04 มีนาคม 2556

เมื่อพ่อแม่...ไม่มีคำตอบที่แน่ชัดสำหรับลูก!


“...อาบน้ำร้อนมาก่อนเจ้า”  

เป็นสำนวนไทยที่บ่งบอกถึงผู้พูดย่อมรู้ดีและมีประสบการณ์มากกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง   เป็นผู้ที่รู้ดีกว่า  มีปัญญาเหนือกว่า  และอาจรวมถึงมีคำตอบชีวิตจิตวิญญาณที่ดีกว่าอีกด้วย   ทั้งนี้เพราะเรามักเข้าใจว่า  คนที่มีชีวิตยาวนานกว่าย่อมมีประสบการณ์มากกว่า   จึงมีคำตอบต่อคำถามชีวิตจิตวิญญาณที่ดีกว่า

พ่อแม่คริสตชนหลายต่อหลายคนที่คิด เข้าใจ และเชื่อเช่นนั้น   แต่ ณ วันนี้แม้ผมจะมีอายุเลยหกทศวรรษแล้วก็ตามผมกลับพบความจริงว่า   ผมไม่มีคำตอบต่อคำถามในชีวิตจิตวิญญาณทุกเรื่องเสมอไป   แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในชีวิตประจำวันผมกลับทำตัวเหมือนผู้รู้เสียทุกเรื่อง! (ไม่หลอกคนอื่นก็หลอกตนเองครับ)   โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ่อยครั้งที่พ่อแม่ทำตัวว่าเป็นผู้มีคำตอบต่อคำถามของลูกเสียทุกเรื่อง

ครั้งหนึ่ง  เมื่อผมไปเก็บข้อมูลวิจัยในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง   เย็นวันนั้นผมออกไปกับสมาชิกครอบครัวที่ผมไปพักด้วย   เขาพาลูกชายอายุ 7 ขวบไปหัดถีบจักรยานของผู้ใหญ่ที่โรงเรียนในหมู่บ้าน (ซึ่งเป็นทางลูกรังติดขอบสนามหญ้า)  ลูกชายค่อยๆ หัดจากเอาเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงที่ถีบแล้วใช้เท้าอีกข้างหนึ่งค่อยๆ “กะแตะ กะแตะ ยันให้รถและตนเองไปข้างหน้า   และเมื่อดูจักรยานเคลื่อนตัวไปข้างหน้าก็พยายามเอาเท้าที่กะแตะพื้นนั้นคร่อมไปอีกข้างหนึ่งเพื่อที่จะพยายามนั่งบนเบาะจักรยาน   กำลังจะนั่งได้ก็ล้มลงไปอีกข้างหนึ่ง   เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง   จนในที่สุดก็สามารถนั่งบนเบาะจักรยานได้   แต่เมื่อกำลังถีบไปสักพักหนึ่ง  รถเกิดอาการโอนเอนไปมาแล้วล้ม  ตัวคนถีบหน้าคว่ำคะมำ  เอาหน้าไถลไปกับพื้นถนนด้านซ้ายของเขา   พร้อมกับร้องเสียงหลง “โอ๊ย...”

ผู้เป็นพ่อวิ่งพรวดไปหาลูก  พยายามพยุงลูกให้ลุกขึ้น   หน้าตาถลอกปอกเปือก   แต่แย่กว่านั้นมือซ้ายยกไม่ขึ้น   พ่อแม่รีบนำลูกชายไปส่งที่โรงพยาบาลอำเภอ   ผู้เป็นแม่ประคองลูกเมื่อนั่งรถไปโรงพยาบาล    ผมได้ยินเด็กชายถามแม่ของตนว่า  “ทำไมมันต้องเป็นอย่างงี้ครับแม่?”  

เมื่อเด็กน้อยคนนี้ต้องเผชิญหน้ากับชีวิตข้างหน้ามากกว่านี้   เขาคงมีคำถามเฉกเช่นนี้อีกครั้งแล้วครั้งเล่า

“แม่...ทำไมเด็กน้อยคนนั้นถึงไม่มีอาหารพอกิน?”

“พ่อ...ทำไมจะต้องมีสึนามิด้วย  ทำไมต้องมีพายุทอนาโด  ที่ทำให้หลายคนต้องตาย?”

“แม่...ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงมีบาดแผลมากมายบนใบหน้าของเขา?”

“แม่...ทำไมเด็กหญิงคนนั้นถึงต้องถูกขายให้ไปเป็นขอทาน?”

“แม่...ทำไมพระเจ้าปล่อยให้คนพวกนี้มีชีวิตที่ทุกข์ยากลำบาก?”

“แม่...ทำไมพระเจ้าไม่เห็นช่วยคนพวกนี้?”
สำหรับพวกเราที่เป็นผู้ใหญ่อาจจะมีคำตอบในเชิงคริสต์ศาสนศาสตร์ เช่น  เพราะโลกนี้มันพิกลพิการ  ตกอยู่ใต้การครอบงำของอำนาจแห่งความบาป   และด้วยเหตุนี้เราจึงต้องการพระเยซูคริสต์ที่จะช่วยกอบกู้ไถ่ถอนเราออกจากอำนาจชั่วเหล่านั้น   แล้วก็จะอ้างเอ่ยพระคัมภีร์บางตอนเช่น   พระเจ้าตรัสว่า “เราประสงค์จะกรุณาใคร เราก็จะกรุณาคนนั้น   และเราจะเมตตาใคร เราก็จะเมตตาคนนั้น” (โรม 9:15 ฉบับมาตรฐาน)  “เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า...ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า” (อิสยาห์ 55:8-9)

หรือไม่เราก็มักพูดปลอบใจลูกของเรา หรือ กับตนเองซ้ำซากจำเจว่า

“ตอนนี้ดูเหมือนเหตุการณ์มันเลวร้าย   แต่ทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น”

“เวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากเช่นนี้จะช่วยให้เรามีความเชื่อศรัทธาที่เติบโตขึ้น...”

“พระเจ้าทรงกระทำทุกอย่างเพื่อให้เกิดผลดีต่อคนที่รักพระองค์...”

ในหนังสือของ Nicole Unice ชื่อ She’s Got Issues ได้กล่าวว่า   การที่เราจะกล่าวกับหญิงที่ถูกกระทำชำเราข่มขืนและต้องปล้ำสู้กับอำนาจชั่วร้ายที่เข้ามาคุกคามทำลายชีวิตของเธอว่า  “พระเจ้าทรงควบคุมในทุกสถานการณ์ชีวิต” เป็นคำพูดที่เป็นเหมือนการเอาพลาสเตอร์มาปิดแผลจากการตัดขาทิ้ง”  เป็นการกล่าวที่ถูกกระหน่ำโจมตีโดยผู้เผยพระวจนะที่ปรากฏในเยเรมีย์ 6:14

พวกเขาทำบาดแผลให้ประชากรของเราราวกับว่าไม่สาหัสรุนแรงอะไร
พวกเขากล่าวว่า “สันติสุข สันติสุข”  ทั้งที่ไม่มีสันติสุข
(อมตธรรม)

ทั้งนี้เพราะพวกเขาชักจูงประชากรของเราให้หลงเตลิดไปโดยกล่าวว่า
“สันติสุข” ทั้งๆ ที่ไม่มีสันติสุข
...พวกเขา(กระทำเหมือนกับการ)ฉาบปูนขาวทับกำแพงอันเปราะบางที่ถูกสร้างขึ้น
(เอเศเคียล 13:10 อมตธรรม  ในวงเล็บเป็นของผู้เขียน)

เพื่อนผมได้นำลูกชายมาถึงโรงพยาบาลประจำอำเภอในสภาพที่แขนหัก   นอนรอหมอ  เพราะที่ห้องฉุกเฉินหมอกำลังกู้ชีพเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่มีอาการหนักทางโรคหัวใจ   ในขณะอีกสามเตียงมีผู้ป่วยที่หมดสติจากอุบัติเหตุรถชนกัน   แต่ละรายกำลังใกล้ความตายเข้าทุกที   ในขณะที่ลูกชายของเพื่อนมีอาการเจ็บปวดที่แขนและบาดแผลที่ใบหน้า   ที่สำคัญคือเด็กชายตกอยู่ในความตกใจกลัวอย่างมาก   ทั้งเด็กชายและแม่ต่างร้องไห้  น้ำตาไหลออกจากตาของผู้เป็นพ่อ   สังเกตได้ว่าทั้งพ่อและแม่อธิษฐานขอพระเจ้าช่วย   ใจผมอยากจะบอกทั้งสามคนนี้ว่า  สถานการณ์นี้จะค่อยๆ ดีขึ้น   แต่ก็รู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก!

เราผู้เป็นพ่อแม่มักเชื่อว่า เราจะต้องทำให้ความเชื่อศรัทธาของเราเข้มแข็งมั่นคงเพื่อเราจะสามารถนำเนื่องค้ำจุนความเชื่อของลูก   แต่เมื่อครอบครัวของเราต้องตกในภาวะที่ยากลำบาก   พ่อแม่ส่วนมากต้องประสบกับความรู้สึกไม่พอใจ  โกรธเพราะหาทางออกไม่ได้   วุ่นวายใจ  สับสน  ในภาวะเช่นนี้เราจะหนุนความเชื่อศรัทธาของลูกได้อย่างไร   เพราะแม้แต่เราที่เป็นพ่อแม่ก็กำลังสะดุดล้มลงในความเชื่อศรัทธาเช่นกัน!

ในภาวะเช่นนั้น  ผมเชื่อว่าเราท่านต่างเคยประสบพบกับสถานการณ์ทำนองนี้มาแล้วในชีวิต   แท้จริงแล้วเราผู้เป็นพ่อแม่กำลังจาริกไปบนเส้นทางชีวิตที่พบกับความขรุขระ ไปพร้อมๆ กับลูก   แต่ในฐานะที่เราเป็นผู้ใหญ่เราอาจจะสามารถก้าวล่วงหน้าไปบางก้าวเดินของการจาริก   แต่ทั้งเราและลูกต่างกำลังจาริกไปสู่องค์พระผู้เป็นเจ้า   เรารู้อยู่แก่ใจว่าพระเจ้ายิ่งใหญ่กว่าคำถามและความสงสัยของเรา   พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าความอ่อนด้อย ขัดสน และความจำกัดในชีวิตของเรา   เราต้องการซ่อนความสิ้นหวังของเราจากลูก   บ่อยครั้งในสถานการณ์ที่มืดมิดในชีวิต   ในความหนักหนาสาหัสที่เกิดขึ้นกับเราและลูก   อาจจะเป็นการดีที่เราจะไม่นำข้อพระคัมภีร์มากล่าวซ้ำจำเจเป็นเพียงคำพูดที่ปลอบใจของเราและลูกเท่านั้น   ในภาวะเช่นนี้ลูกต้องการคำพูดที่มาจากส่วนลึกในจิตใจของพ่อแม่   เพื่อให้ความมั่นใจกับลูกว่าเราไม่ได้ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวกับปัญหาที่พบและคำถามตอบยากที่ผุดขึ้นในใจของเรา   และให้ความมั่นใจกับลูกว่า เราไมต้องกลัวลานต่อคำถามที่เกิดขึ้นในจิตใจของเราในภาวะเช่นนั้น

สำหรับผมแล้ว  เมื่อตกในสถานการณ์เช่นนั้น  ผมคงพูดความจริงจากความจริงใจกับลูกว่า

“ลูก พ่อไม่รู้  พ่อไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมมันเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับลูกและพ่อ   มันทำให้พ่อไม่พอใจและไม่สบายใจที่เห็นลูกต้องเจ็บปวดเช่นนี้   แต่พ่อมั่นใจว่าพระเยซูคริสต์อยู่เคียงข้างเราในเวลานี้   และเราสามารถทูลขอให้พระองค์ประทานจิตใจที่สงบสันติแก่เรา   ถึงแม้เราจะไม่เข้าใจในสถานการณ์เหล่านี้ก็ตาม”

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น