ดาราชื่อดังคนหนึ่ง
ได้เข้าไปรับประทานอาหารในภัตตาคารแห่งหนึ่ง
เธอสังเกตเห็นชายภูมิฐานคนหนึ่งนั่งโต๊ะใกล้เธอกำลังเป็นหวัดอย่างมาก ด้วยความเป็นคนที่มีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี และ
เป็นคนที่มีความเป็นมิตรต่อคนรอบข้าง เธอจึงถามชายคนนั้นด้วยน้ำเสียงแห่งความเป็นมิตรว่า “ท่านกำลังไม่สบายหรือเปล่าค่ะ?”
ชายคนนั้นมองมาที่เธอแล้วพยักหน้ารับ
เธอกล่าวกับชายคนนั้นว่า “ท่านคงต้องกลับไปที่พัก แล้วดื่มน้ำส้มมาก ๆ และน่าจะกินยาแก้ไข้สัก 2
เม็ด
แล้วหลับพักผ่อนด้วยการห่มผ้าห่มหนาเท่าที่ท่านจะหาได้ จนกว่าเหงื่อแตก ไข้ของท่านก็จะลด นี่บอกจากประสบการณ์ส่วนตัวค่ะ ดิฉันเป็นนักแสดงค่ะ”
ชายคนนั้นยิ้มให้กับดาราที่มีความเป็นมิตรคนนั้น
แล้วกล่าวตอบว่า “ขอบคุณมากครับ
ผมเป็นหมอครับ”
ในทุกวันนี้
ดูเหมือนว่าเรามองตนเองว่ามีความชำนาญการในบางเรื่องบางราว บ้างก็เพียงได้อ่านจากหนังสือ บ้างก็อ่านเพียงบทความในเรื่องนั้น
ปัจจุบันนี้บางคนก็แค่ได้อ่านเรื่องนี้จากที่โน่นที่นี่ในออนไลน์ และที่เราท่านพบบ่อยในทุกวันนี้คือ มีการส่งต่อข้อเขียนความคิดเรื่องต่าง ๆ มากมายไปให้กันและกัน แต่ก็พบว่า ข้อมูลหลายเรื่องที่ส่งให้กันนั้นมีความผิดพลาด
คลาดเคลื่อน และแย่ที่สุดคือเป็นข้อมูลเทียมเท็จไม่จริง ทุกวันนี้เราตกอยู่ในภาวะไม่รู้ว่า ข้อมูลไหนจริงเชื่อถือได้?
สิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในวงการของคริสตจักรเราด้วย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการตีความคำสอน เราจะเชื่อ “นักเทศน์” คนไหนดี? “นักคริสตศาสนศาสตร์”
คนไหนที่สอน/เขียนได้ถูกต้องเชื่อถือได้?
อาจารย์พระคริสตธรรมคนไหนที่สอนถูก
คนไหนที่สอนผิด?
หลักความเชื่อไหนที่ถูกต้องเที่ยงแท้จริง?
เราท่านคงต้องระมัดระวังที่จะไม่ตัดสินว่าคำสอนไหนสอนถูกหรือสอนผิดเพียงเพราะมองว่าคนสอนคนนี้เป็นคนที่มีดีกรี/ปริญญาอะไร จากที่ไหน
มีชื่อเสียงหรือไม่
หรืออยู่ในกระแสนิยมหรือไม่
มีชื่อเสียงโด่งดังไหม ฯลฯ?
แต่ที่สำคัญคือ
ในฐานะคริสตชนคนหนึ่งเราต้องเอาใจใส่ว่า
รากฐานความเชื่อของเราหยั่งรากลึกลงในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่แค่ไหน?
แล้วใส่ใจทุ่มเทในการปล้ำสู้ให้พระวจนะเป็นวิถีการดำเนินชีวิตของเรา
ที่พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา เพื่อเราจะมีรากฐานชีวิตในพระคริสต์ที่หยั่งรากลงลึก พร้อมที่จะถูกกระหน่ำกระโชกจากแรงพายุ แต่ยังสามารถยืนหยัดมั่นคงในพระคริสต์ และนี่คือภูมิคุ้มกันคำสอนผิดคลาดเคลื่อนจากพระวจนะ
เมื่อเราตกอยู่ในภาวะที่ไม่มั่นใจว่า
คำสอนใดที่ถูกต้องสอดคล้องตามพระคัมภีร์
เราต้องพึ่งการทรงนำจากพระเจ้า
เราต้องอธิษฐานทูลขอการชี้นำจากพระองค์
ขอพระองค์ทรงเปิดเผยให้เราเห็นและเกิดการตระหนักรู้สิ่งที่จริงและถูกต้องตามพระวจนะ เกณฑ์ง่าย ๆ ตัวหนึ่งที่อาจจะใช้ได้คือ
การตีความและคำสอนที่ถูกต้องนั้นย่อมนำให้เกิดการถวายเกียรติและยกย่องแด่พระเจ้าเป็นผู้สูงสุดในชีวิตของเรา แต่การสอนหรือการตีความใดที่โน้มเอียงสร้างความโดดเด่นทางความคิดของคนใดคนหนึ่ง หรือเป็นการสอนหรือตีความนำมาซึ่งการยกย่องให้เกียรติมนุษย์ หรือเพื่อสร้างผลประโยชน์แก่มนุษย์คนใดคนหนึ่ง
หรือ พวกใดพวกหนึ่ง
เป็นเรื่องที่เราท่านจำเป็นต้องระมัดระวัง การตีความพระวจนะของพระเจ้าของ “งู”
ตัวนั้นในสวนเอเดน
มันบอกกับมนุษย์สองคนนั้นว่า “...
เจ้าจะไม่ตายหรอก ... ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นในวันนั้น
แล้วพวกเจ้าจะเป็นเหมือนอย่างพระเจ้า คือรู้ความดีและความชั่ว”
(ปฐมกาล 3:5)
จงระวังให้ดี
อย่าให้ใครทำให้พวกท่านตกเป็นทาสด้วยหลักปรัชญา
และคำหลอกลวงที่เหลวไหลตามตำนานของมนุษย์
ตามพวกภูตผีที่ครอบงำของจักรวาล ไม่ใช่ตามพระคริสต์
(โคโลสี 2:8 มตฐ.)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น