อ่านปฐมกาล 25:29-34
เอซาวพูดกับยาโคบว่า
“ขอให้ฉันกินของแดงนั้น...เพราะฉันหิวจัด”
ยาโคบว่า
“ขายสิทธิบุตรหัวปีของพี่ให้ฉันก่อนซี”
เอซาวว่า
“ดูสิ ฉันกำลังจะตายอยู่แล้ว สิทธิบุตรหัวปีจะเป็นประโยชน์อะไรแก่ฉัน?” (ข้อ
30-32)
ผู้อ่านพระธรรมปฐมกาลตอนนี้บางท่านคงพูดในใจว่า ทำไมมันโง่ชะมัดเลย
เอาสิทธิบุตรหัวปีไปแลกกับถั่วแดงต้มเพียงชามเดียว
แต่เมื่ออ่านเรื่องนี้ในสมัยของเราให้เราคิดมากกว่าถั่วแดงต้มกับสิทธิบุตรหัวปี ในชีวิตที่ผ่านมาของเรา เราเคยยอมเอาบางสิ่งที่มีค่าอย่างมากในชีวิตไปขายไปแลกเปลี่ยนกับของไร้ค่า
หรือ ของที่ไม่มีค่าคู่ควรหรือไม่?
คำถามในที่นี้ก็คือว่า อะไรคือ
“ถั่วแดงต้มชามนั้น” ที่ท่านไปแลกเอามา?
ท่านเคยติดตามไล่ล่าความมั่งคั่งร่ำรวย หรือ
อาชีพการงานที่ต้องการด้วยการยอมเอาคุณค่าของครอบครัวเข้าแลกไหม? หรือเคยไหมที่
ตารางเวลาการทำงานที่เต็มเอียดของท่านที่ไปเบียดบังเอาเวลาที่ท่านจะใกล้ชิดสนิทกับพระเจ้าในการอ่านและใคร่ครวญพระวจนะประจำวันไปหมดสิ้น? หรือ
บางคนยอมมีความสัมพันธ์นอกสมรสเพียงเพื่อที่จะได้งาน หรือ เพื่อจะได้ “ออร์เดอร์”
สินค้า เขายอมเอาสุขภาวะของครอบครัวไปแลกกับการได้งานทำ
หรือได้ขายสินค้าตามที่ต้องการ
บ้างก็ยอมเอาสุขภาพของตนเข้าแลกกับความสุขชั่วครู่ด้วยการเสพสารเสพติด
หรือแม้แต่ที่บางคนรู้ว่าการกินอาหารประเภทนั้นประเภทนี้มากเกินไปเป็นภัยต่อสุขภาพของตน แต่ก็ยังจะกินอยู่ และกินเกินเสียอีก เพียงเพื่อสนองความอยากของตน
และสิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับเอซาวที่ตัดสินใจโง่ๆ เอาสิทธิบุตรหัวปีมาแลกกับถั่วแดงต้มเพียงชามเดียว
ที่เอซาวตัดสินใจเช่นนี้เพราะ ความอยากความต้องการเฉพาะหน้า ในที่นี้คือหิวจนตาลาย อีกทั้งมิได้เห็นถึงคุณค่าของสิทธิบุตรหัวปี เพราะมองหาประโยชน์อันใดมิได้ในทุกวันนี้
หรือเพราะเป็นประโยชน์ที่ซ่อนเร้นไม่รู้จะให้ผลเมื่อไหร่ไม่รู้
บางครั้งในการตัดสินใจของเราในทุกวันนี้
เป็นการพรากเราให้คลาดจากพระพรของพระเจ้าที่ประทานแก่เรา
เวลาใดที่เรายอมเปิดทางชีวิตให้แก่การทดลองเพราะความอ่อนแอในชีวิตของเรา นั่นคือเวลาที่ท่านยอมเอาอนาคตของท่านไปแลกกับความสุขชั่วครู่ชั่วยาม
เราต้องระมัดระวังที่จะไม่ใช้ชีวิตอย่างสะเพร่าเลินเล่อ หรือ
ด้วยความประมาท ที่จะตัดสินใจด้วยความรู้สึกด้วยความอยากได้ใคร่มีชั่วครู่ชั่วยาม
เพราะเมื่อตัดสินใจลงมือทำไปแล้วเราไม่สามารถย้อนหลังตัดสินใจใหม่เพื่อแก้ตัวได้ ดังนั้น ในการตัดสินใจในแต่ละวันของเรา เราจะต้องตัดสินใจด้วยการใคร่ครวญ
คิดระมัดระวัง และเลือกอย่างรอบคอบ และที่สำคัญคือเราต้องขอพระเจ้าให้มีส่วนและนำเราในการตัดสินใจ เพราะในการตัดสินใจของเราแต่ละครั้งเป็นเหมือนเราหว่านเมล็ดพืชลงไปในดิน เมื่อเราหว่านเมล็ดอะไรลงไปเราก็หวังจะเก็บเกี่ยวผลจากเมล็ดนั้น
(กาลาเทีย 6:7-8)
นักการเมืองในสมัยนี้ก็ทำตัวเหมือนยาโคบ ที่เสนอ “ถั่วแดงชามร้อน” ที่แลกเอาสิทธิของประชาชนคนลงคะแนนเสียงแต่ละคนมอบให้เขา เฉกเช่นเอซาวเอาสิทธิบุตรหัวปีไปแลกกับถั่วแดงต้มหนึ่งชาม
สิ่งนี้มิได้เกิดขึ้นในชุมชนชาวบ้านทั่วไปเท่านั้น แต่กลับเกิดขึ้นในชุมชนคนในคริสตจักรด้วย ที่ไปรับเอาเงิน 500-600
บาทจากคนหาเสียง ยิ่งกว่านั้นคริสตชนบางคนในคริสตจักรแห่งนั้นก็เป็นหัวคะแนนทำตัวเป็นยาโคบต้มถั่วแดงด้วย
ผลที่ตามมาเราก็ต้องจำยอมให้นักการเมืองคนนั้นเข้าไปตักตวงกอบโกยผลประโยชน์เรียกทุนคืนมากกว่าที่ลงทุนอีกกี่เท่า? ต้องทนนานไปอีกจนครบ 4
ปี!
ในวันนี้
ทุกครั้ง เมื่อเราต้องตัดสินใจและเลือก
เราจะต้องคิด พินิจพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
การตัดสินใจเช่นนี้เป็นการหลบเลี่ยงพระประสงค์ของพระเจ้าหรือไม่? การตัดสินใจเช่นนี้แทนที่จะเป็นการแก้ปัญหาแต่เป็นการสร้างปัญหาใหม่ในอนาคตหรือไม่?
ถ้าเราตัดสินใจเช่นนี้จะก่อเกิดผลเสียที่ตามมาอะไรบ้าง?
อย่าให้ “ถั่วแดงชามร้อน” เพียงชามเดียวปิดหูปิดตาของเรา จนทำให้เราพลาดจากแผนการอันประเสริฐของพระเจ้าที่ทรงมีในชีวิตของเรา
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น