อ่านสดุดี 32:1-11
“เราจะสอนและชี้แนะทางที่เจ้าควรเดินไป
เราจะให้คำปรึกษา และ เฝ้าดูเจ้า”
(สดุดี 32:8
อมตธรรม)
เสียงหนึ่งในใจของผมบอกกับตนเองว่า “นี่
ชื่อบทใคร่ครวญไปเลียนแบบชื่อหนังในอดีตเขามานะ”
ผมก็ยอมรับอยู่ แต่ชื่อหนังเรื่องนั้นชื่อว่า “ข้าฯมาคนเดียว” ซึ่งแตกต่างตรงกันข้ามกับชื่อบทใคร่ครวญนี้
ท่านคงเคยเห็นภาพวาดที่คริสเตียนได้นำมาติดฝาห้อง ทั้งที่ทำงาน
ในห้องพัก หรือห้องรับแขก เป็นภาพที่ผมชอบมากครับ
ชายหนุ่มคนหนึ่งมือถือพวงมาลัยของนาวาแห่งชีวิตของเขา ข้างขวามือของเขามีพระเยซูคริสต์ยืนเคียงข้าง
มือซ้ายของพระองค์แตะบนไหล่ด้านซ้ายของชายหนุ่ม มือขวาของพระองค์ชี้ไปข้างหน้า ดวงตาของชายหนุ่มจ้องเขม็งไปตามนิ้วชี้ของพระเยซูคริสต์ ผมได้ยินเสียงจากภาพนั้นว่า “เราจะไปทางนั้น และนั่นคือเป้าหมายปลายทางที่เราจะไปด้วยกัน”
แม้ข้างหน้าจะมีลมพายุ และ คลื่นที่ถาโถมเข้ามา
แต่เรามิได้แล่นนาวาชีวิตของเราไปเพียงแต่ผู้เดียว พระคริสต์อยู่ในนาวาชีวิตของเราด้วย พระองค์มิได้กำลังหลับ แต่พระองค์กำลัง “สอน” และ “ชี้แนะ”
ทางที่เราควรจะไป!
และตลอดเส้นทางชีวิตพระองค์พร้อมให้คำปรึกษาแก่เรา
ในขวบปีที่ผ่านมา
บ่อยครั้งที่นาวาชีวิตของเราต้องฝ่าคลื่นแรงกล้า เรือเกือบล่ม!
มิใช่เพราะนาวาชีวิตของเราไม่มีพระคริสต์ แต่เรามองข้ามและละเลยพระคริสต์ในชีวิตเรา เราให้พระคริสต์ในชีวิตของเรา “นอนหลับ” เราไม่ได้สนใจพระองค์ บางครั้งเราเอาพระองค์ไปซุกไว้ที่ไหนไม่รู้จนลืมว่าเรามีพระคริสต์ในชีวิตของเรา แล้วเราพยายามสู้คลื่นที่รุนแรง นาวาชีวิตเสี่ยงต่อการล่ม เราพยายามช่วยตนเอง พึ่งตนเองในส่วนที่เกินความสามารถในชีวิตของเรา คำตอบที่ได้รับผมไม่อยากจะพูดถึง เพราะเป็นตอกย้ำซ้ำเติมความเจ็บปวดในปีที่ผ่านมา
การที่เราเอาพระคริสต์ไปซุกไว้ในมุมไหนไม่รู้นั้นมิใช่เป็นการบังเอิญ แต่เป็นความตั้งใจของเรา!
หลายครั้งที่เราเอาพระองค์ไปซุกไว้ในมุมอับของชีวิต
เพราะเรารู้และอยากจะทำในสิ่งที่พระองค์ไม่ประสงค์ให้เราทำ “แต่พระองค์เจ้าข้าฯ จำเป็นจริงๆ ที่ข้าพระองค์ต้องทำเช่นนั้น เพราะข้าพระองค์เห็นว่านี่เป็นทางเดียวที่ดีที่สุดสำหรับข้าพระองค์ หรือที่ข้าพระองค์จะทำได้ครับ พระเจ้าข้าฯ?”
ใช่! เป็นทางที่เราต้องการ แต่มิใช่ทางที่พระองค์ประสงค์ ถ้าปล่อยให้พระองค์ชี้นำ และ ทำตามคำปรึกษาของพระองค์ เราก็ไม่รู้ว่าพระองค์จะนำเรื่องของเราให้จบลงอย่างไร “ขอโทษเถิดพระเยซูคริสต์ ข้าพระองค์ขอทำตามสิ่งที่ข้าพระองค์รู้ว่าจะเกิดผลอย่างไรที่ชัดเจนเถิด” ดังนั้น “ข้าพระองค์จึงมิได้ขอคำชี้นำ และ
คำปรึกษาจากพระองค์”
แต่ผมก็เคยได้ยินเพื่อนสนิทคนหนึ่งกล่าวว่า ถ้าพระองค์ประสงค์เรื่องนั้นให้เป็นอย่างไร ทำไมพระองค์ไม่ลงมือจัดการเรื่องนั้นเสียเองล่ะ
แล้วทุกอย่างก็จะได้สำเร็จให้รู้แล้วรู้รอดไป “พระองค์จะมัวแต่ ‘ชี้นำ’
‘สอน’ และ ‘ให้คำปรึกษา’ อยู่ให้เสียเวลาทำไม?”
ผู้เขียนสดุดีบทนี้ได้เขียนในข้อที่ 9 ว่า
“อย่าเป็นเหมือนม้าหรือล่อ ที่ปราศจากความเข้าใจ
ซึ่งต้องใช้สายรั้งบังเหียนบังคับควบคุม มิฉะนั้นจะไม่ยอมมาด้วย”
คำตอบนี้แสบๆ คันๆ ครับ อย่าเป็นคนที่ผู้อื่นเอาเชือกร้อยจมูกแล้วจูงไป!
จินตภาพของผู้เขียนพระธรรมสดุดีในข้อนี้คือ
“ม้าหรือล่อ” ที่แสนดื้อ! ต้องใช้สายบังเหียนบังคับควบคุมเพื่อจะรั้งจะดึงให้มันยอมเดินตามเจ้าของของมัน พระเจ้าไม่มีพระประสงค์เพียงให้เราเดินไปบนเส้นทางที่พระองค์ทรงกำหนดและไปถึงเป้าหมายปลายทางตามพระประสงค์เท่านั้น สำหรับพระเจ้าแล้ว การที่สามารถฝ่าคลื่นแรงกล้าในชีวิตได้และไปถึงเป้าหมายปลายทางเท่านั้นยังไม่เพียงพอ
แต่พระองค์ประสงค์ที่จะใช้สถานการณ์ที่ทุกข์ยากลำบากที่ต้องเกิดขึ้นในชีวิตของเราแต่ละคน เพื่อ “ชี้นำ” “สอน”
และ “ให้การปรึกษา” แก่เราเพื่อที่จะเสริมสร้าง “ความเข้าใจ”
ในการดำเนินชีวิต
ที่เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์
และที่สำคัญคือเข้าใจถึงพระประสงค์อันดีเลิศสำหรับชีวิตของเราแต่ละคน และประสบการณ์ชีวิตที่ได้รับจึงเป็นการหยั่งรากความเชื่อศรัทธาให้ลุ่มลึกลงไปอีก
จากประสบการณ์ชีวิตในขวบปีที่ผ่านมา ผู้เขียนสดุดีบทนี้ย้ำเตือนเราผู้อ่านให้ระลึกได้ว่า สิ่งที่เราพึงเริ่มต้นในวันนี้เวลานี้คือ การที่เราต้อง “สารภาพบาป” ต่อพระองค์
และนี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตใหม่ เพราะพระองค์ทรงให้อภัย
(ข้อ 5)
การสารภาพความบาปผิดต่อพระเจ้า
คือที่มาของความสุข
เพราะความสุขเป็นของคนที่ได้รับการอภัยจากพระเจ้า ความบาปผิดที่เคยทำมาได้รับการขจัดออกไป (ข้อ
1)
ความสุขเป็นของผู้ที่พระเจ้าไม่ทรงถือโทษบาปของเขา (ข้อ 2)
ผู้เขียนสดุดีบทนี้ได้กล่าวจากประสบการณ์ชีวิตของตนว่า ถ้าเราไม่ยอมสารภาพ ผู้เขียนใช้ประโยคว่า
“เมื่อข้าพระองค์นิ่งเงียบอยู่” (ข้อ 3) ชีวิตของเราจะต้องตกในวังวนแห่งความเจ็บปวด
ทุกข์ทนในชีวิตและจิตใจ
โดยผู้เขียนสดุดีใช้ภาษาภาพลักษณ์ว่า
“กระดูกของข้าพระองค์ก็สึกกร่อนไป”
“พละกำลังของข้าพระองค์ก็เหือดแห้งไป” (ข้อ 4)
ผู้เขียนสดุดีบทนี้จึงสรุปว่า “ฉะนั้นผู้ที่ซื่อสัตย์ทุกคนจงอธิษฐานต่อพระเจ้า ในขณะที่ยังมีโอกาสพบพระองค์ได้” (ข้อ 6)
ในขณะที่สถานการณ์ชีวิตยังดูราบเรียบ คลื่นลมชีวิตดูสงบ
นั่นหมายความว่าไม่จำเป็นต้องรอจนชีวิตจนตรอกหาทางออกไม่ได้แล้วค่อยอธิษฐานทูลขอต่อพระองค์
ที่เราเชื่อมั่นไว้วางใจพระเจ้าองค์นี้จนทูลอธิษฐานต่อพระองค์เพราะพระองค์...(ข้อ
7-8)
ทรงเป็นที่หลบภัยของเราแต่ละคน
ทรงคุ้มครองเมื่อชีวิตของเราตกในท่ามกลางความทุกข์ยากลำบาก
ทรงโอบล้อมชีวิตเราด้วยพระราชกิจแห่งการช่วยกู้
ทรง
“สอน” ถึงสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์
ทรง
“ชี้แนะ” เส้นทางชีวิตที่เราควรจะมุ่งไป
ทรง
“ให้คำปรึกษา” ในทุกสถานการณ์ชีวิต และ
ทรง
“เฝ้าดู” เราตลอดเวลา
ปีใหม่นี้...ท่านและผมไม่ได้มาคนเดียวครับ! เรามาพร้อมกับองค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงมีพระราชกิจ
7 ประการที่ทรงกระทำในชีวิตประจำวันตลอดปีที่เราจะก้าวไป
ผู้เขียนพระธรรมสดุดี บทที่ 32 ได้ให้ความมั่นใจแก่เราว่า
การก้าวไปข้างหน้าด้วยการทรงเคียงข้างของพระคริสต์นั้น เราก็ยังต้องประสบกับภัยพิบัติ และ
อำนาจชั่วร้ายมากมายอย่างที่คนบาปทั้งหลายต้องเผชิญ แต่สำหรับเราที่ยอมให้พระคริสต์ทรงนำในนาวาชีวิตของเรา เราจะมีอีกสิ่งหนึ่งที่คนชั่วร้ายไม่มีคือ
“ความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
ที่ทรงโอบล้อมบรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ท่ามกลางสถานการณ์ที่สุขสำราญ หรือ
ทุกข์ยากแสนสาหัสแค่ไหนก็ตาม (ข้อ 10)
และนี่คือสาเหตุที่เราสามารถยกย่องสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา และ
ในทุกสถานการณ์
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น