04 กรกฎาคม 2557

แล้วคริสตชนจะปรองดองแบบไหนในความขัดแย้ง?

อ่านลูกา 6:27-28;  1โครินธ์ 13:3-7

ความรักเมตตาที่พระคริสต์บัญชาให้เราสำแดงออกเป็นรูปธรรมในชีวิตประจำวัน   มิใช่เป็นเพียงความตั้งอกตั้งใจ   ความรู้สึกดี  ท่ามกลางสถานการณ์ที่มื่นชื่น   หรือการร้องรำทำเพลงให้สนุกด้วยกัน   แต่ความรักเมตตาที่พระคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างและบัญชาให้เรากระทำเป็นความรักเมตตาที่สำแดงออกเป็นรูปธรรมท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง   ท่ามกลางสถานการณ์เอารัดเอาเปรียบ   ท่ามกลางเหตุการณ์ที่ทำร้ายทำลายกัน   และแม้แต่การสำแดงความรักเมตตาต่อผู้ที่ไม่หวังดี  ที่ทำร้าย  ต่อศัตรูคู่อาฆาต  แม้แต่ต่อคู่แข่งของเรา

แต่​เรา​บอก​พวก​ท่าน​ที่​กำ​ลัง​ฟัง​อยู่​ว่า จง​รัก​ศัตรู​ของ​ท่าน จง​ทำ​ดี​กับ​คน​ที่​เกลียด​ชัง​ท่าน จง​อวย​พร​แก่​คน​ที่​แช่ง​ด่า​ท่าน จง​อธิษ​ฐาน​เผื่อ​คน​ที่​ทำร้าย​ท่าน”(ลูกา 6:27-28 มตฐ.)  ความรักเมตตาที่พระคริสต์ประสงค์ให้เรากระทำต่อกันและกันคือแนวทางของการบริหารจัดการความขัดแย้งแบบคริสตชน

เปาโลกล่าวว่า  “ความรักย่อมอดทนนาน   ความรักคือความเมมตา  ไม่อิจฉา  ไม่อวดตัว  ไม่หยิ่งผยอง  ไม่หยาบคาย  ไม่เห็นแก่ตัว  ไม่ฉุนเฉียว  ไม่จดจำความผิด    ความรักไม่ปิติยินดีในความชั่ว   แต่ชื่นชมยินดีในความจริง   ความรักปกป้องคุ้มครองเสมอ   ไว้วางใจเสมอ   มีความหวังอยู่เสมอ   และอดทนบากบั่นอยู่เสมอ”  (1โครินธ์ 13:4-7 อมต.)

ท่านคงจำได้ว่า   พระคัมภีร์ข้อก่อนที่เราอ่านข้างต้นคือ 1โครินธ์ 13:3  เปาโลเตือนเราว่า   แม้การกระทำที่ดียอดเยี่ยม  ที่บริสุทธิ์สุดๆ จะไร้ค่าด้อยราคาอย่างสิ้นเชิง   ถ้าการกระทำนั้นมิได้กระทำด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความรักเมตตา  “แม้ข้าพเจ้ายกทรัพย์สินทั้งหมดให้คนยากไร้  และยอมพลีกายให้เอาไปเผาไฟ   แต่ไม่มีความรักก็เปล่าประโยชน์” (อมต.)   เช่นเดียวกันแม้เราจะพยายามสร้างการปรองดอง   ทำให้เกิดสมานฉันท์   และพยายามทำให้เกิดศานติภาพ   แต่ปราศจากความรักเมตตา   สิ่งที่ทำไปเป็นเพียงภาพลวงตาและฉาบฉวย   ที่สวมหน้ากากเข้าหากัน  การปรองดองและศานติภาพที่เราคาดหวังจะไม่เกิดขึ้นเป็นจริงและยั่งยืนได้เลย

การสร้างการปรองดองสันติที่ปราศจากความรักเมตตาจากส่วนลึกแห่งจิตใจ  ดีที่สุดก็เป็นแค่เทคนิควิธีที่ทำให้เกิดความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว  แต่ที่แย่และเลวร้ายคือ เป็นการจัดการที่เคลือบแฝงด้วยอคติ  หรือแผนการที่จะเอาชนะกันเท่านั้น

การสร้างการคืนดีและศานติของคริสตชนมิได้เน้นย้ำความสำคัญที่ “เทคนิควิธีการ”   แต่เราเน้นย้ำและให้ความสำคัญที่สำรวจตรวจสอบจิตใจ  ความคิด และจิตวิญญาณของเราว่า   การสร้างการปรองดอง  การคืนดี และศานติสุขแต่ละครั้งเรากระทำด้วยหัวใจและจิตวิญญาณแห่งความรักเมตตาที่เสียสละแบบพระคริสต์หรือไม่?   เรากระทำด้วยพลังความรักเมตตาที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำงานในชีวิตของเราหรือเปล่า?   หรือเรากระทำด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจดีและสุดความสามารถของเราเองใช่ไหม?

แต่เมื่อเราเริ่มสร้างการปรองดอง  เสริมการคืนดี  ด้วยการเริ่มหว่านเมล็ดแห่งศานติภาพคือความรักเมตตาที่เสียสละแบบพระคริสต์ให้งอกขึ้นทั้งสองฝ่ายที่ขัดแย้งกันแล้ว   เปาโลได้ให้กำลังใจแก่เราใน 1โครินธ์ 13:7 (อมต.)ว่า

การสร้างศานติเป็นการปกป้องคุ้มครองกันและกันเสมอ
การสร้างศานติเป็นการไว้วางใจกันเสมอ
การสร้างศานติมีความหวังอยู่เสมอ
การสร้างศานติอดทนบากบั่นอยู่เสมอ

การประสานการคืนดี  และ การสร้างศานติแบบนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นเป็นจริงได้ถ้าคริสตชนไม่ได้กระทำร่วมงานในพระราชกิจของพระคริสต์   และด้วยการทรงเสริมเพิ่มพลังจากองค์พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราสามารถที่จะรักเมตตาท่ามกลางความแปลกแยกแตกหักที่เรากำลังเผชิญหน้าอยู่   และเราเองก็ไม่สามารถที่จะช่วยให้คนสองฝ่ายกลับมาปรองดอง  คืนดี  และมีศานติสุขด้วยกันได้เลย   ถ้าเรามิได้รับน้ำใจ จิตวิญญาณ  และพลังแบบพระคริสต์จากเบื้องบน

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น