อ่าน
อพยพ บทที่ 33
... พระองค์ตรัสกับข้าพระองค์(โมเสส)ว่า “จงนำประชากรเหล่านี้ไป”
“แต่พระองค์ยังไม่ได้บอกเลยว่า จะทรงส่งผู้ใดไปกับข้าพระองค์”
(แล้ว)พระองค์ตรัสว่า “เรารู้จักชื่อของเจ้า และเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเรา”
(โมเสสทูลว่า)
“หากพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์
ขอสอนทางของพระองค์
เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์สืบไป นอกจากนี้ขอทรงระลึกว่า ชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “เราเองจะไปกับเจ้าและให้เจ้าได้หยุดพัก”
โมเสสจึงกราบทูลว่า
“หากพระองค์ไม่ได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ทั้งหลาย
ก็อย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเคลื่อนไปจากที่นี่เลย หากพระองค์ไม่ได้เสด็จไปด้วย
ใครเล่าจะทราบได้ว่าข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปรานและแตกต่างจากประชากรอื่นใดบนแผ่นดินโลก?”
(อพยพ 33:12-15 อมต.)
เมื่อเราตอบตกลงเข้าทำงานไม่ว่าในสถาบัน
หน่วยงาน บริษัท หรือองค์กรใด เราก็เป็นลูกจ้างในที่แห่งนั้น การตอบรับเข้าทำงานในองค์กรแห่งนั้นๆ บ่งบอกถึงหลายประการด้วยกัน เช่น
องค์กรอนุญาตให้เราเข้าไปในที่ทำงานขององค์กร เรามีชั่วโมงในการทำงาน เราจะได้รับค่าจ้างตามสัญญา เราต้องทำงานร่วมกับคนงานอื่นๆ ในองค์กรนั้น เราจะทำงานเต็มประสิทธิภาพในภาระการงานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ จริงๆ แล้วการตอบรับเข้าทำงานในองค์กรแห่งหนึ่งมีงาน
ความรับผิดชอบมากกว่าที่มีในสัญญาว่าจ้างจะเป็นเอกสารหรือด้วยวาจาก็ตาม แต่ที่เราตอบรับเข้าทำงานในองค์กรแห่งนั้น เป็นการตอบรับตามกิจการงานความรับผิดชอบที่เราเข้าใจ
แต่เราจะทำอย่างไร
เมื่องานความรับผิดชอบของเรามีมากกว่าที่เราเข้าใจ หรือ มากกว่าที่ตกลงหรือสัญญากัน?
หรือเรารู้สึกว่าเราตกหลุมพรางสัญญาจ้างงาน
จนบางครั้งบางคนรู้สึกว่าตนถูกนายจ้างหลอก หรือ เอาเปรียบ ถึงขนาดที่รู้สึกว่าตนตัดสินใจผิดที่รับจ้างทำงานในองค์กรแห่งนี้
โมเสสยอมรับงานที่พระเจ้าทรงเรียกแม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตาม ให้นำประชากรของพระองค์ออกจากการตกเป็นทาสในประเทศอียิปต์เพื่อมุ่งไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาที่พระเจ้าทรงมีต่ออับราฮัม อิสอัค และยาโคบ
ในการนี้โมเสสยอมรับภาระความรับผิดชอบที่จะเผชิญหน้ากับฟาโรห์ แล้วนำชนชาติอิสราเอลไปสู่แผ่นดินที่อุดมมั่งคั่งแห่งคำสัญญา เป็นตัวแทนของพระเจ้า และเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้าผ่านทางอาโรน
โมเสสเกิดความรู้สึกว่าตนตกลงในกับดัก หรือ
รู้สึกถูกขัดขวาง
ซึ่งไม่มีรายละเอียดในการทรงเรียก
เขาถูกทับถมจู่โจมจากการเรียกร้องต้องการของประชากรอิสราเอลอย่างไม่รู้จักจบสิ้น
จนโมเสสต้องทูลถามพระเจ้าตรงๆ ว่า ทำไมพระเจ้าถึงทรงเรียกให้เขาต้องมาทำงานกับประชากรพวกนี้ที่แข็งคอและแข็งข้อ เป็นประชากรที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเอง
และนี่คือตัวสร้างความเครียดไม่รู้จักหยุดจักหย่อน
อีกอย่างหนึ่งการที่ต้องมาเดินวนเวียนด้วยความยากลำบากในถิ่นทุรกันดารที่อันตรายและยากลำบากก็ไม่มีรายละเอียดในการทรงเรียกของพระเจ้า โมเสสรู้สึกว่าตนเองตกเป็นจำเลยของประชากรอิสราเอล แต่พระเจ้ากลับกลายเป็นพระเอกเพราะพระองค์กอรปด้วยความรักเมตตาและการยกโทษ
เมื่อโมเสสต้องตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ส่วนตัว และ
สภาพแวดล้อมชุมชนอิสราเอลเช่นนี้
โมเสสเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า
โมเสสรู้แน่ชัดว่าตนมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพระเจ้า เพราะพระองค์ยืนยันกับโมเสสว่า
“เรารู้จักชื่อของเจ้า” และ “โมเสสเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”
ในสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่โมเสสทูลขอจากพระเจ้าคือ “หากพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์ ขอทรงสอนทางของพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์ และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์สืบไป นอกจากนี้
ขอทรงระลึกว่าชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์” (ข้อ 13)
ในภาวะวิกฤติของการทำงานการทรงเรียกของพระเจ้า โมเสสทูลขอให้พระเจ้าสอนถึงวิถีทางและวิธีการของพระองค์ที่ตนควรจะต้องกระทำ เพื่อที่ตนจะสามารถทำการทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์
สำหรับโมเสสแล้วคือการที่เขาสามารถที่จะนำประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียก
พระเจ้าทรงสัญญาว่า พระองค์จะขับเคลื่อนไปในภาวะวิกฤติกับโมเสส และ
ประชาชาติอิสราเอล สำหรับโมเสสเขาเห็นว่า การที่พระเจ้าสอนวิถีและวิธีของพระองค์ เพื่อตนและชนชาติอิสราเอลจะได้ทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสอน ทำให้ประชาชาติทั้งหลายตระหนักว่า ชนชาติอิสราเอลเป็นประชากรของพระเจ้า และนี่คือสิ่งที่บ่งชี้ว่าอิสราเอลเป็นชนชาติที่แตกต่างจากประชากรอื่นๆ
บนพื้นโลกนี้ (ข้อ 15 อมต.)
การประกอบอาชีพและการทำงานของเราในวันนี้ เมื่อเราถูกทับถม จู่โจมจากสถานการณ์แวดล้อม จนทำให้เรารู้สึกท้อแท้และท้อถอย จนอยากจะลาออกจากงานนี้วันละหลายครั้ง ให้เราทำอย่างโมเสส ร้องทูลต่อพระเจ้า เพื่อเป็นการทบทวนย้ำเตือนถึงความสัมพันธ์ที่สนิทใกล้ชิดที่พระองค์ทรงมีต่อเรา เพราะ “พระองค์รู้จักชื่อของเรา” ให้เราทูลขอพระเจ้า “ทรงสอนทางของพระองค์”
ท่ามกลางวิกฤตินี้แก่เรา
เพื่อเราจะรู้ว่า
พระองค์มีวิถีทางและวิธีการเช่นไรสำหรับเราที่จะรับมือกับวิกฤตินี้ และขอพระเจ้าอยู่กับเรา การดำเนินชีวิตของเรา และการทำงานของเราในที่ทำงานและวิกฤตินั้น
เพื่อผู้คนรอบข้างจะเห็นถึงความแตกต่างของเราจากคนทั่วไป
ใคร่ครวญและทบทวน
- ท่านเคยมีประสบการณ์ที่ตกลงสัญญาทำงานแล้ว เมื่อเข้าไปทำงานจริงกลับพบกับสิ่งติดขัดมากมาย และมีหลายอย่างที่ไม่ได้ตกลงกัน ทำให้เกิดความคับข้องใจหรือไม่?
- สิ่งที่เกิดความติดขัด คับข้องใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับด้านใด ชั่วโมงการทำงาน สถานที่ทำงาน เงินเดือนเงินค่าตอบแทน เพื่อนร่วมกัน หรือภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ?
- ในสถานการณ์วิกฤติดังกล่าว ท่านจะทูลขอให้พระเจ้ามาอยู่ด้วยกับท่านในที่ทำงานได้อย่างไร ที่จะทำให้เกิดความแตกต่างทั้งสถานการณ์แวดล้อม งานที่ทำความรับผิดชอบ และความสัมพันธ์ที่ท่านมีต่อคนอื่นๆ ในที่ทำงาน?
- อาชีพการงานที่ท่านกำลังทำอยู่ในทุกวันนี้ ท่านรู้สึกว่าเป็นงานที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้ทำหรือไม่?
ภาวนาใคร่ครวญ
ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเรียกโมเสสเช่นใด พระองค์ก็ทรงเรียกข้าพระองค์ให้ทำในงานที่ข้าพระองค์รับผิดชอบในวันนี้เช่นกัน ให้ทำงานนี้
ในสถานที่แห่งนี้ และการทำงานกับเพื่อร่วมงานกลุ่มนี้ พระองค์เจ้าข้า มันเป็นงานที่หนัก และ มีแต่ความเครียด
บ่อยครั้งที่ข้าพระองค์ต้องรับผิดชอบมากกว่าที่ได้ตกลงสัญญากัน
จนบางครั้งข้าพระองค์ต้องการที่จะเดินออกไปจากความรับผิดชอบนี้
โปรดช่วยข้าพระองค์ให้สามารถกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้ข้าพระองค์กระทำ
และโปรดเมตตาสอนและฝึกฝนข้าพระองค์ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้กระทำ และสามารถร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานกลุ่มนี้
แต่ถ้างานที่ข้าพระองค์กำลังทำอยู่นี้มิใช่งานที่พระองค์ทรงเรียก โปรดช่วยให้เกิดความตระหนักชัดและทรงเปิดทางการเปลี่ยนแปลงในงานที่จะต้องกระทำตามการทรงเรียกด้วยพระคุณของพระองค์
และถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์
โปรดสำแดงวิถีทางและวิธีการของพระองค์ที่ข้าพระองค์จะได้เรียนรู้
และโปรดนำหน้าชีวิตและการงานของข้าพระองค์ อาเมน
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น