ครั้งหนึ่งเมื่อผมต้องรับมือกับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในงานที่ทำ เพื่อนบอกผมว่า “ใจเย็น ๆ ”
มันก็จริงของเพื่อนคนนี้ เราอยู่ในสังคมโลกที่ถูกครอบงำด้วยอำนาจแห่งความชั่วร้ายทั้งด้านความนึกคิด ท่าทีที่แสดงออก และพฤติกรรมที่เรากระทำต่อคนอื่น....ความขัดแย้งย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
ยิ่งถ้างานที่ทำต้องอยู่ท่ามกลางการสื่อสารที่ไม่ค่อยมีคุณภาพ เกิดการเข้าใจผิด ต้องทำงานท่ามกลางการแข่งขัน หรือการชิงดีชิงเด่น หรือถึงขนาดปัดแข้งปัดขากันแล้ว สถานการณ์ก็ยิ่งเลวร้ายเข้าไปใหญ่ ความขัดแย้งยิ่งลงลึกซับซ้อน สร้างบาดแผลลึก ๆ ในชีวิต ทำให้เกิดความเจ็บปวดในความรู้สึก และเกิดการฉีกขาดในความสัมพันธ์ ความตึงเครียด ความไม่ลงรอยย่อมเกิดขึ้นได้แน่นอน
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ทั้งในที่ทำงาน บริษัท
องค์กร โรงเรียน โรงพยาบาล
หรือแม้แต่ในคริสตจักร
ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีแค่ไหน
หรือพยายามที่จะเป็นคนดีปานใด
เราก็จะพบว่า
“เจอเข้าแล้วกับความขัดแย้ง
ชนอย่างจังกับปัญหา”
แต่เราก็คงต้องยอมรับความจริงด้วยว่า
ไม่ใช่ว่าทุกความขัดแย้งเป็นสิ่งเลวร้ายเสมอไป เพราะในบางครั้งบางความขัดแย้งเป็น
“ความขัดแย้งที่สร้างสรร” ได้
สิ่งที่หายไปเมื่อขัดแย้งจนโกรธ
ผมกลับมาคิดถึงคำเตือนสติของเพื่อนเมื่อผมเผชิญหน้ากับ
“คู่ขัดแย้ง” จนเกิดความโกรธ อารมณ์เดือดพล่าน ทำให้ผมพูดเสียงดังขึ้น
คิดแต่ว่าจะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาผิดและผมถูกอย่างไร เกิดจิตใจที่ขุ่นข้นมัวหมอง ท่าทางที่แสดงออกที่จริงจังพัฒนาไปสู่ท่าทีที่
“ตึงตัง”หรือบางครั้งแสดง “หน้ายักษ์หน้ามาร”
โดยไม่รู้ตัวและไม่ตั้งใจ!
ใช่...เพื่อนถึงต้องบอกผมว่า “ใจเย็น ๆ ”
ใช่สินะ
ตอนนั้นผมถูกพลังร้ายครอบงำ
สุมไฟผลักดันไปสู่ความร้อนแรงเดือดพล่าน
และมันกำลังทำลายทั้งผม
เพื่อน และองค์กรที่ผมทำงานด้วย ใช่ผมต้องใจเย็น ๆ ผมต้องกลับมามีสติ
กลับมาที่ความตั้งใจต้องการแก้ไขความขัดแย้ง ต้องการแก้ปัญหา ไม่ใช่จะเอาชนะเพื่อนร่วมงานคนนั้น
ใช่สินะ
ผมแก้ปัญหา และ ความขัดแย้งได้ แต่ผมแก้ไขตัวเพื่อนไม่ได้!
ใช่สินะ
ผมลืมไปแวบหนึ่งเมื่อโกรธจัดว่า
ผมเป็นคริสตชน ผมเป็น
“ทูตของพระคริสต์” ในการทำงาน
รับมืออย่างไรเมื่อเกิดความขัดแย้ง?
1. ตั้งจิตให้มั่น
ก่อนที่เราจะทำหรือตอบโต้อะไรออกไป ให้เรานำสถานการณ์นั้นปรึกษากับพระเจ้า เพื่อพระองค์จะประทานจิตใจที่ถ่อม สุภาพ
มั่นคง สงบแก่เรา
เพื่อเราจะมีมุมมองในเรื่องดังกล่าวที่สร้างสรรค์และสันติ และที่สำคัญเราควรขอพระเจ้าทรงเปิดเผยแก่เราว่า เรามีส่วนอะไรที่ผิดพลาดในเหตุการณ์นี้ เพื่อเราจะรู้เท่าทันตนเองและกลับใจ อธิษฐานเผื่อแต่ละคนที่เกี่ยวข้องในความขัดแย้งนี้ รวมถึงคู่ขัดแย้ง และ คนที่เราโกรธด้วย ทั้งนี้จะเป็นการ “ปรับจิตใจ”
ของเราให้เป็นจิตใจที่เชื่อฟังพระเจ้า
การที่เราอธิษฐานเช่นนี้ก่อนย่อมช่วยให้เราหลุดรอดออกจากจิตใจที่ต้องการเอาชนะ
จิตใจที่ต้องการให้เขาได้รับโทษที่สาสมในสถานการณ์ความขัดแย้งนั้น
2. แยกปัญหา/ความขัดแย้งออกจากตัวบุคคล
เราสามารถแก้ปัญหาและความขัดแย้งได้ แต่เราแก้คู่ขัดแย้งของเราไม่ได้
ในเรื่องนี้เราจำเป็นต้องพิจารณาดูว่าที่เราขัดแย้งกันนี้เป็นความขัดแย้งส่วนตัว เป็นเรื่องความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ทุกเรื่องที่สร้างความขุ่นเคืองรำคาญใจหรือทำให้เราโกรธจนต้องเผชิญหน้ากัน ในบางเรื่องเราเพียงปล่อยและวางเสีย เราควรยกโทษ
แล้วเดินหน้าต่อไป
เราน่าจะถามตนเองว่า นี่เป็นความขัดแย้งด้วยเรื่องส่วนตัว
หรือเป็นการขัดแย้งเพราะมีปัญหาต้องแก้ไข? เราไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเพื่อนที่ดีกับทุกคนในที่ทำงาน แต่ในฐานะคริสตชนเราพึงพยายามที่จะเป็นคนที่มีจิตใจเมตตา
และ ให้ความนับถือในความเป็นคนของเพื่อนร่วมงานแต่ละคน
3. อย่าขยายความขัดแย้งให้เป็นเรื่องใหญ่โต
เมื่อเกิดความขัดแย้งพยายามขีดวงความขัดแย้งให้แคบหรือเล็กที่สุด ให้เราแก้ไขความขัดแย้งเฉพาะในวงของผู้ขัดแย้งด้วยกันเท่านั้น นี่เป็นหลักการจากพระคัมภีร์ (มัทธิว 18:15-16) ที่เหมาะสมและใช้ได้ในที่ทำงาน แต่ถ้าคู่กรณีพยายามทำให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นเรื่องใหญ่ เช่น
เอาความขัดแย้งไปให้ผู้บริหารระดับสูงขึ้นจัดการแทนที่จะเริ่มจัดการกันเองในกลุ่มผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น
ด้วยวิธีการเช่นนี้ทำให้ความขัดแย้งขยายวงกว้าง เพิ่มความรุนแรงในความขัดแย้ง แล้วยังกระทำให้ความสัมพันธ์และความไว้วางใจเลวร้ายลงไปอย่างมากเกินกว่าที่คิดและเข้าใจ
4. ความรับผิดชอบที่สำคัญในการรับมือความขัดแย้ง
ถ้าเราเป็นคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงในความขัดแย้งดังกล่าว
สิ่งแรกที่เราจะต้องพิจารณาอย่างเปิดใจและจริงใจคือ เรามีความบกพร่องผิดพลาด หรือ มีส่วนที่ทำให้เกิดความบกพร่องหรือผิดพลาดหรือไม่
ถ้ามีสิ่งแรกที่เราต้องรับผิดชอบในความขัดแย้งดังกล่าวคือ เราต้องไปขอโทษคู่กรณีของเราในสิ่งเหล่านั้น
หลายครั้งหลายคนที่ทำเช่นนี้จะพบปรากฏการณ์ที่น่าประหลาดใจคือ ความขัดแย้งถูกแก้ได้เกินคาด
แต่ถ้าเรามิใช่คู่กรณีในความขัดแย้ง
เราต้องระวังที่จะเข้าไปจัดการความขัดแย้งนั้น เพราะถ้าเราเข้าไปจัดการความขัดแย้งในเวลาที่ยังไม่เหมาะสมแม้ว่าเราจะเป็นผู้บริหารของเขาก็ตาม
อาจจะสร้างผลเสียมากกว่าผลดีเราอาจจะถูกใครบางคนยืมมือของเราเอาผิดหรือลงโทษอีกคนหนึ่งก็ได้
ดังนั้น
เรามีหน้าที่ให้กำลังใจให้คู่กรณีพูดคุยหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นด้วยกันเองก่อน
5. แสวงหาจุดร่วม
ให้คู่กรณีมุ่งเน้นไปที่เป้าหมายร่วมของงานที่ทั้งคู่รับผิดชอบ
เพื่อจะค้นหาแนวทางการปฏิบัติงานของแต่ละคนที่มุ่งไปสู่เป้าหมายที่เหมาะสม สร้างสรรค์
และหนุนเสริมกันและกัน
และประเด็นสำคัญคือการที่ช่วยกันทำงานให้บรรลุเป้าหมายนั้นเป็นการสร้างผลกระทบที่สร้างสรรค์แก่องค์กร ถึงแม้ว่าเป้าหมายงานความรับผิดชอบของแต่ละคนจะมีความแตกต่างกัน
แต่เป้าหมายร่วมขององค์กรเป็นจุดเดียวกัน
ที่ทุกคนจะต้องร่วมกันทำเพื่อไปให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวขององค์กร
สิ่งที่ต้องชัดเจนเสมอ
เราแต่ละคนต้องตระหนักชัดเสมอว่า เราเป็น “ทูตของพระคริสต์” ในที่ทำงาน หรือ
ในแต่ละงานที่เราทำ (2โครินธ์ 5:20) และหนทางหนึ่งที่เราสามารถสำแดงความรักเมตตาที่เสียสละของพระคริสต์แก่เพื่อนร่วมงานของเราคือ การที่เรารับมือกับความขัดแย้งอย่างไรในงานที่ทำ
เรารับมืออย่างไรในความทุกข์ยากลำบากในงานที่ทำ ในขณะที่คนอื่นอาจจะหลีกเลี่ยง เมินเฉยไม่สนใจ หรือเอาเรื่องขัดแย้งไปนินทาว่าร้าย คุ้ยเขี่ยหาความผิดกัน แต่ในฐานะคริสตชนท่านคือพลังแห่งสันติ พลังแห่งการคืนดี พลังแห่งสมัครสมานสามัคคี และพลังที่จะช่วยคู่กรณีหลุดรอดออกจากการครอบงำของอำนาจแห่งความขัดแย้งนั้น
เมื่อเราต้องตกอยู่ในสถานการณ์แห่งความขัดแย้งในการทำงาน
โปรดตระหนักชัดถึงเป้าหมายสูงสุดในการทำงานของท่านคือ “ไม่ว่าพวกท่านจะทำสิ่งใด
ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนทำถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า
ไม่ใช่เหมือนทำต่อมนุษย์ ...
เพราะ(ในการทำงาน)ท่านกำลังรับใช้พระคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่”
(โคโลสี 3:23-24)
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น