนาดไม่ควรนุ่งสั้นห่มน้อย หรือด้านชีวิตในสังคม ไม่ตกเป็นทาสของลัทธิทุนนิยม ไม่ตกเป็นเบี้ยล่างของบริโภคนิยม ไม่แบ่งแยกแตกก๊ก ด้วยเหตุสีผิว ชาติพันธุ์ ฐานะทางเศรษฐกิจ/สังคม หรือพรรคพวก และ ฯลฯ นี่เป็นการยกตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ เพื่อชี้ให้เห็นว่า ชีวิตที่บริสุทธิ์ของคริสเตียนกำลังถูกลดทอนจำกัดคุณค่าและความหมายที่แท้จริงให้เป็นการประพฤติปฏิบัติส่วนบุคคลตามกระแสจริยธรรมสังคมเท่านั้น และมีบ้างได้เพิ่มเติมการปฏิบัติที่พิเศษขึ้นมา เช่น การอ่านพระคัมภีร์ การอธิษฐาน การไปโบสถ์ในวันอาทิตย์เป็นประจำ บ้างก็พยายามสร้างการปฏิบัติที่ให้มีเอกลักษณ์ต่างจากคริสเตียนทั่วไป เช่น สตรีคริสเตียนบางกลุ่มจะเอาผ้าคลุมผม และ ฯลฯ

ท่ามกลางความสับสนหลงทางเกี่ยวกับชีวิตที่บริสุทธิ์ของคริสตชนในปัจจุบัน พระคัมภีร์ได้ให้ความกระจ่างในเรื่องนี้แก่ผู้ที่เชื่อศรัทธาอย่างไรบ้าง? พระคัมภีร์ให้ความหมายเกี่ยวกับชีวิตที่บริสุทธิ์มากกว่า กว้างกว่า ชีวิตที่มีจริยธรรมสังคมส่วนบุคคลไว้อย่างไรบ้าง?

แท้จริงแล้วชีวิตที่บริสุทธิ์คือชีวิตที่พระเจ้าทรงอยู่ในทุกมิติชีวิตของเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์มิใช่ชีวิตของคริสเตียนที่เจริญเติบโตและมีวุฒิภาวะทางความเชื่อศรัทธาแล้วเท่านั้น แต่ชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นจุดเริ่มแรกของชีวิตคริสเตียนและเป็นหัวใจแห่งการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเรา “...เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” (เลวีนิติ 11:45; 1เปโตร 16)

สัมพันธภาพ: ตัวขับเคลื่อนชีวิตที่บริสุทธิ์

“บริสุทธิ์” หรือ “ความบริสุทธิ์” มีความหมายรวมถึงการมีศีลธรรม หรือ จริยธรรมที่บริสุทธิ์ด้วย แต่นั่นมิใช่ความหมายแก่นแท้สำคัญของพระคัมภีร์ คำนี้ในพระคัมภีร์มีความหมายรากฐานคือ “การแยกออก” หรือ “การมอบถวาย” แด่พระเจ้า การเป็นของพระเจ้า “เรา...จะเป็นพระเจ้าของเจ้า และเจ้าจะเป็นประชากรของเรา” (เลวีนิติ 26:12; ฮีบรู 8:10) จุดเริ่มต้นของชีวิตบริสุทธิ์มีลักษณะพิเศษคือมีรากฐานมาจากสันพันธภาพและพระประสงค์ที่พระเจ้ามีต่อเรา ชีวิตที่บริสุทธิ์ต้องเริ่มต้นที่สัมพันธภาพระหว่างคนๆ นั้นกับพระเจ้าก่อน และด้วยสัมพันธภาพนี้เองที่นำไปสู่การงอกเงยทางจริยธรรมในการประพฤติปฏิบัติ ขอเน้นย้ำว่าสัมพันธภาพและพระประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเรานั้นมาก่อนการประพฤติปฏิบัติตามจริยธรรม ก่อนที่เราจะได้รับการทรงเรียกให้เป็น “คนดี” เราได้รับการทรงเรียกให้เป็นคนบริสุทธิ์ เป็นประชากรที่บริสุทธิ์ ถ้าเราปราศจากความเข้าใจที่ถูกต้องในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์เริ่มต้นก้าวแรกจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้ว เราก็จะตกลงในกับดักที่ทำให้ชีวิตที่บริสุทธิ์กลายเป็นเรื่องการปฏิบัติตามจริยธรรมเท่านั้น

ถ้าเราอ่านและเข้าใจพระคัมภีร์ในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ด้วยมุมมองของสัมพันธภาพ พระเยซูคริสต์ได้ทรงสำแดงถึงสัมพันธภาพกับพระเจ้าได้ชัดเจนที่สุด บ่อยครั้งที่ความคิดความเข้าใจของเราเกี่ยวกับชีวิตที่บริสุทธิ์มักมาจากพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม แต่ขาดความเข้าใจจากการทรงเปิดเผยของพระเจ้าเองผ่านทางพระเยซูคริสต์ ผู้ที่ยอมรับและเชื่อศรัทธาในการทรงเปิดเผยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์ก็กลายเป็นคนหนึ่งในพระเยซูคริสต์ การเป็นคริสตชนนั้นมีความหมายมากกว่าการเชื่อในพระเจ้า หรือมากกว่าการที่เรายอมรับระบบความเชื่อเกี่ยวกับพระเจ้า แต่การเป็นคริสตชนนั้นหมายถึงชีวิตของคริสตชนคนนั้นได้รับการประสานให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูคริสต์โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เปาโลกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระคริสต์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระคริสต์ต่างหากที่ทรงมีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า...” (กาลาเทีย 2:20) และกล่าวในโคโลสีว่า “...ชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระคริสต์ในพระเจ้า”(โคโลสี 3:3) และเราได้ “...นั่งในสวรรคสถานกับพระเยซูคริสต์” (เอเฟซัส 2:6) จากพระคัมภีร์ดังกล่าวได้นำมาถึงซึ่งความเข้าใจสิ่งที่ล้ำลึกแต่เป็นสัจจะความจริง ด้วยการที่เรามีชีวิตประสานเข้าในชีวิตของพระคริสต์ เราจึงมีส่วนในชีวิตของพระเจ้า พระองค์ทรงสถิตอยู่ในเรา และเรามีชีวิตในพระองค์ ด้วยประการเช่นนี้เราจึงสามารถกล่าวได้ว่าเพราะชีวิตของเราอยู่ในพระคริสต์ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจึงเป็นความบริสุทธิ์ในชีวิตของเรา เพราะเราอยู่ในพระคริสต์ เราจึงเป็นคนที่บริสุทธิ์ ความคิดความเข้าใจเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์บนฐานความเชื่อศรัทธาของคริสตชนจะต้องเข้าใจบนรากฐานสัจจะความจริงตามพระคัมภีร์ดังกล่าวข้างต้น

เมื่อเราแสวงหาความเข้าใจที่จะประยุกต์ปฏิบัติตามการทรงเรียกของพระเจ้าตามคริสตจริยธรรมให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ เราต้องพิจารณาบนรากฐานแรกคือชีวิตของเราที่ประสานเข้าในพระคริสต์ “เราทั้งหลายรัก ก็เพราะพระองค์ทรงรักเราก่อน” (1ยอห์น 4:19) ตลอดเรื่องราวในพระคัมภีร์กล่าวถึงพันธสัญญาของพระเจ้าเปิดเผยชี้ชัดว่า การตอบสนองต่อความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่นำมาซึ่งชีวิตที่บริสุทธิ์ แท้จริงแล้วที่ชีวิตของเราเป็นชีวิตบริสุทธิ์ได้นั้นก็ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าที่ทรงกอบกู้ชีวิตของเราต่างหาก เราจึงตอบสนองต่อพระราชกิจอันมีพระคุณของพระเจ้าที่ทำให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ในพระคริสต์ ถ้าเรามิได้เข้าใจเช่นนี้ก็จะทำให้เราเข้าใจว่าที่เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ก็เพราะการกระทำของตัวเราเอง แทนที่เป็นพระราชกิจอันทรงพระคุณของพระเจ้า แต่ถ้าเราเข้าใจชีวิตที่บริสุทธิ์เริ่มต้นที่สัมพันธภาพที่เรามีต่อพระเจ้า ความเข้าใจเช่นนี้ก็จะมีรากฐานหยั่งลึกที่มั่นคงไม่สะดุดล้มเมื่อพบกับพายุกล้าในชีวิต

เมื่อเราเริ่มต้นชีวิตที่บริสุทธิ์ด้วยการมีสัมพันธภาพกับพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ เราต้องรู้ตระหนักชัดว่าชีวิตของเรายังไม่บริสุทธิ์ เพราะเราจำเป็นต้องมีสัมพันธภาพที่บริสุทธิ์กับพระเจ้าในพระคริสต์ก่อน และรับการทรงหนุนเสริมให้เราสามารถตอบสนองต่อสัมพันธภาพแห่งความรักของพระองค์ เปาโลกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นข้าพเจ้า...ขอวิงวอนท่านให้ดำเนินชีวิตสมกับพันธกิจอันเนื่องจากการทรงเรียกท่านนั้น” (เอเฟซัส 4:1) และ “พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า...” (โรม 12:1) และในที่สุด “ท่านทั้งหลายจงอุตส่าห์ประพฤติ เพื่อให้ได้ความรอด ด้วยความเกรงกลัวและตัวสั่นฉันนั้น มิใช่เฉพาะเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านเท่านั้น แต่จงยิ่งประพฤติให้มากขึ้น ในเมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ด้วย เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ให้ท่านมีใจปรารถนา ทั้งให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟิลิปปี 2:12-13)

จากพระคัมภีร์ที่ยกมาข้างต้นนี้ชี้ให้เห็นถึงกระบวนการที่พระเจ้าทรงกระทำให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์ จากพระราชกิจแห่งการทรงช่วยกู้ของพระเจ้าทางพระเยซูคริสต์ได้ปลดปล่อยเราให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ได้ เป็นชีวิตบริสุทธิ์ที่เรามีความชื่นชมยินดีในพระองค์ ภาพที่งดงามและน่าอัศจรรย์ใจในพระกิตติคุณคือ พระเจ้าทรงถ่อมพระองค์ลงมาเพื่อทรงเปิดเผยความรักเมตตากรุณาของพระองค์โดยรับสภาพเป็นมนุษย์ ด้วยพระราชกิจอันทรงพระคุณของพระเจ้าและการที่เรามีชีวิตที่สัมพันธ์ในพระคริสต์ เราจึงมีส่วนร่วมในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ด้วยวิถีชีวิตเช่นนี้เองที่ได้เปลี่ยนแปลงและเสริมสร้างชีวิตของเราให้สามารถสำแดงถึงพระคุณของพระเจ้ากับผู้คนอื่นๆ ได้ “เพราะว่าเราเป็นฝีพระหัตถ์ของพระองค์ ที่ทรงสร้างขึ้นในพระเยซูคริสต์เพื่อให้ประกอบการดี...” (เอเฟซัส 2:10)

เราจึงเห็นความแตกต่างชัดเจนว่า ชีวิตที่บริสุทธิ์มิใช่เป็นเพียงชีวิตที่ปฏิบัติตามหลักจริยธรรมสังคมเท่านั้น แต่เป็นชีวิตที่สำนึกในพระคุณของพระเจ้า และพร้อมที่จะเข้ามีส่วนร่วมกับพระเจ้าในการแสวงหาแนวทางการดำเนินชีวิตที่พระเจ้าทรงประสงค์

ความหมายวนเวียนสับสน

ในเมื่อความนึกคิดและความเข้าใจของเราในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์เป็นเพียงเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เราควรกระทำกับสิ่งที่เราไม่ควรกระทำ เราสามารถทำตามกฎบัญญัติเหล่านั้นได้ตลอดชีวิตของเรา หรืออย่างน้อยก็ให้พฤติกรรมการแสดงออกภายนอกของเราให้เป็นไปตามกฎบัญญัติดังกล่าวข้างต้น ไม่ต้องเจาะลึกลงในคำถามรากฐานที่ว่า เราคือใคร? ใครคือผู้ที่เรามอบความรักและจงรักภักดีลำดับแรกๆ?

ในส่วนลึกแล้ว การทรงเรียกของพระเจ้าให้เรามีชีวิตที่บริสุทธิ์นั้นเป็นการทรงเรียกที่หนักแน่นจริงจัง เป็นการทรงเรียกให้เรามีชีวิตบริสุทธิ์ในทุกระดับชีวิตของเราทั้งหมด เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ทั้งในความรักเมตตากรุณา และทั้งบุคลิกภาพ และความเป็นเราทั้งชีวิตของเรา การเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ต้องการให้เรายอมสลายความเป็นตัวตนของตนเอง จากนั้นสลัดทิ้งความเห็นแก่ตัวและการที่เอาตนเองเป็นใหญ่แล้วเปลี่ยนเป็นการมีชีวิตในพระคริสต์และอยู่เพื่อพระองค์ พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “เพราะว่าใครต้องการจะเอาชีวิตรอด คนนั้นจะเสียชีวิต แต่ใครยอมเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและข่าวประเสริฐ คนนั้นจะได้ชีวิตรอด” (มาระโก 8:35)

หลักการพื้นฐานในเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ คือการที่เรายอมมอบกายถวายชีวิตของเราทั้งหมดแด่พระองค์ กล่าวคือเราต้องยอมรับว่าชีวิตที่เป็นอยู่นี้มิใช่ชีวิตของเราเองต่อไป แต่เป็นชีวิตของพระเจ้าและสำหรับพระองค์และที่เรามีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระองค์ ซึ่งตรงกันข้ามกับหลักคิดของยุคปัจจุบันที่ว่า แต่ละคนเป็นเจ้าของชีวิตของตนเอง การมีชีวิตที่บริสุทธิ์หมายความว่า ชีวิตที่เราเป็นอยู่ทั้งหมดและสิ่งที่เรามีในชีวิตทั้งสิ้นเป็นของพระเจ้า ในทุกมิติของชีวิตที่ดำเนินอยู่ในขณะนี้เป็นชีวิตที่ทรงเสริมสร้างและทรงนำโดยพระเจ้า

คำสอนนี้มีความหมายครอบคลุมมากมายหลายเรื่อง เราพึงไตร่ตรองไปในแต่ละเรื่อง แต่ละมิติของชีวิต ทั้งในเรื่องเงินทองของเรา, ทรัพย์สมบัติของเรา, เวลา, ความสัมพันธ์, การงาน, การพักผ่อนหย่อนใจ, อาหารการกิน, และเพศสัมพันธ์ของเรา ในทุกเรื่องของชีวิตเหล่านี้และอื่นๆ อีกที่พระเจ้าทรงเรียกร้องให้เป็นชีวิตที่บริสุทธิ์ ที่สวนกระแสการหลงและบูชาตนเองของยุคปัจจุบัน ที่มองว่าทุกอย่างที่มีเป็นของตนเองส่วนตัว ใช้ชีวิตที่ดำเนินอยู่นี้ให้เป็นไปตามทิศทางที่ตนเองต้องการ คริสตชนปัจจุบันมากต่อมากที่กำลังได้รับเชื้อระบาดตัวนี้ ดังนั้น จึงมองเห็นพระเยซูคริสต์เป็นเพียงผู้ที่จะช่วยเสริมเพิ่มให้ตนเองมีความสำคัญมากขึ้น เป็นแหล่งที่จะทำให้ตนมีความสุขสบายและมั่งคั่งมั่นคงยิ่งขึ้น หรือบ้างก็ใช้พระเยซูคริสต์เพื่อเสริมให้ตนมีความรู้สึกที่ดีๆ ทั้งสิ้นนี้ก็คือการให้ตนเองเป็นศูนย์กลางแห่งชีวิตจิตวิญญาณของตนเอง ที่ทุกสิ่งทุกอย่างรวมถึงพระเยซูคริสต์ต้องโคจรหมุนรอบชีวิตของตนเอง แทนที่จะให้ชีวิตของตนหมุนโคจรรอบพระเยซูคริสต์ผู้เป็นแก่นกลางแห่งชีวิตของมนุษย์และโลกนี้


ยาแก้โรคการหลงและบูชาตนเอง

แทนที่จะปล่อยให้ชีวิตดำเนินไปตามกระแสการหลงและบูชาตนเองที่ครอบงำความคิดและการดำเนินชีวิตของคริสตชนในปัจจุบันนี้ จำเป็นที่เราต้องหันกลับไปศึกษาจากพระวจนะของพระเจ้าในเรื่องนี้อย่างเป็นขั้นตอน เพื่อให้พระวจนะเป็นยาแก้โรคติดต่อแห่งการหลงและบูชาตนเอง และทรงเยียวยารักษาเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราไปสู่ชีวิตที่บริสุทธิ์ การทรงเรียกของพระเจ้า มิได้ทรงเรียกให้แต่ละคนแยกตนเองออกเป็นคริสตชนแต่ละคน แต่พระองค์ทรงเรียกให้แต่ละคนเข้ามาร่วมเป็นประชากรของพระองค์ เช่นประชากรอิสราเอลในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม และประชากรของพระเยซูคริสต์ ที่เป็นทั้งคนยิวและคนต่างชาติ ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาใหม่ ทุกคนที่ประสานเป็นคนหนึ่งในพระเยซูคริสต์ต่างก็เป็นคนหนึ่งในประชากรของพระองค์ กล่าวคือ คริสตชนแต่ละคนต่างประสานสัมพันธ์กับคนอื่นๆ ที่เชื่อวางใจในพระองค์ด้วยเช่นกัน ไม่ว่าเราต้องการหรือไม่ก็ตาม ถ้าเราอยู่ในพระคริสต์เราก็เป็นส่วนหนึ่งในพระวรกายของพระองค์ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกเราให้มีชีวิตที่แยกออกจากความล้มเหลว จากอำนาจชั่วแห่งโลกนี้ จากชีวิตที่เป็นแต่เนื้อหนัง และพลังแห่งความชั่วร้ายที่พยายามแทรกแซงและแทรกซึมเข้าในชีวิตของมนุษย์ และในเวลาเดียวกันทรงเรียกเราให้แยกออกเพื่อพระราชกิจแห่งการสร้างเสริมชีวิตใหม่ในบรรดามนุษยชาติผ่านทางพระเยซูคริสต์ที่เป็นพระวาทะที่มาบังเกิดเป็นชีวิตที่เป็นรูปธรรม และโดยทางพระวิญญาณผู้ทรงประทานชีวิตแก่เรา

เราต้องไม่ลืมว่า คริสตจักรได้รับการสถาปนาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น สาวกของพระเยซูคริสต์ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคริสตจักรที่พระองค์ทรงเรียกร้องให้คริสตชนแต่ละคนอุทิศและยอมจำนนต่อคริสตจักร คริสตจักรเป็น “เบ้าหลอม” และ “เครื่องเชื่อม” ของพระเจ้าที่เสริมสร้างให้แต่ละคนมีชีวิตที่บริสุทธิ์ในทุกมิติของชีวิต รวมทั้งชีวิตการติดตามพระคริสต์ด้วยกัน

ประการแรก ความรักที่คริสตชนรักพระเจ้าก็รวมถึงการที่เขารักประชากรของพระองค์ด้วย (1ยอห์น 4:20) แต่การที่เรารักประชากรของพระเจ้านั่นหมายความด้วยว่าเรายอมให้ประชากรของพระองค์รักเราด้วย และนั่นหมายความว่าจำเป็นที่คริสตชนแต่ละคนต้องเข้าส่วนในสัมพันธภาพที่แท้จริงที่รักและสนับสนุนเสริมสร้างกัน และด้วยการสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระเจ้าเราจึงมีความรับผิดชอบต่อเพื่อนคริสตชนด้วยกัน เมื่อชีวิตของเราอยู่บนจุดยืนนี้เราจึงสามารถมองเห็นได้ชัดว่าชีวิตในด้านใดของเราที่จะต้องมีความบริสุทธิ์ และเมื่อเราต้องเผชิญกับความขัดแย้ง ในเหตุการณ์นั้นจะทำให้เราเติบโตขึ้นในความ “อดทนต่อกันและกัน ...ให้อภัยกัน” (โคโลสี 3:13)

ประการที่สอง ชีวิตที่บริสุทธิ์ ในฐานะที่เป็นสมาชิกของพระคริสต์คือชีวิตที่แยกออกให้เข้าร่วมการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักร ในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และฟังพระวจนะของพระองค์ ยืนยันหลักข้อเชื่อของเรา และประกาศความเชื่อศรัทธาของเรา ระลึกถึงการที่เรารับบัพติศมาในความตายของพระคริสต์และร่วมเป็นขึ้นใหม่กับพระองค์ สารภาพความบาปผิดของเรา เฉลิมฉลองในความสัมพันธ์ที่เรามีกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและในความสัมพันธ์ที่เรามีร่วมในคริสตจักร ร่วมรับขนมปังและน้ำองุ่น เนื้อและเลือดของพระคริสต์ จากการที่เราร่วมในการ “นมัสการ” และ “รับใช้” พระเจ้าด้วยกัน อาทิตย์แล้วอาทิตย์เล่า ปีแล้วปีเล่าเช่นนี้คริสตจักรจึงได้หล่อหลอมปั้นแต่งชีวิตของเราแต่ละคนทั้งความคิดภายใน และการแสดงออกภายนอก และให้พฤติกรรมชีวิตของเราเติบโตขึ้นตามทางของพระเจ้า ยิ่งเรามีส่วนร่วมในการนมัสการพระเจ้าในคริสตจักรมากเท่าใด ทำให้เราเรียนรู้ในทุกระดับชีวิต มิเพียงแต่รู้ว่าเราเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร แต่เราเรียนรู้ถึงว่าเราเป็นคริสตจักร และคริสตจักรก็คือเรา ในพระเยซูคริสต์ “ทุกส่วนของโครงสร้างถูกเชื่อมต่อกันและเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 2:21)

ประการสุดท้าย ในฐานะคริสตชน เราแยกออกเพื่อคนอื่น เปโตรบอกให้เราทราบว่า เราเป็น "พงศ์พันธุ์ที่ทรงเลือกสรร เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นชนชาติบริสุทธิ์ เป็นประชากรอันเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เพื่อให้พวกท่านประกาศพระเกียรติคุณของพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกพวกท่านให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์” (1เปโตร 2:9) การมีชีวิตที่บริสุทธิ์ ชีวิตที่แยกออกเพื่อพระเจ้า มิใช่เป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง แต่มีเป้าหมายเพื่อโลกนี้ เมื่อเรามองย้อนหลังไปถึงอับราฮัม พระเจ้าทรงประสงค์ให้ประชากรของพระองค์เป็นเครื่องมือของพระองค์ที่จะนำพระพรไปยังบรรดาประชาชาติ การมีชีวิตที่บริสุทธิ์ที่แท้จริงมิใช่เพื่อประชากรของพระเจ้าจะเป็นผู้ชอบธรรม แต่ให้ประชากรของพระองค์เป็นผู้นำพันธกิจแห่งการคืนดีไปสู่โลกที่แบ่งแยกกีดกัน คริสตจักรที่แบ่งแยกกลุ่ม พวก คณะนิกาย พันธกิจแห่งการคืนดีนี้เป็นพันธกิจที่ประชากรของพระเจ้าได้รับมอบหมายจากพระองค์ “สิ่งทั้งหมดนี้เกิดจากพระเจ้า ผู้ทรงให้เราคืนดีกับพระองค์โดยทางพระเยซูคริสต์ และประทานพันธกิจในเรื่องการคืนดีนี้แก่เรา คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกับพระองค์โดยพระคริสต์ ไม่ทรงถือโทษในความผิดของพวกเขา และทรงมอบเรื่องราวการคืนดีนี้ให้เราประกาศ” (2โครินธ์ 5:18-19) ด้วยพันธกิจนี้ ประชาชาติทั้งหลาย เผ่าพันธุ์ หรือ ชาติพันธุ์ต่างๆ คนทุกภาษา จะได้รู้จักความรักของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์

พระเจ้าตรัสว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์” นี่มิใช่ความบริสุทธิ์และความสัตย์ซื่อส่วนบุคคล แต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสนิทสัมพันธ์ที่เรามีกับพระเจ้า เป็นเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่ครบบริบูรณ์ และเป็นชีวิตที่รับใช้ผู้อื่น และนี่คือชีวิตที่บริสุทธิ์ที่จะช่วยให้คริสตชนในยุคปัจจุบันค้นพบเส้นทางชีวิตที่ตนจะดำเนินไปท่ามกลางกระแสโลกแห่งความทันสมัย


เรียบเรียงและสะท้อนคิด
จากการอ่านบทความของ ดร.โจเอล สแกนด์เรตต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น