ผู้นำที่ทรงอิทธิพลในคริสตจักร ตอนที่ (1) กล่าวถึงลักษณะภาวะผู้นำแบบบารนาบัส
เป็นภาวะผู้นำที่จำเป็นและต้องการอย่างมากในคริสตจักร ในภาวะที่อัครทูตสงสัยไม่ไว้วางใจการกลับใจใหม่และการประกาศของเซาโล ถึงข่าวดีของพระเยซูคริสต์
ทั้งนี้เพราะพฤติกรรมในอดีตของเซาโล
และอัครทูตยังไม่เชื่อแน่ว่า
ที่เซาโลกลับใจเป็นสิ่งแท้จริงใจไม่หลอกลวง
บารนาบัสเข้ามาเชื่อมประสานให้อัครทูตรู้ถึงข้อมูลความจริง ให้อัครทูตเปิดใจ เพื่อนำสู่ความไว้วางใจกัน ยอมรับกันและกัน เพื่อที่จะรับใช้พระเยซูคริสต์ร่วมกัน
สำหรับคริสตจักรแล้ว ผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่
คือผู้นำที่เสริมสร้างคนอื่นให้มีภาวะผู้นำที่สร้างสรรค์ เอื้ออำนวยคนเหล่านั้นเปิดใจรับคนต่างขั้วต่างฝ่าย
สร้างให้ผู้นำเหล่านั้นได้เรียนรู้เท่าทันความจริงของแต่ละฝ่าย แล้วเชื่อมประสานให้เกิดความไว้วางใจกันแทนความสงสัยและใจคับแคบ
เป็นผู้เชื่อมให้ทั้งสองฝ่ายสามารถหันหน้ามาร่วมพลังในการทำงานรับใช้พระคริสต์ ผู้นำที่ทรงอิทธิพลแบบนี้เป็นผู้นำที่เป็น
“สะพาน” เชื่อมภาวะผู้นำที่ขัดแย้งกันให้สามารถเปิดใจยอมฟัง ยอมรับ
และร่วมในการทำพันธกิจสู่เป้าหมายเดียวกัน
ลักษณะของภาวะผู้นำที่ทรงอิทธิพลในคริสตจักรอีกประการหนึ่งคือ “สร้างเสริมคนพลาด หล่อหลอมคนพลั้ง” ให้กลับตั้งตัวใหม่
และมีภาวะผู้นำที่ผู้คนสามารถไว้เนื้อเชื่อใจอยากร่วมงานด้วย ซึ่งภาวะผู้นำที่ทรงอิทธิพลประการนี้เป็นคุณสมบัติประการหนึ่งของคริสตชนที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณด้วย
(กาลาเทีย 6:1 มตฐ.)
ทั้งเซาโลและบารนาบัส
ต่างเป็นคนยิวที่มีประสบการณ์ชีวิตในวัฒนธรรมของคนต่างชาติ
เซาโลเป็นยิวที่ถือสัญชาติโรมัน ในขณะที่
โยเซฟ บารนาบัส ไปใช้ชีวิตในต่างแดนต่างวัฒนธรรมที่เกาะไซปรัส บารนาบัสเป็นคนที่เติบโตในเผ่าเลวี
ในขณะที่เปาโลได้รับการเล่าเรียนหล่อหลอมกับอาจารย์ที่ทรงภูมิความรู้ของยิว เมื่อเซาโลกกลับใจและสามารถเข้านอกออกในชุมชนของอัครทูตแล้ว
ทั้งเซาโลและบารนาบัสรวมกันเป็นทีมทำพันธกิจประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์สำหรับคนต่างชาติต่างวัฒนธรรม
โดยในรอบแรกนี้ได้นำเอาคนหนุ่มที่ชื่อมาระโกร่วมทีมงานด้วย(กิจการ 12:25)
แต่ระหว่างการทำพันธกิจมาระโกละทิ้งเซาโลและบารนาบัส (ดู 13:13)
ในสายตาของเซาโลแล้วมองและตัดสินว่า มาระโกเป็นคนที่ขาดความรับผิดชอบและขาดความอดทนในการทำพันธกิจ
เมื่อเซาโลและบารนาบัสจะออกทีมพันธกิจในอีกรอบหนึ่ง บารนาบัส
เสนอให้นำมาระโกไปร่วมด้วยอีกครั้งหนึ่ง
เซาโลไม่เอาด้วย
เรื่องนี้กลายเป็นมุมมองความเห็นที่แตกต่างกันจนบารนาบัส และ เซาโลต้องแยกทีมและแยกทางกันในการทำพันธกิจ เซาโลร่วมทีมกับสิลาส ส่วนบารนาบัสนำมาระโกร่วมทีมไปด้วยมุ่งสู่การทำพันธกิจที่เกาะไซปรัส
บ้านเมืองที่บารนาบัสอาศัยอยู่ (ดู 15:36-39)
น่าสังเกตจุดเด่นเฉพาะในภาวะผู้นำของทั้งสองท่าน
เซาโลเป็นผู้นำที่มุ่งมั่นปั้นมือตรงรี่ไปสู่เป้าหมาย ต้องการให้เป้าหมายที่ตั้งไว้สำเร็จ ดังนั้น
ทีมงานทุกคนต้องมีความพร้อม
มีคุณภาพ
ทีมงานที่ด้อยประสิทธิภาพให้คัดออก
เพราะนอกจากจะไม่เกิดผลเต็มที่แล้วยังมีโอกาสกลายเป็นตัวถ่วงหรือตัวสร้างปัญหาให้กับทีมงานได้
ในขณะที่บารนาบัสมีอีกมุมมองอีกมุมหนึ่งว่า
ความผิดพลาดครั้งหนึ่งของคนไม่สามารถตีตราหรือใช้เป็นเครื่องวัดว่าคนๆ นั้นไม่มีประสิทธิภาพในการทำพันธกิจ และท่านมองว่า การทำพันธกิจที่เกิดผลเกิดจากการที่คนมีประสิทธิภาพในการรับใช้พันธกิจตามของประทานและความสามารถที่พระเจ้าประทานให้ ดังนั้น
คริสตจักรจะต้องให้โอกาสแก่ทุกคน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เคยผิดพลาดควรได้รับโอกาสใหม่และการเอาใจใส่เพื่อเสริมสร้างคนๆ
นั้นเป็นพิเศษ มุมมองของบารนาบัสมองว่า
การทำพันธกิจที่เกิดผลย่อมต้องมีคนทำพันธกิจที่มีประสิทธิภาพ คนที่มีประสิทธิภาพมิใช่มีมาแต่กำเนิด แต่คริสตจักรจะต้องเอาใจใส่และเสริมสร้างแต่ละคนให้ของประทานที่มีในชีวิตของเขาได้รับการพัฒนาเป็นความสามารถที่ใช้ทำพันธกิจได้ ดังนั้น
บารนาบัสทุ่มเทเสริมสร้างมาระโกให้มีภาวะผู้นำที่รับใช้ผ่านพันธกิจที่กระทำ ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านการกระทำจริง
อีกประการหนึ่ง
ผู้นำที่ทรงอิทธิพลอย่างบารนาบัสมิได้มองว่า การแยกทีมกับเซาโลเป็นการแตกแยกในการทำพันธกิจ
แต่มองว่าจะทำพันธกิจอย่างไรที่สามารถเกิดผลตามเป้าหมายใหญ่ของคริสตจักร คือการประกาศถึงข่าวดีของพระเยซูคริสต์ ซึ่งทั้งสองทีมต่างมีเป้าหมายเดียวกัน และในเวลาเดียวกันทีมของเซาโลกับสิลาสก็สามารถมุ่งหน้าสู่เป้าหมายได้เต็มกำลังความสามารถตามของประทานสำหรับทั้งสอง ในขณะที่บารนาบัสและมาระโกก็มุ่งหน้าสู่การประกาศข่าวดีของพระเยซูคริสต์ในเกาะไซปรัส และบารนาบัสมีโอกาสที่จะเสริมสร้างและหล่อหลอมมาระโกให้มีภาวะผู้นำที่มีประสิทธิภาพด้วย
ภาวะผู้นำที่ทรงอิทธิพลในคริสตจักรแบบบารนาบัส
จะต้องเป็นผู้นำที่มีความสามารถจัดการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในคริสตจักรอย่างสร้างสรรค์และด้วยใจเมตตาและเสียสละแบบพระคริสต์ และมองว่าการเสริมสร้างคนจะต้องใช้เวลา และ ให้โอกาสคนๆ
นั้นที่จะเรียนรู้ใหม่ จนสามารถสำแดงชีวิตที่ได้รับการทรงสร้างใหม่จากพระคริสต์ที่คนอื่นเห็นประจักษ์ได้
ภายหลังเปาโลได้เห็นและประจักษ์ถึงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงและมีประสิทธิภาพของมาระโก
เปาโลยอมรับมาระโกมาร่วมทีมงานของท่านในภายหลัง และเรียกมาระโกว่าเป็นลูก (1เปโตร 5:13)
เมื่อเปาโลต้องโทษจำคุกครั้งแรก มาระโกก็อยู่ด้วยกับท่าน (โคโลสี 4:10; ฟิเลโมน ข้อ 24)
และเมื่อช่วงบั้นปลายชีวิตของเปาโล
ท่านได้ขอให้มาระโกมาอยู่กับท่าน
และท่านกล่าวว่า มาระโกเป็นประโยชน์ต่อท่านในการทำพันธกิจ (2ทิโมธี 4:11)
จากประสบการณ์ของเปาโลท่านได้เขียนบทเรียนนี้ไปถึงคริสตจักรที่กาลาเทียว่า
“พี่น้องทั้งหลาย
แม้จับใครที่ละเมิดประการใดได้ พวกท่านซึ่งอยู่ฝ่ายพระวิญญาณ
จงช่วยคนนั้นด้วยใจสุภาพอ่อนโยนให้เขากลับตั้งตัวใหม่...” (กาลาเทีย
6:1)
ผู้นำที่ทรงอิทธิพลอย่างบารนาบัส มิได้มุ่งมั่นแต่จะสร้างผลงานความสำเร็จของตน หรือสร้างอนุสาวรีย์หวังให้คนอื่นระลึกถึงตน แต่ผู้นำที่ทรงอิทธิพลอย่างบารนาบัสตั้งใจเป็นผู้นำที่สร้างคน เพื่อคนจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพจนเป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
ในวันนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไร ทำที่ไหน
และทำกับใคร
ให้เราเป็นคนทำงานที่มีภาวะผู้นำที่ทรงอิทธิพลอย่างบารนาบัส
เพื่อในที่สุดจะมีผู้คนที่ทำงานชีวิตเป็นที่ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าด้วยความชิ่นชมยินดี
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น