มีผู้ใหญ่ที่ผมนับถือในฐานะที่ปิดทองหลังพระเสริมสร้างคนรุ่นใหม่ให้มีภาวะผู้นำทั้งในองค์การทั่วไป ในหน่วยงานสถาบันคริสตชน และ ผู้นำคริสตจักร ผมได้ยินท่านนั้นย้ำแล้วซ้ำอีกว่า ผู้นำที่แท้จริงไม่ต้องพึ่งพิงยึดเกาะ
“ตำแหน่ง” หรือคำสั่ง
ผู้นำที่แท้จริงคือคนที่ผู้คนแวดล้อมต้องการที่จะติดตามเขา แม้ผู้นำคนนั้นไม่มีฐานะตำแหน่ง หรือ ไม่มีอำนาจที่จะสั่งแต่ประการใด
แต่ที่แย่และไม่เอาไหนที่เห็นบ่อยในผู้นำคือ แม้จะมีตำแหน่ง มีอำนาจ แต่ผู้คนลูกน้องกลับไม่ยอมติดตามเขา ลับหลังลูกน้องก็ “บุ้ยปาก” ใส่
ตอนนี้ท่านอยู่ในฐานะอะไร?
ผู้คนรอบข้างยอมฟังและตามท่านไหม?
หรือท่านต้องทั้งผลักและดันพวกเขาให้ทำตามที่ท่านต้องการตลอดเวลา?
ในฐานะที่เราทำงานในตำแหน่งต่างๆ เราอาจจะมีตำแหน่ง
เราอาจจะมีอิทธิพลหรืออำนาจเหนือลูกน้องของเรา และเราอาจจะมีอิทธิพลที่น้อยนิดต่อผู้ที่รับบริการจากเรา
ในฐานะที่เราเป็นผู้ให้บริการ หรือ
ขายบริการ
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ซื้อหรือรับบริการจากเราไม่จำเป็นที่จะต้องทำตามที่เราเสนอ แต่อย่างไรก็ตามการที่ผู้รับบริการจากเราจะยอมทำตามที่เราแนะนำหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับคนๆ
นั้นว่าเขา “ไว้ใจ” เราหรือไม่แค่ไหน
เขาจะรับบริการของเรา
เขาจะซื้อสินค้าของเราหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าเขาไว้วางใจเราหรือไม่
ในชีวิตของเรา
การงานของเรา หรือชีวิตส่วนตัวและครอบครัวของเราเป็นตัวที่บ่งบอกถึงความน่าเชื่อถือหรือไว้วางใจของเรา ว่ามีมากน้อยแค่ไหน
แต่เรามักมีคำถามอยู่ว่า “แล้วภาวะผู้นำคืออะไร?” ถ้าเราค้นหาในกูเกิล
ในพจนานุกรมทางการบริหารจัดการเราจะพบว่า
ไม่มีคำอธิบายที่แน่นอนตายตัวเพียงคำอธิบายเดียว เราอาจจะพบคำอธิบายที่แบ่งภาวะผู้นำออกเป็นประเภทต่างๆ
เช่น ผู้นำประเภท นำการเปลี่ยนแปลง ผู้นำที่เลื่อนไหลไปตามสถานการณ์ หรือ
ผู้นำผู้รับใช้
แน่นอนครับเราย่อมยอมรับว่าผู้นำมีหลายประเภท แต่ก็ยังไม่ได้ตอบคำถามที่ว่า แล้วภาวะผู้นำมันคืออะไรกันแน่?
ภาวะผู้นำเป็นความสามารถกระทำให้เกิดแรงบันดาลใจ
หรือ โน้มน้าวจิตใจความคิดของผู้คนให้ติดตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่แสดงออกมาในรูปการกระทำ
บางคนพยายามที่จะอธิบายว่าเป้าหมายปลายทางของภาวะผู้นำ คือการนำไปสู่ปลายทางที่สร้างสรรค์
แต่คำจำกัดความในลักษณะนี้ก็ทำให้เกิดคำถามว่า
ไม่ว่าการกระทำอาชญากรรมที่ร้ายแรงก็มีผู้นำผู้บงการในการทำ สงครามที่มีผู้นำที่นำไปให้เกิดผลปลายทางที่ลบและทำลายล่ะ คนพวกนี้ไม่เป็นผู้นำหรือ?
แต่การที่ได้รับแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่สำคัญ
เพราะแรงบันดาลใจเป็นแรงที่กระตุ้นให้ผู้คนยอมที่จะติดตามหรือกระทำตามความคิดหรือข้อเสนอของผู้นำคนนั้น และส่วนมากก็เต็มใจที่จะกระทำตามเสียด้วย ถ้ามีคนที่ยอมติดตามแต่ไม่สบายใจ
หรือไม่เต็มใจ
ถ้าเช่นนั้นเขาผู้นั้นก็จะมิได้อยู่ภายใต้การนำของผู้นำคนนั้น แต่เป็นการถูกบังคับขู่เข็ญให้ต้องทำตาม หรือบางครั้งก็เป็นเพราะสถานการณ์พาไป
หรือบังคับ
ส่วนมากแล้วเป็นการทำตามเพราะความกลัว
และการทำเช่นนั้นก็จะเกิดผลในเชิงลบ
ถ้าคนๆ นั้นทำไปเพราะฝืนทำ
ท่านอาจจะคิดย้อนไปในประสบการณ์ที่ผ่านมา ไม่ว่าในประวัติศาสตร์ของโลก หรือประสบการณ์ในอดีต ท่านเคยถูกกดดันครอบงำจากผู้นำที่ไม่ปกติคนใดบ้าง? ผู้นำคนใดบ้างที่ท่านยอมฟังและทำตามด้วยความเต็มใจ? ในทัศนะมุมมองของท่าน ผู้นำคนนั้นมีท่าทีลักษณะเช่นไร? เป็นผู้นำที่...
- สัตย์ซื่อ
- มั่นใจ ชัดเจน
- กล้าหาญ
- ไม่เห็นแก่ตัวเอง
- มีความรู้
- จงรักภักดี
- มีสมรรถนะ/ความสามารถ
- ไว้ใจได้ อยู่กับร่องกับรอย มั่นคง
- เป็นผู้มีวุฒิภาวะ
- เป็นผู้มีวินัยในชีวิต
- มีความเห็นอกเห็นใจ/มีจิตใจที่เมตตากรุณา
คุณสมบัติหลายอย่างเหล่านี้เป็นบุคลิกลักษณะที่ใช้ในการขับเคลื่อนชีวิตในการกระทำของเราและมีผลต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ ในการทำงานเราสามารถฟังเสียงสะท้อนถึงคุณสมบัติภาวะผู้นำได้ดังนี้
“ถ้าเขาเป็นคนที่มาทำงานสาย หนีการประชุม มักเลื่อนเวลาเสร็จงานบ่อยๆ
แล้วเขาจะมาคาดหวังให้ฉันต้องมีคุณสมบัติที่แตกต่างไปจากเขาได้หรือ?”
“แท้จริงฉันก็อยากจะเป็น “คนหนึ่งในทีมงาน” และ
“เป็นส่วนหนึ่งในวิสัยทัศน์” นั้นด้วย
แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่าเรามีวิสัยทัศน์อะไรกันแน่ แล้วคุณล่ะ
รู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร?”
“วันนี้หัวหน้าอารมณ์บูดอารมณ์เน่า แล้วพวกเราจะต้องลอยเคว้งอย่างงี้หรือ ฉันไม่ต้องการเป็นหนังหน้าไฟ ไม่อยากเป็นกระโถนท้องพระโรงรองรับอารมณ์ เห็นทีฉันควรจะหางานใหม่ดีกว่า”
“ถ้าเขายอมปรับเปลี่ยนความคิด ฉันก็จะยอมทำตามเขา... ฉันรอดูว่าเขาจะเอายังไงกันแน่
ก่อนที่ฉันจะเสียเวลาและความพยายามไปมากกว่านี้”
คำพูดเช่นนี้ที่เราได้ยินบ่อยๆ ใช่ไหม? ทั้งในองค์กรขนาดเล็กและองค์กรที่ใหญ่โต ขอสรุปภาพรวมว่า
ถ้าผู้นำไม่มีการกระทำที่เป็นแบบอย่าง
และไม่ได้แสดงออกว่าเป็นผู้ที่สามารถนำตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ คนที่ติดตามเขาก็จะเห็นสิ่งเหล่านี้
บ่อยครั้งผู้ตามมิใช่โง่(ที่จะให้ผู้นำจูงจมูก)แต่เขาเบื่อที่จะตาม
เขาจะยอมตามเมื่อเขาเห็นว่าผู้นำคนนั้นมีความพร้อมที่จะนำเท่านั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่ผู้นำ สามารถนำตนเองได้อย่างดี และมีคุณสมบัติตามที่กล่าวข้างต้น จากนั้น ผู้นำคนนั้นจำเป็นต้องพัฒนาสิ่งต่อไปนี้
- มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน เพื่อคนตามจะรู้ว่าผู้นำจะนำพวกเขาไปที่ไหน ไปสู่จุดหมายปลายทางใด
- มีทักษะความสามารถในการสื่อสารวิสัยทัศน์ดังกล่าว เพื่อจะบอกอย่างชัดเจนถึงเส้นทางที่เขาจะนำไป
- มีความสามารถในการเสริมสร้างแรงบันดาลใจ เพื่อจะทำให้ผู้คนเห็นวิสัยทัศน์ที่มีชีวิต อย่างเป็นรูปธรรมที่เป็นจริง
- เป็นผู้นำที่ผู้ร่วมงานพร้อมจะติดตาม ทะลุ ฟันฝ่าผ่านอุปสรรค ทางอ้อม ทางเบี่ยง และทางตัน ด้วยความมุ่งมั่น มานะพากเพียร
ให้เราเริ่มต้นการนำด้วยการจัดการภายในส่วนตัวของเรา
“บ้านของเรา” ให้เรียบร้อยเสียก่อน
หลักคิดการเป็นผู้นำคือเราผู้นำหนึ่งคนจะนำผู้คนอีกหลายคน
การที่เราจะทำเช่นนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเราจำเป็นต้องมีทักษะในหลายเรื่องด้วยกัน แม้แต่การนำตนเองก็ตาม สิ่งที่ผู้นำองค์กรหรือกลุ่มต่างๆ ต้องเผชิญคือ
1.
การบริหารจัดการเวลา... ในประการนี้ครอบคลุมไปถึงความสามารถในการจัดการเวลาของเราเองด้วยความสัตย์ซื่อรับผิดชอบ ลำดับสิ่งมาก่อนหลัง และการนำสู่ความสำเร็จ
2. การจัดการความขัดแย้ง... เผชิญหน้าประเด็นความขัดแย้งด้วยความมั่นใจและมีจิตใจเมตตา ที่ให้ความมั่นใจว่าความขัดแย้งจะได้รับการจัดการและบรรลุในเวลาที่เหมาะสมด้วยท่าทีที่สร้างสรรค์
3. ด้วยความรับผิดชอบ... มุ่งมองผลที่จะเกิดขึ้น คาดหวังความสำเร็จ ต้องการความพากเพียรพยายาม
4. การจัดการความเครียด... ไม่ว่าสถานการณ์จะเลวร้ายอย่างไร ผู้นำจะไม่ปล่อยสถานการณ์นั้นทำให้ทีมงานสูญเสียความมั่นใจ หรือ เกิดการเสียขวัญและกำลังใจ
การมีทักษะ 5 ประการข้างต้นเป็นรากฐานของการจัดการตนเอง การนำตนเอง ด้วยเหตุนี้ การนำด้วยการเป็นตัวอย่าง ตามแบบอย่างการนำของพระคริสต์ที่นำด้วยการรับใช้ และมีชีวิตที่เป็นตัวอย่างดังนี้
- พระองค์มีชีวิตที่ไม่อยู่ภายใต้อำนาจความของบาป อย่างที่พระองค์ต้องการให้ผู้คนไม่อยู่ใต้ความบาป
- พระองค์ให้การสอนเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก ตามด้วยการพักผ่อน และมีเวลาอธิษฐาน
- พระองค์มอบหมายความรับผิดชอบให้สาวกของพระองค์ทำให้คริสตจักรเติบโตขึ้น เพื่อให้พระกิตติคุณขยายกว้างออกไป
- พระองค์จัดการความขัดแย้งด้วยการเผชิญหน้า เช่น ทรงบอกพวกฟาริสีอย่างตรงไปตรงมาว่าพระองค์คิดอย่างไร หรือที่พระองค์บอกพวกเขาว่าถ้าใครไม่เคยทำบาปให้คนนั้นเอาหินขว้างหญิงคนนี้ก่อน หรือที่ทรงบอกหญิงสะมาเรียคนนั้นว่าอย่าทำบาปอีก
- ในการจัดการความเครียด พระคริสต์ผู้นำที่ยิ่งใหญ่เผชิญหน้ากับกางเขนโดยที่ไม่ได้โยนกลองความผิดไปให้คนอื่น ไม่มีการแก้ตัว แต่พระองค์เผชิญหน้าวิกฤติชีวิตด้วยความถ่อมและความควากล้าหาญที่หาเปรียบมิได้ เพื่อให้สำเร็จตามสิ่งที่พระเจ้าต้องการเห็น คือให้มวลมนุษย์รอดพ้นจากอำนาจแห่งความบาป
เราอาจจะไม่สามารถเป็นผู้นำสมบูรณ์แบบอย่างพระเยซูคริสต์
แต่เราพยายามที่จะเป็นเหมือนพระคริสต์ในชีวิตจิตวิญญาณของเรา เพื่อเราจะเติบโตขึ้น
เราต้องเพียรพยายามในการพัฒนาทักษะการเป็นผู้นำแบบพระคริสต์อย่างต่อเนื่อง
ผมเชื่อว่าก้าวแรกในกระบวนการนี้คือการที่เราเรียนรู้ที่จะนำตนเองอย่างดีก่อน แล้วท่านคิดอย่างไรครับ? และท่านคิดว่าควรจะมีทักษะที่สำคัญอะไรอีกในการเป็นผู้นำในงานรับผิดชอบของท่าน?
สุขศานติกับการทำงาน และ
การใช้ชีวิตในวันนี้
เพื่อเป็นการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าครับ
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น