27 มีนาคม 2556

สิ่งที่ผู้ฟังเทศน์ต้องการ


สิ่งต่างๆ ที่เราใช้ในการนมัสการพระเจ้าก็วนเวียนเปลี่ยนไปตามยุคตามสมัย  ตามบริบทและวัฒนธรรม    เช่น เพลงที่ร้อง เครื่องดนตรีที่ใช้  ระเบียบนมัสการที่มีใช้ในแต่ละคริสตจักร   แต่สิ่งหนึ่งในการนมัสการที่ดูจะไม่เปลี่ยนไปแค่ไหนคือ การเทศนา   สิ่งที่พบเกี่ยวกับการเทศนามักมีการวิพากษ์เรียกร้องจากผู้ฟังคือ   ขออาจารย์เทศนาภาษามนุษย์  มิใช่เทศนาภาษาพระคัมภีร์!   นั่นเป็นการแสดงความจริงใจและความต้องการลึกๆ ของผู้ฟังเทศน์   เขาไม่ต้องการมาฟังเทศน์เป็นพิธีเท่านั้น   เขากำลังแสวงหา   แสวงหาคำตอบต่อโจทย์ที่เป็นประเด็นในชีวิตที่เขากำลังประสบ  เขาต้องการคำตอบ  ต้องการแนวทาง  ต้องการทำตามคำเทศนาครับ   แต่ส่วนใหญ่ก็มาติดอยู่กับว่าแล้วจะนำไปทำตามในชีวิตจริงอย่างเป็นรูปธรรมได้อย่างไร?


สิบประเด็นต่อไปนี้เขียนจากการรวบรวมข้อมูล ความคิดเห็นที่มาจากประสบการณ์ตรงของผู้ฟังเทศนา และ การที่ได้อ่านข้อเขียนและบทความ (เช่นของ Bob Hostetler) เกี่ยวกับความกระหายหาที่จะได้ลิ้มรสสารอาหารที่เป็นประโยชน์ให้กำลังสำหรับชีวิตจิตวิญญาณของตน   ว่าผู้ฟังเทศน์ต้องการอะไรจากการเทศนาแต่ละครั้ง

10.  คว้าความสนใจของฉันไว้ทันทีที่คุณเริ่มอ้าปากเทศน์

นักเทศน์ในอดีตรู้ว่าจะเชื่อมต่อสื่อสารกับผู้ฟังอย่างรวดเร็วอย่างไร   แต่นักเทศน์ในสมัยใหม่ปัจจุบันนี้หลายคน   มักเริ่มต้นดึงความสนใจผู้ฟังด้วยประโยคในลักษณะที่ว่า... “เช้าวันนี้...ให้เราเปิดพระธรรมฮาบากุก...”  หรืออะไรทำนองนี้   เป็นนักเทศน์มืออาชีพที่น่าเบื่อหน่ายครับ   มาดนักวิชาการที่เราไม่ควรใช้ในปัจจุบัน!   หรือเขาเลิกใช้กันแล้ว   ให้เราคิดถึง 30 วินาทีแรกของภาพยนตร์ หรือ วีดีทัศน์สมัยใหม่   เป็นการนำเสนอที่จะคว้าความสนใจของผู้ชมผู้ฟังให้อยู่หมัดด้วยวิธีต่างๆ จะด้วยคำถาม เรื่องสั้น  คลิป  ดนตรี...ฯลฯ   ที่มีพลังดึงดูดความสนใจของผู้ฟังแบบมีพลังแรงที่ผู้ฟังไม่สนทางเลือกอื่นใด   นอกจากสนใจเรื่องราวที่ผู้เทศน์จะเทศน์ต่อไป

9.  สอนฉันบางเรื่องที่ฉันยังไม่รู้

นักเทศน์ต้องถามตนเองก่อนเทศน์ในบทเทศน์ที่เตรียมแล้วว่า  “ถ้าฉันเป็นผู้ฟังเทศน์วันนี้  จุดไหนประเด็นใดในคำเทศนานี้ที่ได้ยินได้ฟังแล้วต้องรีบจดไว้ในทันที  เพื่อฉันจะไม่ลืม?”   ถ้าคำตอบคือ “ไม่มีเลย” ขอให้กำลังใจว่า  ขอให้ท่านเริ่มเตรียมเทศน์ใหม่ครับ   ผู้ฟังเทศนาแต่ละคนต่างมีความจำเป็นและต้องการความช่วยเหลือ   เขาไม่ใช่ “ธนาคารรับฝากคำเทศน์”   แต่เขาต้องการค้นพบบางสิ่งบางอย่างใหม่ในชีวิต  ความรู้ใหม่  ความคิดใหม่  มุมมองใหม่  ทางออกใหม่สำหรับชีวิตของเขาและผู้คนที่เขาเกี่ยวข้อง

8.  บอกฉันถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัส   ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องการพูด

นักเทศน์พึงตระหนักชัดว่า   ผู้ที่มาฟังเทศน์ในวันนี้เขาสนใจและแสวงหาว่าพระเจ้ากำลังตรัสอะไรกับเขาในเรื่องนั้นๆ  มากกว่าท่านคิดอย่างไร หรือ ท่านพูดอะไร หรือ มาบอกว่ามีคนดังๆ พูดว่าอะไรในเรื่องนั้น...  การเทศนามุ่งเป้าหลักไปยังคริสตชนที่กำลังแสวงหา   ให้เขามีหลักการความเชื่อศรัทธาและการดำเนินชีวิตที่หยั่งรากลงในพระวจนะของพระเจ้า   และสิ่งที่ละทิ้งไม่ได้คือการที่จะกระทำตามพระวจนะ   ดังนั้น นักเทศน์จะต้องมีชีวิตดำเนินชีวิตตามที่ตนเทศน์ด้วย

7.  อย่าทำให้ฉันต้องรู้สึกว่าฉันมันโง่ เพราะฉันไม่รู้พระคัมภีร์ตอนนั้นตอนนี้

จากงานวิจัยในคริสตจักรพบว่า  ยิ่งผู้ที่เชื่อพระเจ้านานแค่ไหน  จะอ่านพระคัมภีร์น้อยลงแค่นั้น   อยากจะบอกว่าคริสตชนในปัจจุบันนี้เปิดอ่านพระคัมภีร์น้อยลง   ยิ่งในสมัยนี้เมื่อคริสตชนมาโบสถ์นอกจากจะไม่มีพระคัมภีร์ติดมือจากที่บ้านแล้ว   เมื่อมาถึงหน้าโบสถ์ที่เขาแจกสูจิบัตรนมัสการ  เพลง  พระคัมภีร์   ผู้คนมักเลือกเอาแต่สูจิบัตร   แต่ไม่เอาพระคัมภีร์   เพราะเดี๋ยวอาจารย์เขาก็จะฉายบนจอโปรเจ็คเตอร์   อ่านจากบนจอก็ได้   และสิ่งที่พบมากในเวลานี้ก็คือ   ถ้าผู้เทศน์ให้ผู้ฟังเปิดพระธรรมฮักกาย หรือ รูธ  ผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่สามารถเปิดพบใน 2-3 นาที   แต่ในฐานะนักเทศน์พึงตระหนักชัดว่า  ในเวลาช่วงสั้นๆ ของการเทศนานี้   เราพุ่งเป้าหมายไปที่พระวจนะที่ตรัสกับผู้ฟัง   ไม่ใช่แย่งเวลาเทศนาไปสอนวิธีเปิดพระคัมภีร์   ด้วยเหตุนี้ หลายคริสตจักรผู้เทศน์จึงใช้โปรเจ็คเตอร์ฉายข้อพระคัมภีร์ที่ใช้เทศนา   เพื่อผู้ฟังจะได้เห็น ได้อ่านด้วยตนเอง 

แต่ในเวลาเดียวกันก็พึงระวังอีกเช่นกันว่า   ถ้าฉายข้อพระคัมภีร์บนจอโปรเจ็คเตอร์เป็นประจำ   โดยไม่มีเวลาอื่นที่จะพัฒนาสมาชิกให้มีความคุ้นชินในการเปิดพระคัมภีร์   จะทำให้ศักยภาพในการเปิดอ่านพระคัมภีร์ของผู้ฟังลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ  ดังนั้น คริสตจักรก็ควรมีโอกาสและวิธีที่เหมาะสมในการพัฒนาศักยภาพในด้านนี้ของสมาชิกด้วย

ในคริสตจักรที่ไม่มีโปรเจ็คเตอร์  ผู้เทศนาอาจจะช่วยให้ผู้ฟังเทศน์สามารถเปิดข้อพระคัมภีร์ได้ทัน และ ได้อ่านไปพร้อมกับคนอื่น  ด้วยวิธีการง่ายๆ  สมมติว่าคริสตจักรนี้ใช้พระคัมภีร์ฉบับมาตรฐาน  ผู้เทศน์กล่าวนำว่า “พระธรรม ฮาบากุก เป็นพระธรรมที่อยู่ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เล่มที่ 35 ซึ่งเราจะพบพระธรรมฮาบากุกในฉบับมาตรฐานเริ่มต้นในหน้า 1239...”

นักเทศน์ต้องระมัดระวังไม่ใช้การเปิดพระคัมภีร์ไม่ทัน หรือ เปิดไม่ได้ของสมาชิกบางท่าน  สร้างความรู้สึกอับอายต่อหน้าผู้คน  หรือความรู้สึกว่าตนเองด้อยในจิตใจของเขา

6.  ขอรู้จักคุณหน่อยได้ไหม...ว่าคุณเป็นใคร?

ผู้ฟังเทศน์ก็ต้องการรู้ว่าเขากำลังฟังใครเทศน์   แต่ไม่ได้หมายความว่าผู้เทศน์เล่าประวัติของตนเสียยืดยาว   ต้องไม่ลืมว่าเวลาเทศนาไม่ใช่เวลาเล่าอวดเรื่องตนเอง   แต่ขอให้ใช้วิธีแนะนำที่สั้นๆ เพื่อสื่อสัมพันธ์คุ้นชินกับผู้ฟัง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเหตุการณ์ชีวิตที่สอดคล้องกับเรื่องในการเทศน์ครั้งนั้น  ทำให้รู้ถึงเบื้องหลังและประสบการณ์ชีวิตของผู้เทศน์   แต่อย่าเริ่มคำเทศนาด้วยการแนะนำตนเองนะครับ...น่าเบื่อหน่าย!

5.  ทำให้ฉันได้หัวเราะบ้าง

ความจริงก็คือว่า ไม่ใช่นักเทศน์ทุกคนที่จะสรรหาและเล่าเรื่องตลกสอดเข้าในคำเทศน์อย่างมีประสิทธิภาพได้   และต้องระมัดระวังมากในเรื่องนี้   เพราะเคยมีอาจารย์สอนในสถาบันคริสต์ศาสนศาสตร์ศึกษาที่เทศนามุ่งเน้นแต่เรื่องตลกโปกฮา มากกว่าคำตรัสของพระเจ้า   นักเทศน์ที่สร้างความบันเทิง  มัน  สะใจ   และที่แย่กว่านั้นพบว่าเคยมีผู้ใหญ่(ตำแหน่ง)ในคริสตจักรบางท่านใช้เรื่องตลกสองง่ามสองแง่บนธรรมมาสน์ด้วย 

การใช้เรื่องตลกสอดเข้าในคำเทศนามิได้มีจุดประสงค์เพื่อผู้ฟังจะได้หัวเราะเท่านั้น   มิใช่ให้ผู้ฟังตื่นจากหลับเมื่อฟังเทศน์   หรือมิใช่เพื่อให้ผู้ฟังนิยมชมชอบผู้เทศน์  เพราะเทศนาได้ตลกดี!   (ไม่ใช่นะครับ...)

การสอดเรื่องตลกเข้าในคำเทศนาเพื่อที่จะช่วยให้ผู้ฟังได้มองเห็นสัจจะความจริงเรื่องนั้นๆ ในชีวิตของผู้ฟังได้ชัดเจนยิ่งขึ้นโดยสะท้อนผ่านเรื่องตลก   ผู้เทศน์อาจจะใช้เรื่องราว และ ประสบการณ์ตลกในชีวิตของตน   เป็นเรื่องตลกที่สอดเข้าในคำเทศน์จะน่าเชื่อถือ และ ปลอดภัย 

4.  แสดงให้ฉันเห็นถึงความเข้าใจของคุณว่า ฉันจะรับมือ   จัดการ   และเอาทะลุเรื่องนั้นอย่างไร

สิ่งที่สำคัญอย่างมาก  และคงเป็นภารกิจแรกๆ ของผู้เทศน์คือ ต้องสามารถแยกแยะและรู้จักผู้ฟังเทศน์ของตนให้ชัดเจนก่อน  และผู้ฟังเทศน์ก็ต้องการรู้และมั่นใจว่า ผู้เทศน์รู้ถึงสถานการณ์ที่ล่อแหลม  เสี่ยง  บาดเจ็บ ตีบตันในชีวิต  ความฉีกขาดในความสัมพันธ์   ครอบครัวแตกสลาย   การสูญเสียในชีวิต   มิใช่เทศนาแต่เรื่องนามธรรมบนหอคอย หอระฆังโบสถ์!  ที่คนไม่รู้เรื่อง  และยิ่งกว่านั้นเป็นคำเทศน์ที่ผู้ฟังไม่สนใจ   นักเทศน์ต้องรู้ว่าจะนำเสนอคำเทศนาอย่างไร   ที่พระวจนะของพระเจ้า และ พระกิตติคุณของพระคริสต์แตะ  สัมผัส  เยียวยาชีวิตที่ไม่สมบูรณ์ข้างต้น    มีตัวอย่างชีวิตจริงไหม   มีข้อแนะนำอย่างไรบ้าง   เมื่อฉันออกจากโบสถ์นี้ไปแล้วจะต้องทำตามขั้นตอนอย่างไรบ้าง   ทำอย่างไรฉันจะมั่นใจได้ว่า  ฉันจะรับมือ จัดการ และเอาทะลุอุปสรรคความทุกข์ยากของฉันเหล่านั้น?   (บอกฉันหน่อยได้ไหม?) 

อย่าลืมนะครับว่า  ผู้ฟังเทศน์แท้จริงกำลังแสวงหา   และนักเทศน์จะช่วยให้ฉันได้แสวงหาพบทางออกในชีวิตตอนนี้ได้ไหมครับ?

3.  สัมผัสถึงอารมณ์ของฉันบ้าง

พูดอย่างเปิดใจครับ   ผู้ฟังเทศน์เป็นผู้แสวงหาที่ต้องการได้รับแรงบันดาลใจในชีวิตที่เป็นอยู่ครับ  ชีวิตที่เป็นเหมือนสายไฟที่มองหาปลั๊กเสียบที่จะเสียบเข้าไปเพื่อรับกระแสไฟฟ้า  ให้เกิดแสงสว่าง เกิดแรงพลังในชีวิตครับ   ผู้ฟังเทศน์แสวงหาแนวทางการจัดการในชีวิตของเขา   พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักเทศน์จะช่วยเรามิใช่ในการคิดเป็นเท่านั้นครับ   และให้รู้จักที่จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดในตนเองด้วยครับ   คำเทศน์ใดๆ ที่ไม่สามารถมีอิทธิพลต่อทั้งความนึกคิดและความรู้สึก   ผมคิดว่าการเทศนาครั้งนั้นประสบความล้มเหลวและทำให้ผู้ฟังเทศน์หมดหวังในการฟังเทศน์ครับ

2.  คำเทศน์ตอบโจทย์ชีวิตและความจำเป็นต้องการของฉันหรือไม่

ทุกคนที่มานมัสการพระเจ้าและฟังเทศนาต่างพกเอาโจทย์ ปัญหา ความจำเป็นต้องการในชีวิตมาด้วย   สิ่งเหล่านี้วนเวียน ย้ำซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ในห้วงความคิดและความรู้สึกของผู้ฟังเทศน์   และกินพื้นที่มากมายในความคิดจิตใจของเขา    ดังนั้น  เมื่อนักเทศน์นำเสนอประเด็นที่เทศน์ในวันนั้น   เราไม่สามารถรู้และมั่นใจว่า  ผู้ฟังเทศน์แต่ละคนจะสนใจในประเด็นที่นำเสนอเทศน์หรือไม่  แค่ไหน  อย่างไร

คำเทศน์ตอบโจทย์ประเด็นชีวิตที่เขาประสบพบในเวลานั้นหรือไม่?   พระกิตติคุณมีคำตอบอะไรกับภาวะ การตกงานของฉัน?   คำเทศน์มีคำตอบอย่างไรกับลูกสาวที่หนีไปกับแฟน?  แล้วฉันจะทำอย่างไรกับบ้านที่กำลังจะถูกยึด?   ฉันจะจัดการอย่างไรกับอ้ายเจ้านายที่โง่บัดซบ?   หลังการนมัสการจะพาครอบครัวไปกินข้าวที่ไหน?   ฉันจะโยกเงินก้อนโตของฉันไปลงทุนในโปรแกรมไหนที่จะได้ผลตอบแทนสูงๆ?   ฯลฯ

เมื่อคำเทศน์ของคุณ ไม่มีคำตอบสำหรับประเด็นชีวิตข้างต้น  ฉันจะฟังเทศน์ไปทำไม?   และฉันคงต้องตัดสินใจว่า ยังจะจมจ่อมในคริสตจักรนี้ต่อไปหรือไม่?

ประการสุดท้าย  ที่เป็นประเด็นสำคัญยิ่งสำหรับผู้ฟังเทศน์ที่เป็นคริสตชน และ กำลังแสวงหาในชีวิต

1. บอกฉันชัดๆ ว่า แล้วฉันจะประยุกต์สิ่งที่คุณเทศน์ไปใช้ในชีวิตวันนี้ และ อาทิตย์นี้อย่างไร?

เมื่อนักเทศน์นำเสนอพระวจนะของพระเจ้า และ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แล้ว   ดึงดูดความสนใจผู้ฟัง   และผู้ฟังก็สนใจที่จะทำตามพระวจนะและพระกิตติคุณที่พระเจ้าตรัสในคำเทศนาในวันนี้   และดูเหมือนว่าพระวจนะนี้มีความเป็นไปได้ที่จะนำไปปฏิบัติในวันนี้  อาทิตย์นี้แต่ยังไม่ชัดเจน  และที่สำคัญที่จะบอกตรงๆ ว่ายังไม่มั่นใจ

อยากบอกนักเทศน์ และ ศิษยาภิบาลว่า  เราต้องการโอกาสที่จะปรึกษาส่วนตัวกับอาจารย์   มีเวลาอธิษฐานเสริมกำลังใจและความมั่นใจจากอาจารย์   เราต้องการมีโอกาสส่วนตัวที่จะฟังอาจารย์ หรือ นักเทศน์ช่วยแนะนำถึงแนวทางที่จะนำไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมตามบริบทและสถานการณ์จริงในชีวิตของเรา   และ

เมื่อนำแนวทางนั้นไปปฏิบัติจริงในชีวิตและการทำงานเราต้องการคนที่ติดตามเราและที่เราสามารถปรึกษาได้   และเราต้องการคนที่จะช่วยถอดบทเรียนจากประสบการณ์ชีวิตที่ทำตามพระวจนะ  เพื่อเราจะได้เรียนรู้  และรับบทเรียนใหม่ๆ จากประสบการณ์  และมีความมั่นใจและมั่นคงในความเชื่อศรัทธายิ่งขึ้น   พูดง่ายๆ ครับ  เมื่อเราฟังเทศน์ และ ตัดสินใจทำตามพระวจนะแล้ว   เราต้องการอภิบาลบ่มเพาะฟูมฟักชีวิตคริสตชนของเราให้เติบโต แข็งแรง และเกิดผลเยี่ยงพระคริสต์ ครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น