23 มีนาคม 2556

อะไรคือ “ถั่วแดง” ชามนั้นของท่าน?


อ่านปฐมกาล 25:29-34

เอซาวพูดกับยาโคบว่า “ขอให้ฉันกินของแดงนั้น...เพราะฉันหิวจัด”
ยาโคบว่า “ขายสิทธิบุตรหัวปีของพี่ให้ฉันก่อนซี”
เอซาวว่า “ดูสิ  ฉันกำลังจะตายอยู่แล้ว  สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ฉัน?” (ข้อ 30-32)

ผู้อ่านพระธรรมปฐมกาลตอนนี้บางท่านคงพูดในใจว่า  ทำไมมันโง่ชะมัดเลย เอาสิทธิบุตรหัวปีไปแลกกับถั่วแดงต้มเพียงชามเดียว   แต่เมื่ออ่านเรื่องนี้ในสมัยของเราให้เราคิดมากกว่าถั่วแดงต้มกับสิทธิบุตรหัวปี   ในชีวิตที่ผ่านมาของเรา  เราเคยยอมเอาบางสิ่งที่มีค่าอย่างมากในชีวิตไปขายไปแลกเปลี่ยนกับของไร้ค่า หรือ ของที่ไม่มีค่าคู่ควรหรือไม่?   คำถามในที่นี้ก็คือว่า   อะไรคือ “ถั่วแดงต้มชามนั้น” ที่ท่านไปแลกเอามา?

ท่านเคยติดตามไล่ล่าความมั่งคั่งร่ำรวย หรือ อาชีพการงานที่ต้องการด้วยการยอมเอาคุณค่าของครอบครัวเข้าแลกไหม?   หรือเคยไหมที่ ตารางเวลาการทำงานที่เต็มเอียดของท่านที่ไปเบียดบังเอาเวลาที่ท่านจะใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้าในการอ่านและใคร่ครวญพระวจนะประจำวันไปหมดสิ้น?   หรือ บางคนยอมมีความสัมพันธ์นอกสมรสเพียงเพื่อที่จะได้งาน หรือ เพื่อจะได้ “ออร์เดอร์” สินค้า  เขายอมเอาสุขภาวะของครอบครัวไปแลกกับการได้งานทำ หรือได้ขายสินค้าตามที่ต้องการ   บ้างก็ยอมเอาสุขภาพของตนเข้าแลกกับความสุขชั่วครู่ด้วยการเสพสารเสพติด   หรือแม้แต่ที่บางคนรู้ว่าการกินอาหารประเภทนั้นประเภทนี้มากเกินไปเป็นภัยต่อสุขภาพของตน   แต่ก็ยังจะกินอยู่  และกินเกินเสียอีก   เพียงเพื่อสนองความอยากของตน   และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเอซาวที่ตัดสินใจโง่ๆ เอาสิทธิบุตรหัวปีมาแลกกับถั่วแดงต้มเพียงชามเดียว

ที่เอซาวตัดสินใจเช่นนี้เพราะ   ความอยากความต้องการเฉพาะหน้า   ในที่นี้คือหิวจนตาลาย  อีกทั้งมิได้เห็นถึงคุณค่าของสิทธิบุตรหัวปี   เพราะมองหาประโยชน์อันใดมิได้ในทุกวันนี้   หรือเพราะเป็นประโยชน์ที่ซ่อนเร้นไม่รู้จะให้ผลเมื่อไหร่ไม่รู้

บางครั้งในการตัดสินใจของเราในทุกวันนี้ เป็นการพรากเราให้คลาดจากพระพรของพระเจ้าที่ประทานแก่เรา   เวลาใดที่เรายอมเปิดทางชีวิตให้แก่การทดลองเพราะความอ่อนแอในชีวิตของเรา   นั่นคือเวลาที่ท่านยอมเอาอนาคตของท่านไปแลกกับความสุขชั่วครู่ชั่วยาม   เราต้องระมัดระวังที่จะไม่ใช้ชีวิตอย่างสะเพร่าเลินเล่อ หรือ ด้วยความประมาท   ที่จะตัดสินใจด้วยความรู้สึกด้วยความอยากได้ใคร่มีชั่วครู่ชั่วยาม   เพราะเมื่อตัดสินใจลงมือทำไปแล้วเราไม่สามารถย้อนหลังตัดสินใจใหม่เพื่อแก้ตัวได้     ดังนั้น ในการตัดสินใจในแต่ละวันของเรา   เราจะต้องตัดสินใจด้วยการใคร่ครวญ คิดระมัดระวัง และเลือกอย่างรอบคอบ   และที่สำคัญคือเราต้องขอพระเจ้าให้มีส่วนและนำเราในการตัดสินใจ     เพราะในการตัดสินใจของเราแต่ละครั้งเป็นเหมือนเราหว่านเมล็ดพืชลงไปในดิน   เมื่อเราหว่านเมล็ดอะไรลงไปเราก็หวังจะเก็บเกี่ยวผลจากเมล็ดนั้น (กาลาเทีย 6:7-8)

นักการเมืองในสมัยนี้ก็ทำตัวเหมือนยาโคบ   ที่เสนอ “ถั่วแดงชามร้อน” ที่แลกเอาสิทธิของประชาชนคนลงคะแนนเสียงแต่ละคนมอบให้เขา   เฉกเช่นเอซาวเอาสิทธิบุตรหัวปีไปแลกกับถั่วแดงต้มหนึ่งชาม   สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นในชุมชนชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น   แต่กลับเกิดขึ้นในชุมชนคนในคริสตจักรด้วย   ที่ไปรับเอาเงิน 500-600 บาทจากคนหาเสียง    ยิ่งกว่านั้นคริสตชนบางคนในคริสตจักรแห่งนั้นก็เป็นหัวคะแนนทำตัวเป็นยาโคบต้มถั่วแดงด้วย   ผลที่ตามมาเราก็ต้องจำยอมให้นักการเมืองคนนั้นเข้าไปตักตวงกอบโกยผลประโยชน์เรียกทุนคืนมากกว่าที่ลงทุนอีกกี่เท่า?   ต้องทนนานไปอีกจนครบ 4 ปี!

ในวันนี้   ทุกครั้ง เมื่อเราต้องตัดสินใจและเลือก   เราจะต้องคิด พินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า   การตัดสินใจเช่นนี้เป็นการหลบเลี่ยงพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่?   การตัดสินใจเช่นนี้แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาแต่เป็นการสร้างปัญหาใหม่ในอนาคตหรือไม่?    ถ้าเราตัดสินใจเช่นนี้จะก่อเกิดผลเสียที่ตามมาอะไรบ้าง?  

อย่าให้ “ถั่วแดงชามร้อน” เพียงชามเดียวปิดหูปิดตาของเรา   จนทำให้เราพลาดจากแผนการอันประเสริฐของพระเจ้าที่ทรงมีในชีวิตของเรา

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น