ทำไมเรียนจบพระคริสต์ธรรมแล้วไม่ทำงานในคริสตจักร?
“คนเรียนจบพระคริสต์ธรรมแล้วต้องทำงานรับใช้พระเจ้าในโบสถ์ในคริสตจักร...”
“เวลามาเรียนในพระคริสต์ธรรม ก็รับทุนที่เป็นเงินถวายจากคริสตจักร แล้วเมื่อเรียนจบ ทำไมไปทำงานอย่างอื่นเสีย... นี่มิใช่การเบี้ยวพระเจ้าหรือ?”
“เมื่อมาสมัครเรียนก็ให้สัมภาษณ์ว่าพระเจ้าทรงเรียกจึงมาเตรียมตัวรับใช้พระองค์
แต่เมื่อเรียนจบแล้วกลับไปทำงานองค์กรงานพัฒนาชุมชน
ทำอย่างนี้เป็นการสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าหรือเปล่า?”
คำถามแบบนี้สามารถถามหรือได้ยินไปอีกเป็นร้อยเป็นพันคำถามครับ และหลายคนก็ตกเป็นจำเลยของคำถามเหล่านี้ บ่อยครั้งก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ไม่กล้าไปปรึกษาใคร เพราะคิดว่าตนกำลังทำผิด กลายเป็น “ตราบาป” ที่แขวนคอประจานตนเองไปตลอดเวลา หาคำตอบไม่พบ หาทางออกไม่ได้!
แก่นหลักของประเด็นนี้อยู่ที่
“กรอบคิดกรอบเชื่อ” ของเราต่อเรื่อง
“การทรงเรียกและการตอบสนองการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเรา” ตราบใดที่เราขาดความเข้าใจและความเชื่อที่ชัดเจนเกี่ยวกับการทรงเรียกของพระเจ้าในชีวิตของเรา
อาจจะทำให้เราพลาดโอกาสที่จะใช้ชีวิตที่เราดำเนินอยู่จริงแต่ละวันที่จะตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้าอย่างมีคุณค่าและความสุข
กรอบคิดกรอบเชื่อที่คับแคบและสายตาสั้นที่มีอยู่อย่างกลาดเกลื่อนทั่วไปในคริสตจักรไทยของเราคือ
พระเจ้าทรงเรียกคนให้รับใช้พระองค์ในงานพันธกิจการรับใช้ของคริสตจักร(เท่านั้น) กล่าวขยายความ งานต่างๆที่เราต้องทำ ต้องรับผิดชอบ
ไม่เคยคิดที่จะเอามาเป็นส่วนหนึ่งในสาระบบการทรงเรียกของพระเจ้า ดังนั้น
คริสตชนจึงมักจำกัดขีดเส้นการทรงเรียกของพระเจ้าเพียงงานรับใช้ในคริสตจักร กระทำศาสนพิธี เลี้ยงดูจิตวิญญาณของสมาชิกในคริสตจักร แล้วออกไปประกาศให้มีคนมารับเชื่อใหม่เพิ่มมากขึ้น
เรื่องในทำนองนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรฝรั่งด้วยเช่นกันครับ และพยายามมีอิทธิพลทางกรอบคิดกรอบเชื่อของคริสตชนไทยบางส่วนด้วยเช่นกัน ผมขอยกตัวอย่างข้อเขียนของ Carolyn
Custis James ที่เล่าถึงประสบการณ์ของตนเองในเรื่องนี้ในบทความเรื่อง
“Is This Enough?”
หลังจากที่เรียนจบพระคริสต์ธรรม เธอได้รับใช้ในงานรับใช้ต่างๆ ที่เธอชอบเป็นทีมผู้อภิบาลคนหนึ่งในคริสตจักรที่เท็กซัส เธอรับผิดชอบพันธกิจสตรีวัยรุ่น นำกลุ่มเรียนพระคัมภีร์ในแต่ละสัปดาห์ มีส่วนในพันธกิจด้านดนตรี และยังมีโอกาสใช้เวลากับหนุ่มสาวในคริสตจักร
เมื่อเธอแต่งงานจึงต้องย้ายงานตามสามีไปที่เพนสิเวเนีย
ติดตามและสนับสนุนการศึกษาต่อของสามี
เธอต้องเปลี่ยนจากงานในคริสตจักรไปทำงานด้านบริหารในโรงพยาบาล รับผิดชอบในงานด้านการจัดการ งานคอมพิวเตอร์ และการพัฒนาซอฟแวร์ โอกาสที่จะทำงานพันธกิจคริสตจักรถูกกระทบกระเทือน
งานที่เธอทำอย่างมีความสุขในเวลานั้นกลับถูกมองเหมือนว่าเธอได้ก้าวออกไปจากงานรับใช้ตามกระแสการทรงเรียก
เมื่อลูกสาวของเธออายุสามขวบ ครอบครัวของเธอต้องย้ายถิ่นฐานไปไกลที่ออกซ์ฟอร์ด
ประเทศอังกฤษ
สนับสนุนสามีของเธอเป็นเวลาสี่ปีในการศึกษาระดับปริญญาเอก
และในช่วงเวลานั้นเธอต้องใช้ความรู้จากการพัฒนาซอฟแวร์ในการหารายได้เลี้ยงดูครอบครัว เกิดช่องว่างกว้างเป็นเวลา 13 ปีที่เธอห่างเหินออกไปจากงานพันธกิจ(แบบทางการ) เพราะเธอต้องใช้เวลาและพลังชีวิตทำงานกับลูกค้าของเธอ จนเธอไม่มีเวลาเหลือที่จะทำสิ่งอื่นใด
และความรู้สึกผิดว่าตนเองไม่ได้รับใช้พระเจ้าฝังแน่เกาะกุมในจิตใจของเธอในเวลานั้น
ในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อนคนหนึ่งของเธอ
ได้กล่าวคำพูดที่ปลดปล่อยให้เธอเป็นอิสระจากกรอบคิดกรอบเชื่อที่คับแคบเกี่ยวกับการรับใช้พระเจ้าและการทรงเรียกของพระองค์ว่า “บางครั้งชีวิตครอบครัวก็เป็นพันธกิจการหนึ่งที่พระเจ้าทรงเรียก”
แล้วเพื่อนของเธอได้ช่วยชี้ให้เธอเห็นถึงเหตุผลและความสำคัญของสิ่งต่างๆ ที่เธอกระทำในเวลาช่วงนั้น
แท้จริงแล้วแม้ว่าเธอจะมิได้เป็นผู้นำในกลุ่มเรียนพระคัมภีร์ หรืออาสารับใช้ในพันธกิจคริสตจักร
แต่เธอยังรับใช้พระเจ้าตามการทรงเรียกของพระองค์ เพื่อนคนนั้นได้ช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้เธอเห็นถึงความสำคัญและความเชื่อมโยงระหว่างงานที่เธอทำอยู่กับการทรงเรียกของพระเจ้า ให้ภาพชัดเจนในงานรับใช้พระเจ้าแก่เธอ
แม้คำอธิบายของเพื่อนจะไม่ได้ครอบครอบคลุมพื้นที่ชีวิตที่เป็นไปได้ทั้งหมดในการรับใช้พระเจ้าที่พระองค์ทรงมอบหมายด้วยการทรงไว้วางใจเราที่จะใช้โอกาสเหล่านั้นในการรับใช้พระองค์
Carolyn Custis James
กล่าวว่า การทรงเรียกของพระเจ้ามิได้เริ่มต้นที่พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์(มัทธิว
28:18-20)
แต่การทรงเรียกครั้งแรกของพระเจ้ามีเมื่อพระองค์ทรงสร้างชายและหญิงตามพระฉายาของพระองค์
(ปฐมกาลบทที่ 1-2)
ที่ชี้ชัดว่า
ทุกสิ่งที่เรากระทำในชีวิตประจำวันมีค่าความหมายในการรับใช้พระเจ้า เธอได้เขียนไว้ในข้อเขียนเรื่อง Half
the Church ว่า
“พระเจ้าทรงให้เราอยู่ท่ามกลางพระราชกิจที่พระองค์กำลังกระทำในโลกนี้
พระองค์มิได้ให้เราเป็นผู้ชมผู้ดูการทำพระราชกิจของพระองค์ แต่พระองค์เรียกให้เราเป็นตัวแทนและเป็นคนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในความรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นล้อมรอบชีวิตประจำวันของเรา”
พระฉายาของพระเจ้าที่ทรงฝังเข้ามาในชีวิตของเรา
พระองค์ทรงเรียกให้เราเป็นตัวแทนของพระองค์ เป็นตาของพระองค์ เป็นมือเป็นแขนของพระองค์ เป็นเสียงของพระองค์
และพระองค์ยังหวังให้เราที่จะเอาใจใส่ที่ฟังให้ได้ยินเสียงร้องของผู้คนที่ได้รับความเจ็บปวดในชีวิต ได้รับการกดขี่ข่มเหง
เพื่อมุ่งมองสอดส่องว่ามีสิ่งใดบ้างไหมที่มิได้เป็นไปตามที่พระองค์ประสงค์ และดำเนินการให้สิ่งเหล่านั้นให้เป็นไปอย่างถูกต้องตามพระประสงค์ในพระนามของพระองค์
นั่นหมายความว่า ทุกที่ที่เราไป ทุกสิ่งที่เราทำ เราจะกระทำทุกสิ่งเหล่านั้นเพื่อรับใช้พระเจ้า
ตั้งแต่การที่จะดูแลเอาใจใส่วิถีการดำเนินชีวิต ทรัพยากรโลก
มีส่วนในการปลดปล่อยคนที่ถูกบีบบังคับให้อิสระ เอาใจใส่คนที่หิวโหย ปลดเปลื้องให้ผู้คนที่เราทำงานด้วยหลุดรอดออกจากการถูกเอารัดเอาเปรียบ
การกดขี่ข่มเหง ทั้งในที่ทำงาน หรือแม้แต่การกล่อมลูกน้อยให้นอนหลับ
นี่เป็นงานรับใช้ตามการทรงเรียกของพระเจ้าทั้งสิ้น
สำหรับพระคริสต์แล้ว
พระองค์รับใช้ตามการทรงเรียกของพระบิดาท่ามกลางคนที่ต่ำต้อยเล็กน้อยที่สุดในสังคม คนที่ถูกโลกมองข้าม ทอดทิ้ง
และหลงลืม พระองค์ทรงกระทำพระราชกิจอย่างเงียบเรียบง่าย แม้ผู้คนส่วนใหญ่จะมองไม่เห็นก็ตาม พระองค์ตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่าสิ่งใดที่ท่านทำให้แก่ผู้เล็กน้อยที่สุดคนหนึ่งในพวกพี่น้องของเรา ท่านก็ได้ทำให้เราด้วย” (มัทธิว 25:40 อมตธรรม)
พันธกิจที่พระเจ้าทรงเรียกและมอบหมายให้เรารับใช้นั้นไม่มีกรอบจำกัด ตั้งแต่เกิดจนเราจากโลกนี้ไปคือพื้นที่โอกาสชีวิตที่พระเจ้าทรงประทาน
และ ทรงเรียกให้เรารับใช้พระองค์
น่าเสียดายที่กรอบคิดกรอบเชื่อในการทรงเรียกของพระเจ้าถูกขีดเส้นให้คับแคบอึดอัด และตัดส่วนโอกาสสำคัญและพื้นที่ชีวิตที่พระเจ้าทรงเรียกคริสตชนส่วนใหญ่ให้รับใช้พระองค์ออกไปจากกรอบคิดกรอบเชื่อของคริสตชนไทยในปัจจุบัน
มองในมุมกลับนี่ก็เป็น
“การเบี้ยว” การทรงเรียกของพระเจ้าในอีกแง่มุมหนึ่งเช่นกันหรือไม่?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น