22 มกราคม 2557

งานอาชีพ...ต้องรับผิดชอบมากกว่าที่คิด?

อ่าน อพยพ บทที่ 33

... พระองค์ตรัสกับข้าพระองค์(โมเสส)ว่า  “จงนำประชากรเหล่านี้ไป”  
“แต่พระองค์ยังไม่ได้บอกเลยว่า  จะทรงส่งผู้ใดไปกับข้าพระองค์”
(แล้ว)พระองค์ตรัสว่า “เรารู้จักชื่อของเจ้า  และเจ้าเป็นที่โปรดปรานของเรา”
(โมเสสทูลว่า)  “หากพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์  ขอสอนทางของพระองค์   เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์  และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์สืบไป   นอกจากนี้ขอทรงระลึกว่า  ชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์”
องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า  “เราเองจะไปกับเจ้าและให้เจ้าได้หยุดพัก”
โมเสสจึงกราบทูลว่า  “หากพระองค์ไม่ได้เสด็จไปกับข้าพระองค์ทั้งหลาย  ก็อย่าให้ข้าพระองค์ทั้งหลายเคลื่อนไปจากที่นี่เลย   หากพระองค์ไม่ได้เสด็จไปด้วย   ใครเล่าจะทราบได้ว่าข้าพระองค์และประชากรของพระองค์เป็นที่โปรดปรานและแตกต่างจากประชากรอื่นใดบนแผ่นดินโลก?”  
(อพยพ 33:12-15 อมต.)

เมื่อเราตอบตกลงเข้าทำงานไม่ว่าในสถาบัน หน่วยงาน  บริษัท หรือองค์กรใด   เราก็เป็นลูกจ้างในที่แห่งนั้น   การตอบรับเข้าทำงานในองค์กรแห่งนั้นๆ   บ่งบอกถึงหลายประการด้วยกัน  เช่น  องค์กรอนุญาตให้เราเข้าไปในที่ทำงานขององค์กร   เรามีชั่วโมงในการทำงาน   เราจะได้รับค่าจ้างตามสัญญา   เราต้องทำงานร่วมกับคนงานอื่นๆ ในองค์กรนั้น   เราจะทำงานเต็มประสิทธิภาพในภาระการงานที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบ   จริงๆ แล้วการตอบรับเข้าทำงานในองค์กรแห่งหนึ่งมีงาน ความรับผิดชอบมากกว่าที่มีในสัญญาว่าจ้างจะเป็นเอกสารหรือด้วยวาจาก็ตาม   แต่ที่เราตอบรับเข้าทำงานในองค์กรแห่งนั้น  เป็นการตอบรับตามกิจการงานความรับผิดชอบที่เราเข้าใจ

แต่เราจะทำอย่างไร   เมื่องานความรับผิดชอบของเรามีมากกว่าที่เราเข้าใจ หรือ มากกว่าที่ตกลงหรือสัญญากัน?   หรือเรารู้สึกว่าเราตกหลุมพรางสัญญาจ้างงาน   จนบางครั้งบางคนรู้สึกว่าตนถูกนายจ้างหลอก   หรือ เอาเปรียบ   ถึงขนาดที่รู้สึกว่าตนตัดสินใจผิดที่รับจ้างทำงานในองค์กรแห่งนี้

โมเสสยอมรับงานที่พระเจ้าทรงเรียกแม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจนักก็ตาม   ให้นำประชากรของพระองค์ออกจากการตกเป็นทาสในประเทศอียิปต์เพื่อมุ่งไปสู่แผ่นดินแห่งพระสัญญาที่พระเจ้าทรงมีต่ออับราฮัม  อิสอัค และยาโคบ   ในการนี้โมเสสยอมรับภาระความรับผิดชอบที่จะเผชิญหน้ากับฟาโรห์   แล้วนำชนชาติอิสราเอลไปสู่แผ่นดินที่อุดมมั่งคั่งแห่งคำสัญญา   เป็นตัวแทนของพระเจ้า   และเป็นกระบอกเสียงของพระเจ้าผ่านทางอาโรน

โมเสสเกิดความรู้สึกว่าตนตกลงในกับดัก  หรือ  รู้สึกถูกขัดขวาง   ซึ่งไม่มีรายละเอียดในการทรงเรียก   เขาถูกทับถมจู่โจมจากการเรียกร้องต้องการของประชากรอิสราเอลอย่างไม่รู้จักจบสิ้น    จนโมเสสต้องทูลถามพระเจ้าตรงๆ ว่า   ทำไมพระเจ้าถึงทรงเรียกให้เขาต้องมาทำงานกับประชากรพวกนี้ที่แข็งคอและแข็งข้อ   เป็นประชากรที่ดื้อรั้นเอาแต่ใจตนเอง  และนี่คือตัวสร้างความเครียดไม่รู้จักหยุดจักหย่อน  อีกอย่างหนึ่งการที่ต้องมาเดินวนเวียนด้วยความยากลำบากในถิ่นทุรกันดารที่อันตรายและยากลำบากก็ไม่มีรายละเอียดในการทรงเรียกของพระเจ้า   โมเสสรู้สึกว่าตนเองตกเป็นจำเลยของประชากรอิสราเอล   แต่พระเจ้ากลับกลายเป็นพระเอกเพราะพระองค์กอรปด้วยความรักเมตตาและการยกโทษ

เมื่อโมเสสต้องตกอยู่ในสภาวะอารมณ์ส่วนตัว และ สภาพแวดล้อมชุมชนอิสราเอลเช่นนี้   โมเสสเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า   โมเสสรู้แน่ชัดว่าตนมีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับพระเจ้า  เพราะพระองค์ยืนยันกับโมเสสว่า “เรารู้จักชื่อของเจ้า” และ “โมเสสเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า”   ในสถานการณ์เช่นนี้สิ่งที่โมเสสทูลขอจากพระเจ้าคือ  “หากพระองค์ทรงพอพระทัยข้าพระองค์  ขอทรงสอนทางของพระองค์   เพื่อข้าพระองค์จะรู้จักพระองค์   และเป็นที่โปรดปรานของพระองค์สืบไป   นอกจากนี้  ขอทรงระลึกว่าชนชาตินี้เป็นประชากรของพระองค์” (ข้อ 13)  

ในภาวะวิกฤติของการทำงานการทรงเรียกของพระเจ้า   โมเสสทูลขอให้พระเจ้าสอนถึงวิถีทางและวิธีการของพระองค์ที่ตนควรจะต้องกระทำ   เพื่อที่ตนจะสามารถทำการทำงานที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้สำเร็จตามพระประสงค์ของพระองค์   สำหรับโมเสสแล้วคือการที่เขาสามารถที่จะนำประชากรของพระเจ้าที่พระองค์ทรงเรียก

พระเจ้าทรงสัญญาว่า   พระองค์จะขับเคลื่อนไปในภาวะวิกฤติกับโมเสส และ ประชาชาติอิสราเอล สำหรับโมเสสเขาเห็นว่า   การที่พระเจ้าสอนวิถีและวิธีของพระองค์   เพื่อตนและชนชาติอิสราเอลจะได้ทำตามสิ่งที่พระองค์ทรงสอน   ทำให้ประชาชาติทั้งหลายตระหนักว่า   ชนชาติอิสราเอลเป็นประชากรของพระเจ้า   และนี่คือสิ่งที่บ่งชี้ว่าอิสราเอลเป็นชนชาติที่แตกต่างจากประชากรอื่นๆ บนพื้นโลกนี้ (ข้อ 15 อมต.)

การประกอบอาชีพและการทำงานของเราในวันนี้   เมื่อเราถูกทับถม จู่โจมจากสถานการณ์แวดล้อม   จนทำให้เรารู้สึกท้อแท้และท้อถอย   จนอยากจะลาออกจากงานนี้วันละหลายครั้ง   ให้เราทำอย่างโมเสส   ร้องทูลต่อพระเจ้า   เพื่อเป็นการทบทวนย้ำเตือนถึงความสัมพันธ์ที่สนิทใกล้ชิดที่พระองค์ทรงมีต่อเรา   เพราะ “พระองค์รู้จักชื่อของเรา”   ให้เราทูลขอพระเจ้า “ทรงสอนทางของพระองค์” ท่ามกลางวิกฤตินี้แก่เรา   เพื่อเราจะรู้ว่า  พระองค์มีวิถีทางและวิธีการเช่นไรสำหรับเราที่จะรับมือกับวิกฤตินี้   และขอพระเจ้าอยู่กับเรา   การดำเนินชีวิตของเรา  และการทำงานของเราในที่ทำงานและวิกฤตินั้น  

เพื่อผู้คนรอบข้างจะเห็นถึงความแตกต่างของเราจากคนทั่วไป
ใคร่ครวญและทบทวน

  1. ท่านเคยมีประสบการณ์ที่ตกลงสัญญาทำงานแล้ว  เมื่อเข้าไปทำงานจริงกลับพบกับสิ่งติดขัดมากมาย  และมีหลายอย่างที่ไม่ได้ตกลงกัน   ทำให้เกิดความคับข้องใจหรือไม่?
  2. สิ่งที่เกิดความติดขัด คับข้องใจเป็นเรื่องเกี่ยวกับด้านใด   ชั่วโมงการทำงาน   สถานที่ทำงาน  เงินเดือนเงินค่าตอบแทน   เพื่อนร่วมกัน   หรือภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ?
  3. ในสถานการณ์วิกฤติดังกล่าว   ท่านจะทูลขอให้พระเจ้ามาอยู่ด้วยกับท่านในที่ทำงานได้อย่างไร   ที่จะทำให้เกิดความแตกต่างทั้งสถานการณ์แวดล้อม   งานที่ทำความรับผิดชอบ   และความสัมพันธ์ที่ท่านมีต่อคนอื่นๆ ในที่ทำงาน?
  4. อาชีพการงานที่ท่านกำลังทำอยู่ในทุกวันนี้   ท่านรู้สึกว่าเป็นงานที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้าให้ทำหรือไม่?

ภาวนาใคร่ครวญ

ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า   พระองค์ทรงเรียกโมเสสเช่นใด   พระองค์ก็ทรงเรียกข้าพระองค์ให้ทำในงานที่ข้าพระองค์รับผิดชอบในวันนี้เช่นกัน   ให้ทำงานนี้   ในสถานที่แห่งนี้  และการทำงานกับเพื่อร่วมงานกลุ่มนี้   พระองค์เจ้าข้า   มันเป็นงานที่หนัก และ มีแต่ความเครียด   บ่อยครั้งที่ข้าพระองค์ต้องรับผิดชอบมากกว่าที่ได้ตกลงสัญญากัน   จนบางครั้งข้าพระองค์ต้องการที่จะเดินออกไปจากความรับผิดชอบนี้ 

โปรดช่วยข้าพระองค์ให้สามารถกระทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้ข้าพระองค์กระทำ   และโปรดเมตตาสอนและฝึกฝนข้าพระองค์ทำในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกให้กระทำ  และสามารถร่วมงานกับเพื่อนร่วมงานกลุ่มนี้   

แต่ถ้างานที่ข้าพระองค์กำลังทำอยู่นี้มิใช่งานที่พระองค์ทรงเรียก   โปรดช่วยให้เกิดความตระหนักชัดและทรงเปิดทางการเปลี่ยนแปลงในงานที่จะต้องกระทำตามการทรงเรียกด้วยพระคุณของพระองค์   และถ้าข้าพระองค์เป็นที่โปรดปรานของพระองค์   โปรดสำแดงวิถีทางและวิธีการของพระองค์ที่ข้าพระองค์จะได้เรียนรู้   และโปรดนำหน้าชีวิตและการงานของข้าพระองค์   อาเมน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น