14 มกราคม 2556

ใครขโมยความพึงพอใจของฉันไป?


อ่านฟีลิปปี 4:11-13

“...เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมีไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร
ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร  และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร
ข้าพเจ้ารู้เคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีในทุกสถานการณ์  ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย  มั่งมีหรือขัดสน
ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้(เผชิญทุกสิ่งได้)  โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า” (อมตธรรม)

พระเจ้าทรงประทานหลายๆ อย่างแก่เรา  เพื่อเราจะมีความชื่นชมสุขสันติในชีวิต   แต่บ่อยครั้งนักที่ชีวิตของเรากลับถูกท่วมทับด้วยความยุ่งยากและยุ่งเหยิง   ทั้งสภาพแวดล้อมของชีวิตและภายในชีวิตของเราเอง   สิ่งที่ดูดกลืนความพึงพอใจไปจากชีวิตของเรามีดังนี้...

1. มีงานมากมาย-ยุ่งวุ่นวาย-ไม่ว่าง

เรามีชีวิตอยู่ในสังคมที่รีบเร่ง  วิ่งจากงานหนึ่งไปสู่อีกกิจกรรมหนึ่ง   อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพระเยซูคริสต์ไม่ยอมที่จะรีบเร่งตามกระแสสังคมในตอนนั้น   แต่ก็ปรากฏว่าพระองค์ทรงบรรลุพระราชกิจที่พระบิดามอบหมายให้กระทำ  เราไม่พบว่าจะมีสักครั้งที่พระองค์ทรงผลักดันให้สาวกขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น   ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังยกย่องการกระทำของมารีย์ที่หยุดจากกิจการงานเพื่อมีเวลาที่จะอยู่ใกล้และเรียนรู้จากพระองค์ (ลูกา 10:39, 42)

2. มุมมองตามอิทธิพลของกระแสโลก

บ่อยครั้งนักที่มุมมองในชีวิตของเราโน้มตามสภาพแวดล้อม   ความคิดของเรายังวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้  จับเจ่าจดจ่อว่าวันนี้จะทำอะไร  จะจัดการอย่างไร   แล้วจะต้องทำอะไรอีกในอาทิตย์หน้า  เดือนหน้า  ปีหน้า   จึงไม่น่าแปลกใจว่าความชื่นชมยินดีในชีวิตมันหลบลี้หนีไปไหนไม่รู้   แทนที่เราจะมีมุมมองและมุ่งมองชีวิตที่เบื้องบน   คือตระหนักรู้ชัดว่าพระเจ้าทรงกำลังกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา   และเป้าหมายชีวิตคือการที่อยู่และทำทุกอย่างที่นำไปสู่การยกย่องสรรเสริญ  และ  ตอบสนองพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา

3. สร้างกระแสกดดันตนเอง

เราทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์ที่ไม่สามารถปฏิเสธต่อภารกิจที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง เช่น ถ้าเป็นนักเรียนก็ต้องทำการบ้าน หรือ กิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย   หรือเมื่อออกมาทำงานก็ต้องรับผิดชอบต่อภาระงานที่ตนเองรับจ้างรับทำ  และในทุกการงานต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง   แต่เรามักสร้างแรงกดดันที่ไม่จำเป็นในการกระทำสิ่งเหล่านี้ว่า “จะต้องทำอย่างนี้” หรือ “ควรจะทำอย่างนั้น”  และแรงกดดันเช่นนี้ที่ครอบงำความคิดและการตัดสินใจของเรา   แนวทางการแก้ไขคือ  ให้เราหันชีวิตของเราเข้าไปหาพระเจ้า   น้อมรับการทรงชี้นำจากพระองค์ในชีวิตประจำวัน   และทูลขอให้เราคิด ตัดสินใจ และดำเนินการที่สอดคล้องกับแผนการของพระองค์   และที่สำคัญคือ เรากระทำทุกสิ่งได้ตามพระประสงค์ เพราะพระองค์ประทานกำลังแก่เรา

4. มุมมองชีวิตที่ติดลบและทำลาย

มุมมองที่ว่าทุกอย่างในชีวิตจะต้องดีพร้อมสมบูรณ์  มุมมองที่ไม่มีใจ เฉยเมย เฉื่อยชา และ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่อนเซาะทำลายความชื่นชมยินดีในชีวิตของเรา

เราจะพบความพึงพอใจในชีวิตของเราเมื่อชีวิตสะท้อนชัดว่าเรามีพระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นต้นเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา   และใช้เวลาชีวิตของเรากับพระองค์เป็นประการแรก   การอ่าน ศึกษา และใคร่ครวญถึงพระวจนะของพระเจ้าจะทำให้เราตระหนักชัดในความรักเมตตาของพระองค์   เราจะเรียนรู้ถึงมุมมองแบบพระเจ้า  พระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา  และน้ำพระทัยของพระองค์   จากนั้นเมื่อเราทุ่มเทชีวิตตามพระประสงค์  ตามแผนการ  และด้วยความรักเมตตาแบบพระองค์เราจะได้สัมผัสกับความชื่นชมยินดีในชีวิต   และนี่คือน้ำพุแห่งความพึงพอใจที่เกิดขึ้นจากภายในชีวิตของเรา

เมื่อใดก็ตามเมื่อความชื่นชมยินและความพึงพอใจในชีวิตลื่นไหลหายไปจากชีวิตของเรา   เวลานั้นเราต้องตรวจสอบว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด  อะไรที่กำลังมายึดตำแหน่งความเป็นเอก เป็นต้น ที่ครอบงำชีวิตของเราทันที

ถ้าความพึงพอใจเกิดจากการที่เรามีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเอกเป็นต้นเป็นผู้ชี้นำชีวิตของเราจึงทำให้เราเกิดความชื่นชมยินดีในชีวิต   ดังนั้น  ความพึงพอใจและชื่นชมยินดีในชีวิตจึงไม่จำเป็นเกิดขึ้นเมื่อชีวิตของเราอยู่ในสถานการณ์ที่สุขสบาย  เมื่อชีวิตประสบความสำเร็จเท่านั้น   แต่ความพึงพอใจและความชื่นชมยินดีสามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่ทุกข์ทน  ยากลำบาก  หรือแม้แต่ท่ามกลางชีวิตที่ต้องทนทุกข์ได้ด้วย

“ยิ่งกว่านั้น เราก็ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากด้วย  
 เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความทรหดอดทน” (โรม 5:3 ฉบับมาตรฐาน)
“...จงชื่นชมยินดีเสมอที่ได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์...” (1เปโตร 4:13 ฉบับมาตรฐาน)

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น