“...อาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้า”
เป็นสำนวนไทยที่บ่งบอกถึงผู้พูดย่อมรู้ดีและมีประสบการณ์มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นผู้ที่รู้ดีกว่า มีปัญญาเหนือกว่า และอาจรวมถึงมีคำตอบชีวิตจิตวิญญาณที่ดีกว่าอีกด้วย ทั้งนี้เพราะเรามักเข้าใจว่า คนที่มีชีวิตยาวนานกว่าย่อมมีประสบการณ์มากกว่า จึงมีคำตอบต่อคำถามชีวิตจิตวิญญาณที่ดีกว่า
พ่อแม่คริสตชนหลายต่อหลายคนที่คิด เข้าใจ
และเชื่อเช่นนั้น แต่ ณ
วันนี้แม้ผมจะมีอายุเลยหกทศวรรษแล้วก็ตามผมกลับพบความจริงว่า ผมไม่มีคำตอบต่อคำถามในชีวิตจิตวิญญาณทุกเรื่องเสมอไป
แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตประจำวันผมกลับทำตัวเหมือนผู้รู้เสียทุกเรื่อง! (ไม่หลอกคนอื่นก็หลอกตนเองครับ)
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ่อยครั้งที่พ่อแม่ทำตัวว่าเป็นผู้มีคำตอบต่อคำถามของลูกเสียทุกเรื่อง
ครั้งหนึ่ง
เมื่อผมไปเก็บข้อมูลวิจัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
เย็นวันนั้นผมออกไปกับสมาชิกครอบครัวที่ผมไปพักด้วย เขาพาลูกชายอายุ 7
ขวบไปหัดถีบจักรยานของผู้ใหญ่ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน (ซึ่งเป็นทางลูกรังติดขอบสนามหญ้า) ลูกชายค่อยๆ หัดจากเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงที่ถีบแล้วใช้เท้าอีกข้างหนึ่งค่อยๆ
“กะแตะ กะแตะ ยันให้รถและตนเองไปข้างหน้า
และเมื่อดูจักรยานเคลื่อนตัวไปข้างหน้าก็พยายามเอาเท้าที่กะแตะพื้นนั้นคร่อมไปอีกข้างหนึ่งเพื่อที่จะพยายามนั่งบนเบาะจักรยาน กำลังจะนั่งได้ก็ล้มลงไปอีกข้างหนึ่ง เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนในที่สุดก็สามารถนั่งบนเบาะจักรยานได้ แต่เมื่อกำลังถีบไปสักพักหนึ่ง รถเกิดอาการโอนเอนไปมาแล้วล้ม ตัวคนถีบหน้าคว่ำคะมำ เอาหน้าไถลไปกับพื้นถนนด้านซ้ายของเขา พร้อมกับร้องเสียงหลง “โอ๊ย...”
ผู้เป็นพ่อวิ่งพรวดไปหาลูก พยายามพยุงลูกให้ลุกขึ้น หน้าตาถลอกปอกเปือก แต่แย่กว่านั้นมือซ้ายยกไม่ขึ้น พ่อแม่รีบนำลูกชายไปส่งที่โรงพยาบาลอำเภอ
ผู้เป็นแม่ประคองลูกเมื่อนั่งรถไปโรงพยาบาล ผมได้ยินเด็กชายถามแม่ของตนว่า “ทำไมมันต้องเป็นอย่างงี้ครับแม่?”
เมื่อเด็กน้อยคนนี้ต้องเผชิญหน้ากับชีวิตข้างหน้ามากกว่านี้ เขาคงมีคำถามเฉกเช่นนี้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า
“แม่...ทำไมเด็กน้อยคนนั้นถึงไม่มีอาหารพอกิน?”
“พ่อ...ทำไมจะต้องมีสึนามิด้วย ทำไมต้องมีพายุทอนาโด ที่ทำให้หลายคนต้องตาย?”
“แม่...ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงมีบาดแผลมากมายบนใบหน้าของเขา?”
“แม่...ทำไมเด็กหญิงคนนั้นถึงต้องถูกขายให้ไปเป็นขอทาน?”
“แม่...ทำไมพระเจ้าปล่อยให้คนพวกนี้มีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก?”
“แม่...ทำไมพระเจ้าไม่เห็นช่วยคนพวกนี้?”
สำหรับพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่อาจจะมีคำตอบในเชิงคริสต์ศาสนศาสตร์
เช่น เพราะโลกนี้มันพิกลพิการ ตกอยู่ใต้การครอบงำของอำนาจแห่งความบาป และด้วยเหตุนี้เราจึงต้องการพระเยซูคริสต์ที่จะช่วยกอบกู้ไถ่ถอนเราออกจากอำนาจชั่วเหล่านั้น แล้วก็จะอ้างเอ่ยพระคัมภีร์บางตอนเช่น พระเจ้าตรัสว่า “เราประสงค์จะกรุณาใคร
เราก็จะกรุณาคนนั้น และเราจะเมตตาใคร
เราก็จะเมตตาคนนั้น” (โรม 9:15 ฉบับมาตรฐาน) “เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า...ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า”
(อิสยาห์ 55:8-9)
หรือไม่เราก็มักพูดปลอบใจลูกของเรา หรือ
กับตนเองซ้ำซากจำเจว่า
“ตอนนี้ดูเหมือนเหตุการณ์มันเลวร้าย แต่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น”
“เวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากเช่นนี้จะช่วยให้เรามีความเชื่อศรัทธาที่เติบโตขึ้น...”
“พระเจ้าทรงกระทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดผลดีต่อคนที่รักพระองค์...”
ในหนังสือของ Nicole Unice ชื่อ She’s Got Issues ได้กล่าวว่า
การที่เราจะกล่าวกับหญิงที่ถูกกระทำชำเราข่มขืนและต้องปล้ำสู้กับอำนาจชั่วร้ายที่เข้ามาคุกคามทำลายชีวิตของเธอว่า “พระเจ้าทรงควบคุมในทุกสถานการณ์ชีวิต” เป็นคำพูดที่เป็นเหมือนการเอาพลาสเตอร์มาปิดแผลจากการตัดขาทิ้ง” เป็นการกล่าวที่ถูกกระหน่ำโจมตีโดยผู้เผยพระวจนะที่ปรากฏในเยเรมีย์
6:14
พวกเขาทำบาดแผลให้ประชากรของเราราวกับว่าไม่สาหัสรุนแรงอะไร
พวกเขากล่าวว่า “สันติสุข สันติสุข” ทั้งที่ไม่มีสันติสุข
(อมตธรรม)
ทั้งนี้เพราะพวกเขาชักจูงประชากรของเราให้หลงเตลิดไปโดยกล่าวว่า
“สันติสุข” ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
...พวกเขา(กระทำเหมือนกับการ)ฉาบปูนขาวทับกำแพงอันเปราะบางที่ถูกสร้างขึ้น
(เอเศเคียล 13:10 อมตธรรม ในวงเล็บเป็นของผู้เขียน)
เพื่อนผมได้นำลูกชายมาถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอในสภาพที่แขนหัก นอนรอหมอ
เพราะที่ห้องฉุกเฉินหมอกำลังกู้ชีพเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีอาการหนักทางโรคหัวใจ ในขณะอีกสามเตียงมีผู้ป่วยที่หมดสติจากอุบัติเหตุรถชนกัน แต่ละรายกำลังใกล้ความตายเข้าทุกที ในขณะที่ลูกชายของเพื่อนมีอาการเจ็บปวดที่แขนและบาดแผลที่ใบหน้า ที่สำคัญคือเด็กชายตกอยู่ในความตกใจกลัวอย่างมาก ทั้งเด็กชายและแม่ต่างร้องไห้ น้ำตาไหลออกจากตาของผู้เป็นพ่อ
สังเกตได้ว่าทั้งพ่อและแม่อธิษฐานขอพระเจ้าช่วย ใจผมอยากจะบอกทั้งสามคนนี้ว่า สถานการณ์นี้จะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก!
เราผู้เป็นพ่อแม่มักเชื่อว่า
เราจะต้องทำให้ความเชื่อศรัทธาของเราเข้มแข็งมั่นคงเพื่อเราจะสามารถนำเนื่องค้ำจุนความเชื่อของลูก
แต่เมื่อครอบครัวของเราต้องตกในภาวะที่ยากลำบาก พ่อแม่ส่วนมากต้องประสบกับความรู้สึกไม่พอใจ โกรธเพราะหาทางออกไม่ได้ วุ่นวายใจ
สับสน ในภาวะเช่นนี้เราจะหนุนความเชื่อศรัทธาของลูกได้อย่างไร เพราะแม้แต่เราที่เป็นพ่อแม่ก็กำลังสะดุดล้มลงในความเชื่อศรัทธาเช่นกัน!
ในภาวะเช่นนั้น
ผมเชื่อว่าเราท่านต่างเคยประสบพบกับสถานการณ์ทำนองนี้มาแล้วในชีวิต
แท้จริงแล้วเราผู้เป็นพ่อแม่กำลังจาริกไปบนเส้นทางชีวิตที่พบกับความขรุขระ
ไปพร้อมๆ กับลูก
แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่เราอาจจะสามารถก้าวล่วงหน้าไปบางก้าวเดินของการจาริก แต่ทั้งเราและลูกต่างกำลังจาริกไปสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า เรารู้อยู่แก่ใจว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าคำถามและความสงสัยของเรา พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าความอ่อนด้อย ขัดสน
และความจำกัดในชีวิตของเรา
เราต้องการซ่อนความสิ้นหวังของเราจากลูก
บ่อยครั้งในสถานการณ์ที่มืดมิดในชีวิต
ในความหนักหนาสาหัสที่เกิดขึ้นกับเราและลูก อาจจะเป็นการดีที่เราจะไม่นำข้อพระคัมภีร์มากล่าวซ้ำจำเจเป็นเพียงคำพูดที่ปลอบใจของเราและลูกเท่านั้น
ในภาวะเช่นนี้ลูกต้องการคำพูดที่มาจากส่วนลึกในจิตใจของพ่อแม่ เพื่อให้ความมั่นใจกับลูกว่าเราไม่ได้ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวกับปัญหาที่พบและคำถามตอบยากที่ผุดขึ้นในใจของเรา และให้ความมั่นใจกับลูกว่า
เราไมต้องกลัวลานต่อคำถามที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราในภาวะเช่นนั้น
สำหรับผมแล้ว
เมื่อตกในสถานการณ์เช่นนั้น
ผมคงพูดความจริงจากความจริงใจกับลูกว่า
“ลูก พ่อไม่รู้
พ่อไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมมันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับลูกและพ่อ มันทำให้พ่อไม่พอใจและไม่สบายใจที่เห็นลูกต้องเจ็บปวดเช่นนี้ แต่พ่อมั่นใจว่าพระเยซูคริสต์อยู่เคียงข้างเราในเวลานี้ และเราสามารถทูลขอให้พระองค์ประทานจิตใจที่สงบสันติแก่เรา
ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจในสถานการณ์เหล่านี้ก็ตาม”
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น