อ่านมัทธิว 19:16-29
“ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องทำความดีอะไรบ้าง
จึงจะได้ชีวิตนิรันดร์” (ข้อ 16)
ทำไมชายคนนี้ถึงมาถามพระเยซูว่า
เขาจะต้องทำความดีอะไรบ้างถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์?
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่า ชายคนนี้มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย เขาเป็นเศรษฐีครับ (ดูข้อ 22-24)
เขามาหาพระเยซูอาจต้องการพิสูจน์ให้มั่นใจว่า เขาได้ชีวิตนิรันดร์แล้ว หรือไม่เขาก็กำลังแสวงหาว่าเขาจะต้องทำอย่างไรถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์
หรือถ้าเป็นปัจจุบันก็คงถามว่าจะทำอย่างไรถึงจะได้ไปสวรรค์ ประการสุดท้าย
ชายหนุ่มคนนี้อาจต้องการอวดคนทั้งหลายว่าตนเป็นคนดี เขาเป็นผู้ที่จะได้ไปสวรรค์ เขาเป็นคนที่มีชีวิตนิรันดร์ หรือไม่ก็ต้องการให้พระเยซูยืนยันต่อหน้าฝูงชนว่าเขาเป็นคนดีที่มีชีวิตนิรันดร์
ชายหนุ่มถามพระเยซูว่า เขาจะทำความดีอะไร ถึง จะได้ชีวิตนิรันดร์ ?
เขาถามพระเยซูว่า เขาต้องทำอะไรเพื่อจะได้สิ่งที่ตนต้องการ!
นี่คือฐานคิดของเศรษฐีหนุ่มคนนี้
เป็นความคิดแบบพ่อค้าแม่ขาย
หรือเรียกให้เพราะหู ดูสูงศักดิ์หน่อยว่า “แบบนักธุรกิจ” เป็นฐานคิดเดียวกันกับ
“ทำอย่างไรถึงจะได้กำไร(มากๆ)”
เศรษฐีหนุ่มคนนี้ต้องการเป็นเจ้าของชีวิตนิรันดร์ เหมือนกับเป็นเจ้าของธุรกิจแสนล้าน ล้านล้าน
โคตรล้าน!
เขาอยากเป็นเจ้าของธุรกิจชีวิตนิรันดร์ครับ!
แต่พระเยซูคริสต์ตอบเศรษฐีหนุ่มคนนี้อย่างชัดเจนว่า
เศรษฐีหนุ่มเข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจเอาเสียเลย
ประการแรก
เศรษฐีหนุ่มคิดผิดแบบผยองพองโตว่า ตนต้องทำความดีอะไรได้บ้างอีก
แต่สำหรับพระเยซูคริสต์มนุษย์ไม่สามารถที่จะกระทำความดีด้วยตนเองได้
มนุษย์หมดสภาพที่จะเป็นผู้ทำความดีด้วยตนเอง ถ้าเช่นนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถที่จะได้ชีวิตนิรันดร์ด้วยการกระทำดีของตนเอง ถ้ามนุษย์จะกระทำความดีได้ก็เพราะพระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจร่วมในตัวเขาเท่านั้น
ประการที่สอง
พระเยซูเสนอให้เศรษฐีหนุ่มคิดใหม่ หรือ เปลี่ยนฐานคิดใหม่ ชีวิตนิรันดร์เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ คือ
ชีวิตนิรันดร์เป็นของประทานจากพระเจ้าแก่ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพระองค์ เป็นความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่มีพระองค์ทรงเป็นเอกเป็นใหญ่ในการดำเนินชีวิต ในการคิดและการตัดสินใจในชีวิตประจำวัน ให้สอดคล้องตามพระประสงค์ของพระเจ้า ในที่นี้พระองค์ยกเอาพระบัญญัติสิบประการ 6 ประการหลัง
ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างตนกับเพื่อนมนุษย์ ที่จะต้องปฏิบัติเป็นประจำอย่างเป็นรูปธรรม อันเป็นเครื่องชี้วัดว่า
คนๆนั้นมีความสัมพันธ์กับพระเจ้าแค่ไหนอย่างไร
ดังนั้น ชีวิตนิรันดร์จึงไม่สามารถซื้อขายอย่างที่ทำกันในวงการค้าและธุรกิจ เพราะเป็นของประทานจากพระเจ้า และเป็นความจงรักภักดี และ
สัตย์ซื่อของเราต่อพระองค์
แต่อย่างไรก็ตาม เศรษฐีหนุ่มตอบพระเยซูอย่างมั่นใจว่าตนได้กระทำตามพระบัญญัติสิบประการที่พระเยซูกล่าวอ้างมาทั้งหมดแล้ว และถามต่อไปอย่างท้าทายว่า “... ข้าพเจ้ายังขาดอะไรอีกบ้าง?” (ข้อ 20)
ประการที่สาม
พระเยซูคริสต์ทรงท้าทายการตัดสินใจของเศรษฐีหนุ่มว่า
เศรษฐีหนุ่มยังไม่ได้ทำตามพระบัญญัติสิบประการที่พระองค์กล่าวอ้าง
เขายังไม่ได้กระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเขา สิ่งที่รักษาพระบัญญัติ “ยังไม่ดีพร้อม” และสิ่งที่ขาดคือ เศรษฐีหนุ่มยังไม่ได้รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
โปรดสังเกตว่า
เมื่อพระเยซูคริสต์ยกบัญญัติสิบประการ 6 ประการหลังนั้น
พระองค์กล่าวถึง ห้ามฆ่าคน,
ห้ามล่วงประเวณี,
ห้ามลักทรัพย์,
ห้ามเป็นพยานเท็จ,
ให้เกียรติแก่บิดามารดา
ข้อที่ตกหล่นหายไปคือ “ห้ามโลภบ้านเรือน... ภรรยา...ทาสทาสี... โค ลา หรือสิ่งใดๆ ซึ่งเป็นของเพื่อนบ้าน” (อพยพ 20:17)
แต่พระเยซูคริสต์แทนที่ด้วยบทสรุปของพระมหาบัญญัติข้อที่สองคือ
จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
จากพระธรรมตอนนี้เราไม่สามรถที่จะทราบแน่ชัดว่าเศรษฐีหนุ่มคนนี้ไป
“โลภ” อะไรของเพื่อนบ้านจนมั่งมีมั่งคั่งหรือไม่
แต่ตามวิถีชีวิตนิรันดร์ หรือ ชีวิตในแผ่นดินของพระเจ้ามิใช่ไม่โลภของเพื่อนบ้านเท่านั้น แต่เป็นชีวิตที่ “พร้อมให้” อย่างไร้เงื่อนไขแก่ผู้คนที่มีความจำเป็นต้องการในชีวิต
เฉกเช่นพระบิดาที่เป็นผู้ดีพร้อมที่ประทานแสงแดด และ สายฝนแก่ทั้งคนดีและคนบาป
(มัทธิว 5:48) ถ้าเราจะ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง พระคริสต์ได้ทรงกระทำเป็นตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในประการนี้แล้ว
และนี่คือสิ่งที่เศรษฐีหนุ่มคนนี้ขาดอยู่ในสายพระเนตรของพระเยซูคริสต์ พระองค์จึงแนะนำเขาว่า “ถ้าท่านต้องการที่จะเป็นคนดีพร้อม
จงไปขายทรัพย์สิ่งของที่ท่านมีอยู่แจกจ่ายให้คนยากจน แล้วท่านจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์...”(ข้อ 21)
ที่ขาดอยู่เพราะเขาไม่สามารถรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
เพราะเขาไม่สามารถตัดใจจากทรัพย์สินเงินทองที่เขาสะสมมั่งคั่ง แล้วไปมีใจที่เชื่อมโยงสัมพันธ์และ คิดถึง
เอาใจใส่ ผู้คนรอบข้าง
พระเยซูคริสต์ทรงท้าทายเศรษฐีหนุ่มว่า เขาต้องการเลือกชีวิตที่มั่นคงมั่งคั่งเพราะมีทรัพย์สินเงินทองมากมายที่สร้างความอุ่นใจมั่นใจแก่เขา หรือ
เขาจะยอมใช้สิ่งที่มีอยู่สำหรับชีวิตของเพื่อนบ้านเพื่อเขาจะมีชีวิตนิรันดร์
หรือมี ชีวิตที่มีส่วนร่วมในแผ่นดินของพระเจ้า
เศรษฐีหนุ่มต้องตัดสินใจ เศรษฐีหนุ่มต้องเลือก!
ประการที่สี่
แต่สิ่งแรกที่เศรษฐีหนุ่มต้องตัดสินใจเลือกคือ เลือกที่จะตามพระเยซูคริสต์ ตามที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า ชีวิตนิรันดร์เป็นของประทานจากพระเจ้า
การขายทรัพย์สินสิ่งของทั้งหมดแล้วแจกจ่ายให้คนจนเท่านั้น ยังไม่เพียงพอ
หรือ เราไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่พระเยซูคริสต์ทรงแนะนำเศรษฐีหนุ่มว่า
ถ้าเขาจะทำเช่นนี้ได้ก็ต่อเมื่อเขายอมตั้งเป้าหมายชีวิตที่จะติดตามพระองค์ทั้งชีวิต แล้วพระเจ้าจะทรงช่วยและนำเขาให้สามารถกระทำในสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า กล่าวคือ ด้วยกำลังของเราเองเราไม่สามารถตัดสินใจขายสิ่งที่เรามีแล้วแจกจ่ายแก่คนยากจน
แต่ด้วยการทรงช่วยและสร้างชีวิตของเราใหม่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นด้วยความชื่นชมยินดีในชีวิต
ผลปรากฏว่า
เศรษฐีหนุ่มคนนี้เมื่อได้ยินถ้อยคำของพระเยซูแล้วก็ออกไปเป็นทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สินจำนวนมาก(ข้อ 22) นอกจากไม่ติดตามพระคริสต์แล้ว ยังตีตัวถอยห่างจากพระองค์ออกไป ถ้าผมเป็นเศรษฐีหนุ่มคงสมน้ำหน้าตนเองว่า “ไม่น่าจะแกว่งเท้าหาเสี้ยน ไปถามพระเยซูเรื่องชีวิตนิรันดร์เลย แทนที่จะหน้าบานต้องเดินหน้าหุบออกมา”
ท่านล่ะ...
ถ้าท่านเป็นเศรษฐีหนุ่ม ท่านคิดและรู้สึกอย่างไรกับคำชี้แนะของพระเยซูคริสต์?
ท่านจะเลือกทำตามการทรงชี้แนะของพระองค์ หรือตัดสินใจเดินทางเดิมของตนเอง
ด้วยความทุกข์ใจ?
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น