18 มีนาคม 2556

เชื่อพระเจ้าแบบพ่อค้าแม่ขาย(นักธุรกิจ)?


อ่านมัทธิว 19:16-29

“ท่านอาจารย์  ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรบ้าง จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” (ข้อ 16)

ทำไมชายคนนี้ถึงมาถามพระเยซูว่า เขาจะต้องทำความดีอะไรบ้างถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?

พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า  ชายคนนี้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย  เขาเป็นเศรษฐีครับ (ดูข้อ 22-24)  เขามาหาพระเยซูอาจต้องการพิสูจน์ให้มั่นใจว่า  เขาได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว   หรือไม่เขาก็กำลังแสวงหาว่าเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์  หรือถ้าเป็นปัจจุบันก็คงถามว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์   ประการสุดท้าย ชายหนุ่มคนนี้อาจต้องการอวดคนทั้งหลายว่าตนเป็นคนดี   เขาเป็นผู้ที่จะได้ไปสวรรค์   เขาเป็นคนที่มีชีวิตนิรันดร์  หรือไม่ก็ต้องการให้พระเยซูยืนยันต่อหน้าฝูงชนว่าเขาเป็นคนดีที่มีชีวิตนิรันดร์

ชายหนุ่มถามพระเยซูว่า  เขาจะทำความดีอะไร  ถึง จะได้ชีวิตนิรันดร์  ?

เขาถามพระเยซูว่า  เขาต้องทำอะไรเพื่อจะได้สิ่งที่ตนต้องการ!   นี่คือฐานคิดของเศรษฐีหนุ่มคนนี้   เป็นความคิดแบบพ่อค้าแม่ขาย  หรือเรียกให้เพราะหู ดูสูงศักดิ์หน่อยว่า “แบบนักธุรกิจ”   เป็นฐานคิดเดียวกันกับ “ทำอย่างไรถึงจะได้กำไร(มากๆ)”  เศรษฐีหนุ่มคนนี้ต้องการเป็นเจ้าของชีวิตนิรันดร์   เหมือนกับเป็นเจ้าของธุรกิจแสนล้าน   ล้านล้าน  โคตรล้าน!

เขาอยากเป็นเจ้าของธุรกิจชีวิตนิรันดร์ครับ!

แต่พระเยซูคริสต์ตอบเศรษฐีหนุ่มคนนี้อย่างชัดเจนว่า  เศรษฐีหนุ่มเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจเอาเสียเลย  

ประการแรก เศรษฐีหนุ่มคิดผิดแบบผยองพองโตว่า ตนต้องทำความดีอะไรได้บ้างอีก   แต่สำหรับพระเยซูคริสต์มนุษย์ไม่สามารถที่จะกระทำความดีด้วยตนเองได้   มนุษย์หมดสภาพที่จะเป็นผู้ทำความดีด้วยตนเอง   ถ้าเช่นนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วยการกระทำดีของตนเอง   ถ้ามนุษย์จะกระทำความดีได้ก็เพราะพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจร่วมในตัวเขาเท่านั้น

ประการที่สอง พระเยซูเสนอให้เศรษฐีหนุ่มคิดใหม่ หรือ เปลี่ยนฐานคิดใหม่   ชีวิตนิรันดร์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์   คือ ชีวิตนิรันดร์เป็นของประทานจากพระเจ้าแก่ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์    เป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่มีพระองค์ทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในการดำเนินชีวิต  ในการคิดและการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน ให้สอดคล้องตามพระประสงค์ของพระเจ้า   ในที่นี้พระองค์ยกเอาพระบัญญัติสิบประการ 6 ประการหลัง  ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเพื่อนมนุษย์   ที่จะต้องปฏิบัติเป็นประจำอย่างเป็นรูปธรรม   อันเป็นเครื่องชี้วัดว่า คนๆนั้นมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแค่ไหนอย่างไร    ดังนั้น  ชีวิตนิรันดร์จึงไม่สามารถซื้อขายอย่างที่ทำกันในวงการค้าและธุรกิจ   เพราะเป็นของประทานจากพระเจ้า   และเป็นความจงรักภักดี และ สัตย์ซื่อของเราต่อพระองค์

แต่อย่างไรก็ตาม   เศรษฐีหนุ่มตอบพระเยซูอย่างมั่นใจว่าตนได้กระทำตามพระบัญญัติสิบประการที่พระเยซูกล่าวอ้างมาทั้งหมดแล้ว   และถามต่อไปอย่างท้าทายว่า  “...  ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง?” (ข้อ 20) 

ประการที่สาม พระเยซูคริสต์ทรงท้าทายการตัดสินใจของเศรษฐีหนุ่มว่า   เศรษฐีหนุ่มยังไม่ได้ทำตามพระบัญญัติสิบประการที่พระองค์กล่าวอ้าง   เขายังไม่ได้กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเขา   สิ่งที่รักษาพระบัญญัติ “ยังไม่ดีพร้อม”   และสิ่งที่ขาดคือ   เศรษฐีหนุ่มยังไม่ได้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

โปรดสังเกตว่า   เมื่อพระเยซูคริสต์ยกบัญญัติสิบประการ 6 ประการหลังนั้น พระองค์กล่าวถึง ห้ามฆ่าคน,  ห้ามล่วงประเวณี,  ห้ามลักทรัพย์,  ห้ามเป็นพยานเท็จ,  ให้เกียรติแก่บิดามารดา  ข้อที่ตกหล่นหายไปคือ  “ห้ามโลภบ้านเรือน...  ภรรยา...ทาสทาสี... โค ลา  หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของเพื่อนบ้าน” (อพยพ 20:17)   แต่พระเยซูคริสต์แทนที่ด้วยบทสรุปของพระมหาบัญญัติข้อที่สองคือ  จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

จากพระธรรมตอนนี้เราไม่สามรถที่จะทราบแน่ชัดว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้ไป “โลภ” อะไรของเพื่อนบ้านจนมั่งมีมั่งคั่งหรือไม่   แต่ตามวิถีชีวิตนิรันดร์ หรือ ชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้ามิใช่ไม่โลภของเพื่อนบ้านเท่านั้น   แต่เป็นชีวิตที่ “พร้อมให้” อย่างไร้เงื่อนไขแก่ผู้คนที่มีความจำเป็นต้องการในชีวิต เฉกเช่นพระบิดาที่เป็นผู้ดีพร้อมที่ประทานแสงแดด และ สายฝนแก่ทั้งคนดีและคนบาป (มัทธิว 5:48)   ถ้าเราจะ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง   พระคริสต์ได้ทรงกระทำเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในประการนี้แล้ว  

และนี่คือสิ่งที่เศรษฐีหนุ่มคนนี้ขาดอยู่ในสายพระเนตรของพระเยซูคริสต์   พระองค์จึงแนะนำเขาว่า  “ถ้าท่านต้องการที่จะเป็นคนดีพร้อม   จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน   แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์...”(ข้อ 21)   ที่ขาดอยู่เพราะเขาไม่สามารถรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง   เพราะเขาไม่สามารถตัดใจจากทรัพย์สินเงินทองที่เขาสะสมมั่งคั่ง  แล้วไปมีใจที่เชื่อมโยงสัมพันธ์และ คิดถึง เอาใจใส่ ผู้คนรอบข้าง

พระเยซูคริสต์ทรงท้าทายเศรษฐีหนุ่มว่า  เขาต้องการเลือกชีวิตที่มั่นคงมั่งคั่งเพราะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายที่สร้างความอุ่นใจมั่นใจแก่เขา  หรือ  เขาจะยอมใช้สิ่งที่มีอยู่สำหรับชีวิตของเพื่อนบ้านเพื่อเขาจะมีชีวิตนิรันดร์ หรือมี ชีวิตที่มีส่วนร่วมในแผ่นดินของพระเจ้า  

เศรษฐีหนุ่มต้องตัดสินใจ  เศรษฐีหนุ่มต้องเลือก!

ประการที่สี่   แต่สิ่งแรกที่เศรษฐีหนุ่มต้องตัดสินใจเลือกคือ   เลือกที่จะตามพระเยซูคริสต์   ตามที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า  ชีวิตนิรันดร์เป็นของประทานจากพระเจ้า   การขายทรัพย์สินสิ่งของทั้งหมดแล้วแจกจ่ายให้คนจนเท่านั้น  ยังไม่เพียงพอ  หรือ  เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้  แต่พระเยซูคริสต์ทรงแนะนำเศรษฐีหนุ่มว่า   ถ้าเขาจะทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขายอมตั้งเป้าหมายชีวิตที่จะติดตามพระองค์ทั้งชีวิต   แล้วพระเจ้าจะทรงช่วยและนำเขาให้สามารถกระทำในสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า   กล่าวคือ ด้วยกำลังของเราเองเราไม่สามารถตัดสินใจขายสิ่งที่เรามีแล้วแจกจ่ายแก่คนยากจน   แต่ด้วยการทรงช่วยและสร้างชีวิตของเราใหม่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นด้วยความชื่นชมยินดีในชีวิต

ผลปรากฏว่า  เศรษฐีหนุ่มคนนี้เมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเยซูแล้วก็ออกไปเป็นทุกข์   เพราะเขามีทรัพย์สินจำนวนมาก(ข้อ 22)    นอกจากไม่ติดตามพระคริสต์แล้ว   ยังตีตัวถอยห่างจากพระองค์ออกไป    ถ้าผมเป็นเศรษฐีหนุ่มคงสมน้ำหน้าตนเองว่า  “ไม่น่าจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน  ไปถามพระเยซูเรื่องชีวิตนิรันดร์เลย   แทนที่จะหน้าบานต้องเดินหน้าหุบออกมา”

ท่านล่ะ...  ถ้าท่านเป็นเศรษฐีหนุ่ม   ท่านคิดและรู้สึกอย่างไรกับคำชี้แนะของพระเยซูคริสต์?

ท่านจะเลือกทำตามการทรงชี้แนะของพระองค์   หรือตัดสินใจเดินทางเดิมของตนเอง ด้วยความทุกข์ใจ?
 
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น