เรื่องราวของเศรษฐีหนุ่มที่มาหาพระเยซูเพื่อแสวงหา
“คำยืนยัน” จากพระเยซูว่า เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ที่ว่าเช่นนี้เพราะ เขาเชื่อมั่นว่าการดำเนินชีวิตของเขาตามธรรมบัญญัติของยิว เขาจะได้รับชีวิตนิรันดร์อย่างแน่นอน และเขาต้องการให้พระเยซูคริสต์ยืนยันต่อหน้ามหาชนว่า
ชีวิตของเขาจะได้ชีวิตนิรันดร์
แต่ภายหลังจากการที่เขาได้สนทนากับพระเยซูคริสต์ต่อหน้ามหาชน เรากลับเห็นความจริงว่า เศรษฐีหนุ่มคนนี้เป็นคนที่มีชีวิต
“ที่น่ายกย่องสรรเสริญ
แต่ขอโทษครับ...ชีวิตกำลังหลงทาง”
พระเยซูคริสต์ทรงรักเศรษฐีหนุ่มคนนี้ ดังนั้น กระบวนการที่พระองค์พูดคุยกับเขา
พระองค์ต้องการช่วยให้เขาเผชิญหน้ากับความเป็นจริงที่เป็นอยู่ในชีวิตของเขา
และต้องการให้เขาตัดสินใจเลือกเมื่อเขาเผชิญหน้ากับความจริงในชีวิต
ขอตั้งข้อสังเกตว่า เรื่องเศรษฐีหนุ่มในพระกิตติคุณสัมพันธ์ทั้ง 3 ฉบับ
พระเยซูคริสต์เริ่มต้นจากสิ่งที่เขาได้กระทำในชีวิตของเขา ซึ่งเป็นเรื่องในพระมหาบัญญัติประการที่สองคือ
รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
(ซึ่งตามความหมายของยิวในเวลานั้น “เพื่อนบ้าน” มักหมายถึง คนใกล้ชิด
คนสนิท คนที่เขามีความสัมพันธ์ด้วย)
และพระเยซูคริสต์ทรงชื่นชมเขาในส่วนที่เขาทำตามพระมหาบัญญัติในข้อที่สอง
จากนั้น
พระเยซูคริสต์ชี้นำเขาให้ก้าวลงลึกในตัวตนและความเชื่อศรัทธาของเขาเองอีกขั้นหนึ่ง
พระเยซูคริสต์บอกกับเศรษฐีหนุ่มคนนี้ว่า
“แต่ท่านยังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายสิ่งของทั้งหมดที่ท่านมีอยู่...”
(ลูกา 18:23; มัทธิว 19:21;
มาระโก 10:20) พระเยซูนำให้เขามาเผชิญหน้ากับตัวตน และ
ความเชื่อที่แท้จริงของเขา ขั้นตอนนี้
พระเยซูคริสต์ท้าชวนให้เศรษฐีหนุ่มตรวจสอบชีวิตและความเชื่อของตนว่า เขารักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สิ้นสุดความคิด
สิ้นสุดกำลังความสามารถของเขาหรือไม่
ซึ่งเป็นพระมหาบัญญัติข้อที่ 1
พระเยซูคริสต์ได้โค้ชชิ่งเศรษฐีหนุ่มค้นให้พบตนเอง
และ โค้ชเขาเพื่อเขาจะตัดสินใจในชีวิตของเขา
พระมหาบัญญัติที่ให้รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจและสิ้นสุดความคิด
และ กำลังทั้งสิ้น มักถูกตีความและเข้าใจคลาดเคลื่อนจากผู้เชื่อในพระเจ้า
เรามักจะคิดว่าคือการที่เราเข้าร่วมและประกอบศาสนพิธีต่าง ๆ ตามกำหนด ถ้าเป็นคริสตชนปัจจุบัน
คงจะมุ่งเน้นที่มาร่วมนมัสการในวันอาทิตย์
การถวายสิบลด
การทำพันธกิจที่คริสตจักรกำหนด หรือ จัดขึ้น การอธิษฐานส่วนตัว การอ่านพระคัมภีร์...
แต่ในที่นี้
พระคริสต์ท้าชวนเศรษฐีหนุ่มให้ตรวจสอบตนเองว่า
เขามีพระเจ้าเป็นผู้ที่สูงสุดและสำคัญที่สุดในชีวิตจริงหรือ? ระหว่างทรัพย์สิ่งของทั้งหมดที่เขามีมากมายในชีวิตสำคัญกว่าพระเจ้า
หรือ พระเจ้าสำคัญกว่าทรัพย์สินทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ ในที่สุดเขาพบตัวตนที่แท้จริงของเขาคือ
พระเจ้าองค์แท้จริงของเขาในชีวิตคือทรัพย์สิ่งของเงินทองทั้งสิ้นที่เขามีอยู่ และนี่คือรูปเคารพของเศรษฐีหนุ่มในชีวิต
เขารู้แล้วว่าเขาต้องสลัดทิ้งสิ่งเหล่านี้ แล้วมีพระเจ้าเป็นผู้ที่สำคัญที่สุดยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต
แล้วเศรษฐีหนุ่มตัดสินใจเลือกอย่างไรครับ?
จากพฤติกรรมของเศรษฐีหนุ่ม เขาตัดสินใจเดินออกจากวงสนทนาด้วยความทุกข์ใจ แสดงว่า
เขาเห็นด้วยกับการชี้แนะของพระเยซูคริสต์
เขามิได้คัดค้าน โต้แย้งความคิดเห็นของพระองค์ เขาเดินออกไปด้วยความทุกข์ใจเพราะเขามีทรัพย์สมบัติเป็นอันมาก
เขายังทิ้งรูปเคารพในชีวิตของเขาไม่ได้ครับ?
พระเจ้าไม่ได้เป็นเอกเป็นต้นเป็นผู้สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาครับ?
ทุกวันนี้
คริสตชนของเราที่มีชีวิตที่ดีน่ายกย่องสรรเสริญอย่างเศรษฐีหนุ่มคนนี้ แต่ตัดสินใจยอมหลงทาง ยังเดินไปในทางของตนเองมีไหมครับ?
คนที่รักเพื่อนบ้าน คนที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง มิได้บ่งบอกชี้ชัดว่า
เขารักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ สิ้นสุดความคิด และสิ้นสุดกำลังทั้งสิ้นที่ตนมีอยู่
เสมอไป
แต่อาจจะให้เพราะมีความคาดหวังซ่อนเร้น
อาจจะให้เพราะมีผลประโยชน์ทับซ้อน
แต่พระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้เพื่อนบ้านเพราะเขารักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ
คงมิใช่การให้ด้วยเศษเสี้ยวสมบัติสิ่งของที่ตนมีอยู่แก่เพื่อนบ้าน
“กลุ่มเป้าหมาย” แต่ให้ทั้งชีวิตอย่างที่พระคริสต์ทรงให้ทั้งชีวิตอย่างไม่มีเงื่อนไข
เพื่อคนทั้งหลายจะได้ชีวิตใหม่ครับ!
ทุกวันนี้เราคงต้องระวังตนเองครับ... ระวังว่า...ตนเองจะเป็นคนที่น่ายกย่องนับถือที่หลงทางครับ?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น