ศิษยาภิบาลหลายท่านมักบ่นให้ได้ยินว่า สมาชิกมาโบสถ์เกือบทั้งหมดเป็นสมาชิกประเภท “นั่ง” สมาชิกประเภท “ลุกขึ้น” และ “ลงมือทำ” หาทำยายากในทุกวันนี้
ท่านหมายความว่าสมาชิกที่มาโบสถ์เกือบทั้งหมดมาเพื่อร่วม
“พิธีนมัสการพระเจ้า” เท่านั้น
แต่ชีวิตของเขาไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับงานพันธกิจคริสตจักร และพันธกิจชีวิตสาวกพระคริสต์ในชีวิตประจำวัน
คริสตจักรที่ท่านไปร่วมนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เป็นประจำเป็นอย่างไรบ้างครับ?
คริสตจักรที่ท่านเป็นศิษยาภิบาลเป็นอย่างไรบ้างครับ? สมาชิกที่มาร่วมส่วนมากร่วมนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์
ได้มีส่วนร่วมในพันธกิจต่าง ๆ ของคริสตจักรด้วยหรือเปล่า? หรือส่วนใหญ่มาร่วมการนมัสการพระเจ้าแล้วก็กลับบ้าน
แม้จะจัดให้มีการกินข้าวกลางวันด้วยกัน แต่พอกินเสร็จก็กลับบ้าน แล้วรออาทิตย์หน้ามาโบสถ์ใหม่
เมื่อมีโอกาสพูดคุย ถามไถ่
สัมภาษณ์บรรดาสมาชิกที่มาร่วมนั่งนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์มักจะได้คำตอบว่า นั่นเป็นหน้าที่ของคริสตชนทุกคนจะต้องทำ
แล้วทำจนเคยชินเป็นกิจวัตรประจำสัปดาห์ก็ว่าได้ แต่เมื่อถามและชวนพูดคุยค้นหาว่า ทำไมสมาชิกส่วนใหญ่ถึงมานั่งนมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เท่านั้น
ไม่ทำพันธกิจอื่นใดอีกเลยทั้งในวันอาทิตย์ และในวันอื่น ๆ ของสัปดาห์ ซึ่งพอจะประมวลคำตอบความคิดเห็นได้ดังนี้ครับ
1. เพราะคริสตจักรยอมและปล่อยให้พวกเขาทำเช่นนั้น
คริสตจักรไทยเราส่วนใหญ่มักไม่ได้พูด
สอน และอธิบายแก่สมาชิกของตนแต่ละคนอย่างชัดเจนถึงความคาดหวังว่า คริสตจักรคาดหวังให้คริสตชนแต่ละคนมีชีวิตแบบไหน
คาดหวังให้ทำอะไรที่ต้องทำ และคาดหวังให้เขาเข้าร่วมพันธกิจอะไร อย่างไรบ้าง
คงไม่ต้องแปลกประหลาดใจเลยครับว่า ทำไมสมาชิกและคนที่มาร่วมนมัสการพระเจ้าถึงไม่ทำอะไร
เอาแต่มาร่วมในการนมัสการพระเจ้าเท่านั้น เพราะใคร ๆ ก็ทำอย่างนี้เหมือนกัน และคริสตจักรก็ไม่มีใครว่าอะไร?
2. สมาชิกกลุ่มนี้บอกว่า
ไม่เคยมีใครมาเชิญชวนท้าทายให้พวกเขาเข้าร่วมในงานพันธกิจใดพันธกิจหนึ่งเลย
การประกาศงานบนธรรมาสน์
หรือ การประกาศงานพันธกิจในท้ายระเบียบการนมัสการพระเจ้าของแต่ละอาทิตย์ไม่ได้เชิญชวนท้าทายผู้คนให้เขาร่วมในพันธกิจเลย
แต่เป็นเพียงประกาศให้รู้ว่าคริสตจักรมีงานอื่นอะไรบ้างนอกจากการนมัสการเช้าวันอาทิตย์
เชิญเข้าร่วมตามชอบตามสะดวก ขอเราย้อนกลับไปดูแบบอย่างของพระคริสต์ พระเยซูคริสต์เรียกผู้คนทีละคนเป็นการส่วนตัว
และบอกชัดเจนว่าพระองค์เชิญชวนท้าทายให้เขาเข้ามาร่วมในงานอะไร และพระองค์คาดหวังชีวิตแบบไหนบ้างในชีวิตประจำวันของเขา
3. หมดแรงขาดพลัง
สมาชิกบางคนเหน็ดเหนื่อยจากการทำพันธกิจที่ผ่านมา
พวกเขาเพียงต้องการเวลาที่จะพัก
และมีการเพิ่มแรงเสริมพลังชีวิตใหม่ เพื่อที่จะสามารถเข้าร่วมในการทำพันธกิจครั้งใหม่ต่อไป
ในกลุ่มนี้หลายคนที่ต้องการการอภิบาลฟูมฟักพลิกฟื้นพลังชีวิตใหม่ที่ศิษยาภิบาลต้องไม่มองข้าม
มิเช่นนั้น คริสตจักรอาจจะสูญเสียสมาชิกที่แข็งขันในพันธกิจของคริสตจักรก็ได้
4. สมาชิกส่วนใหญ่ไม่เห็นความจำเป็นสำคัญที่ต้องทำพันธกิจอะไร
สมาชิกที่มาคริสตจักรแล้วนั่งนมัสการพระเจ้าร่วมกับคนอื่น
พวกเขาอาจจะไม่เห็นถึงความจำเป็นต้องการของคริสตจักร เพราะเขาจะมองเห็นในแต่ละวันอาทิตย์ว่า
ดูงานทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีคล่องตัว ไม่มีใครพูดกับเขาว่าคริสตจักรต้องการและจำเป็นในเรื่องอะไรบ้าง
ดังนั้น สมาชิกกลุ่มนี้จึงมาเพียงร่วมในการนมัสการเท่านั้น การที่จะให้สมาชิกแต่ละคนเข้ามาร่วมรับผิดชอบในพันธกิจต่าง
ๆ นั้น ต้องเป็นการเชิญชวนแบบตัวต่อตัว เป็นการเชิญชวนท้าทายเป็นการส่วนตัวจากคริสตจักร
5. สมาชิกส่วนใหญ่ไม่มั่นใจว่าตนจะได้รับการหนุนเสริมให้ทำพันธกิจจนสำเร็จ
สมาชิกบางคนในกลุ่มนี้อาจจะเคยมีประสบการณ์ว่าเมื่อตนเข้าไปร่วมทำพันธกิจ
กลับถูกปล่อยลอยแพให้ทำพันธกิจไปด้วยตนเองเท่านั้น ขาดการอธิบาย สอน ฝึกอบรม
ฝึกปฏิบัติและติดตามหนุนเสริมการทำพันธกิจนั้นให้สามารถทำอย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผล
สมาชิกกลุ่มนี้จึง “กลัว” ที่จะถูกลอยแพให้เข้าไปทำพันธกิจเองอย่างไม่ได้รับการหนุนเสริมจากคริสตจักร
6. บางคนในกลุ่มนี้ไม่รู้ว่าตนเชื่ออะไร
แม้ว่าเขาอาจจะเป็นสมาชิกคริสตจักรมายาวนาน
เขาอาจจะเติบโตในครอบครัวคริสตชนในหลายชั่วอายุคน แต่เขาไม่ได้รับการบ่มเพาะ
วางรากความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่รู้ว่าตนเชื่ออะไรในชีวิต
รู้เพียงว่าตนเองเป็นคริสตชนต้องมานมัสการพระเจ้าในวันอาทิตย์เท่านั้น ในกรณีนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่คริสตจักร
และ ศิษยาภิบาลจะต้องใส่ใจ ทุ่มเท ที่จะเสริมสร้าง วางรากฐานความเชื่อของสมาชิกแต่ละคนก่อนว่า
ที่ตนเป็นคริสตชนนั้น ตนเชื่อและวางใจในเรื่องอะไรบ้าง และตนจะต้องมีความเชื่อที่รับผิดชอบต่อการทรงเรียกของพระเจ้า
และพระบัญชาของพระองค์ในเรื่องอะไรบ้าง
7. สมาชิกบางคนในกลุ่มนี้มีกิจการงานมากมาย
สมาชิกกลุ่มนี้เป็นสมาชิกที่มีกิจการงานรับผิดชอบมากมาย
ถึงแม้มีพันธกิจมากมายในคริสตจักรแต่พวกเขาไม่มีเวลาที่จะเจียดให้ได้ การที่จะเชิญชวน
มอบหมาย หรือท้าทายให้เขาทำพันธกิจบางอย่างดูจะเป็นไปไม่ได้ หรือ
ไม่ได้รับการตอบสนองที่ดี ข้ออ้างของสมาชิกกลุ่มนี้คือ เขาเห็นความสำคัญของพันธกิจดังกล่าว
แต่ตนเองยุ่งมากไม่มีเวลาที่จะมาช่วยได้ คริสตจักรและศิษยาภิบาลอาจจะจำเป็นที่ต้องพิจารณาถึงการเสริมสร้างความเชื่อและความเข้าใจถึง
“เป้าหมายชีวิต” ของคริสตชนนั้นคืออะไรกันแน่!
8. ชีวิตของสมาชิกบางคนในกลุ่มนี้ถูกครอบงำควบคุมด้วยอำนาจความผิดบาป
สำหรับคนที่ตกอยู่ใต้การครอบงำของอำนาจความบาปผิด
คงยากที่จะเปิดตัวเปิดใจรับใช้พระเจ้า พวกเขาคงเลือกที่แฝงตัวเงียบ ๆ ท่ามกลางกลุ่มสมาชิก
หรือ รอจังหวะฉกฉวยผลประโยชน์และอำนาจในคริสตจักรเท่านั้น
9. สมาชิกบางคนในกลุ่มนี้อาจจะไม่เคยอ่านและเข้าใจถึง 1โครินธ์ บทที่ 12
น่าคิดว่า
บ่อยครั้งเมื่อสมาชิกเริ่มมีความเข้าใจถึงของประทานของพระเจ้าในชีวิตของแต่ละคน และการทำงานพันธกิจร่วมกันแบบประสานหนุนเสริมเฉกเช่นร่างกายเดียวกัน
ผู้คนจะเริ่มมั่นใจมากขึ้นในการเข้ามาร่วมทำพันธกิจแบบอวัยวะของร่างกายทำงานร่วมกัน
ดังนั้น คริสตจักรต้องใส่ใจที่จะสอนและเสริมสร้างสมาชิกให้ทำงานร่วมกันแบบหนุนเสริมกันและกัน
10. ไม่มีใครอธิษฐานทุ่มเท เจาะจง และจริงจังสำหรับคนที่จะทำพันธกิจ
พระเยซูคริสต์บอกสาวกที่ทำการเก็บเกี่ยวให้อธิษฐานทูลขอพระเจ้าประทานให้มีคนทำงานมากขึ้น
(ลูกา 10:1-2) เมื่อคริสตจักรของเรามิได้ยึดมั่นเหนียวแน่ในการอธิษฐานอย่างใส่ใจและตั้งใจ
และการอธิษฐานมิได้เป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์งานพันธกิจของเรา ก็ไม่ต้องคาดหวังว่าเราจะมีคนงานสำหรับพันธกิจในคริสตจักรเพิ่มมากขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น