09 กุมภาพันธ์ 2553

การทดลอง

องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานพลังที่สามารถเอาชนะการทดลอง
ดั่งที่พระองค์ทรงชนะแล้วในถิ่นทุรกันดาร

การที่ชีวิตจะมีชัยเหนือการทดลองได้ก็ต่อเมื่อท่านเห็นการทดลองว่าเป็นการทดลอง แล้วไม่นำตนเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการทดลองนั้น หรือถ้าต้องเผชิญหน้ากับการทดลองก็ด้วยพระราชอำนาจ และ ฤทธิ์เดชจากเบื้องบน

ประแรกและประการสำคัญคือ เราต้องมอง และ รู้เท่าทันว่า นั่นคือการทดลอง เพราะการทดลองที่มาถึงคนเรานั้นมักมาในรูปแบบลักษณะของสิ่งให้เกิดความรื่นรมย์ ชื่นชอบ เป็นผลประโยชน์แก่เรา ดังนั้น การที่แต่ละคนรู้เท่าทันสิ่งที่กำลังเข้ามานั้นว่า มันคือการทดลองจึงเป็นจุดยืนที่สำคัญยิ่งต่อการที่เราจะมีชัยเหนือการทดลอง ถ้ามิเช่นนั้นแล้วเราก็จะเข้าไปยุ่งเกี่ยว หรือ ยอมรับสิ่งนั้นอย่าง “รู้เท่าไม่ถึงการณ์”

ประการสำคัญที่สองคือ เมื่อเรารู้เท่าทันว่านั่นคือการทดลอง เราต้อง “แยก” หรือไม่นำตนเองเข้าไปเกลือกกลั้ว ยุ่งเกี่ยวในเหตุการณ์นั้น หรือ ในสิ่งนั้น ดังที่พระเยซูคริสต์สอนสาวกของพระองค์อธิษฐานทูลขอต่อพระเจ้าว่า “...ขออย่านำข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง...”

ทั้งนี้เพราะการทดลองคือการที่อำนาจร้ายพลังชั่วที่แฝงตัวมาในรูปแบบต่างๆ มีจุดมุ่งหมายที่ต้องการมีอำนาจเหนือเรา ต้องการจะครอบงำและบงการชีวิตของเราให้เป็นไปตามความต้องการของมัน ความมุ่งหมายอีกประการหนึ่งของการทดลองคือ แผนการของอำนาจร้ายพลังชั่วต้องการขัดขวาง และ พยายามตัดขาดความสัมพันธ์ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเราแต่ละคน เพื่อให้เราหลุดออกจากพลังแห่งความรักเมตตาของพระองค์ แล้วมันสามารถเข้ามาเป็นเจ้าของและควบคุมชีวิตของคนๆ นั้นได้อย่างง่ายดาย

อำนาจร้ายพลังชั่วจะทำการทดลองมนุษย์ด้วยการทำให้เกิดความสับสน ว้าวุ่นใจในการทำสิ่งดีสิ่งที่เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉุดรั้งเราจากการทำสิ่งดีตามพระประสงค์ ทำให้เกิดความสงสัยแล้วใส่มุมมองเชิงลบ เช่น เรามีความสามารถที่จำกัด หรือ ความรู้สึกว่าคนอื่นอาจจะไม่เห็นด้วย กล่าวคือมุมมองถึงความอ่อนด้อย จำกัด และทำลายความเชื่อมั่นในตนเอง นั่นคือทำให้คนๆ นั้นมองเข้าไปในชีวิตของตนเองว่าไม่มีพลังไร้คุณค่า สิ่งนี้คือวิธีการของอำนาจร้ายพลังชั่วเข้ามามีอำนาจเหนือการมองและการรับรู้ของคนๆ นั้น ทำให้พลังภายในชีวิตของคนๆ นั้นสั่นคลอน หวั่นไหว ไม่มั่นใจ จึงไม่สามารถยืนหยัดในชีวิตอย่างมั่นคงได้

การทำงานของอำนาจร้ายพลังชั่วอีกลักษณะหนึ่งคือ การโหมกระหน่ำด้วยกระแสสังคม หรือ กระแสประชานิยม ที่พยายามกล่อม กรอกหู ให้คนๆ นั้น สับสนจนต้องยอมรับว่า “คนส่วนใหญ่” “เสียงส่วนใหญ่” คิดและตัดสินใจทำแตกต่างจากเรา จากนั้นพัฒนาไปสู่การรับรู้ว่าเรากำลังแตกต่างแปลกแยกจากคนอื่น แล้วกระตุ้นให้เกิดความกลัวว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับตนเอง ตนเองจะถูกโดดเดี่ยว ตนเองวิ่งไม่ทันคนอื่น และทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ก็เพื่อที่จะผลักดันให้เราออกและไปให้ห่างไกลจากพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้าทั้งในความคิด ความเชื่อ การตัดสินใจ และ การกระทำ มันจะฉุดลากและแยกเราห่างจากพระเจ้าให้มากที่สุด

ด้วยเหตุนี้จึงน่าสังเกตว่า ในคำอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนสาวก ได้ให้สาวกทูลขอต่อพระเจ้ามิให้เราแต่ละคนเข้าไปสู่การทดลองนั่นเป็นประการแรก แต่ถ้าอำนาจร้ายพลังชั่วโหมกระหน่ำการทดลองเข้าสู่ชีวิตของเราแต่ละคน กล่าวคือเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางชีวิตและสถานการณ์การทดลองพึงรู้และตระหนักชัดมั่นคงเสมอว่า เราสามารถพ้นจากอำนาจความชั่วร้ายด้วย “พระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และพระสิริของพระเจ้า” หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ด้วยพระราชอำนาจ ฤทธิ์เดช และความรักของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทรงปกป้องเราไม่ให้ตกอยู่ท่ามกลางการทดลอง หรือถ้าต้องอยู่ท่ามกลางการทดลองไม่ลืมว่า เราสามารถชนะการทดลองด้วยอำนาจจากเบื้องบน และ ฤทธิ์เดชจากพระเจ้า แต่ทั้งสิ้นนี้มิใช่ชัยชนะของเราแต่เพื่อชี้ให้เราและมนุษย์รอบข้างเรียนรู้ถึงพระเจ้าผู้มีอำนาจและพลังเหนือมารร้ายอำนาจชั่วทั้งมวล ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เพื่อถวายพระสิริแด่พระองค์

การทดลองเป็นสิ่งที่คริสตชนจะต้องรู้เท่าทันว่า นั่นคือการทดลอง และขอพระเจ้าทรงช่วยให้เราไม่ให้ต้องตกอยู่ภายใต้การทดลอง แต่ถ้าเราจะต้องเผชิญหน้ากับการทดลองก็ขอให้พระราชอำนาจ และ ฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่จะทรงช่วยหนุนเสริมและปกป้องเราจากอำนาจร้ายพลังชั่วเหล่านั้น และสามารถมีชัยเหนืออำนาจชั่วร้ายเหล่านั้นเพื่อเป็นที่ถวายพระสิริและพระเกียรติแด่พระเจ้า และชีวิตของเราเกิดการเรียนรู้และมีพลังแกร่งกล้ายิ่งขึ้นในความเชื่อและการดำเนินชีวิต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น