อ่านฟีลิปปี 4:11-13
“...เพราะข้าพเจ้าเรียนรู้ที่จะพอใจในสิ่งที่ตนมีไม่ว่าสภาพการณ์จะเป็นเช่นไร
ข้าพเจ้ารู้ว่ายามขาดแคลนเป็นอย่างไร และรู้ว่ายามมีเหลือเฟือเป็นอย่างไร
ข้าพเจ้ารู้เคล็ดลับที่จะพอใจกับสิ่งที่ตนมีในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอิ่มหนำหรือหิวโหย มั่งมีหรือขัดสน
ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้(เผชิญทุกสิ่งได้) โดยพระองค์ผู้ประทานกำลังแก่ข้าพเจ้า”
(อมตธรรม)
พระเจ้าทรงประทานหลายๆ อย่างแก่เรา เพื่อเราจะมีความชื่นชมสุขสันติในชีวิต
แต่บ่อยครั้งนักที่ชีวิตของเรากลับถูกท่วมทับด้วยความยุ่งยากและยุ่งเหยิง ทั้งสภาพแวดล้อมของชีวิตและภายในชีวิตของเราเอง
สิ่งที่ดูดกลืนความพึงพอใจไปจากชีวิตของเรามีดังนี้...
1. มีงานมากมาย-ยุ่งวุ่นวาย-ไม่ว่าง
เรามีชีวิตอยู่ในสังคมที่รีบเร่ง วิ่งจากงานหนึ่งไปสู่อีกกิจกรรมหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ชีวิตของพระเยซูคริสต์ไม่ยอมที่จะรีบเร่งตามกระแสสังคมในตอนนั้น
แต่ก็ปรากฏว่าพระองค์ทรงบรรลุพระราชกิจที่พระบิดามอบหมายให้กระทำ
เราไม่พบว่าจะมีสักครั้งที่พระองค์ทรงผลักดันให้สาวกขับเคลื่อนให้เร็วขึ้น ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังยกย่องการกระทำของมารีย์ที่หยุดจากกิจการงานเพื่อมีเวลาที่จะอยู่ใกล้และเรียนรู้จากพระองค์
(ลูกา 10:39, 42)
2. มุมมองตามอิทธิพลของกระแสโลก
บ่อยครั้งนักที่มุมมองในชีวิตของเราโน้มตามสภาพแวดล้อม
ความคิดของเรายังวนเวียนอยู่กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ จับเจ่าจดจ่อว่าวันนี้จะทำอะไร จะจัดการอย่างไร แล้วจะต้องทำอะไรอีกในอาทิตย์หน้า เดือนหน้า
ปีหน้า จึงไม่น่าแปลกใจว่าความชื่นชมยินดีในชีวิตมันหลบลี้หนีไปไหนไม่รู้ แทนที่เราจะมีมุมมองและมุ่งมองชีวิตที่เบื้องบน
คือตระหนักรู้ชัดว่าพระเจ้าทรงกำลังกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา และเป้าหมายชีวิตคือการที่อยู่และทำทุกอย่างที่นำไปสู่การยกย่องสรรเสริญ และ
ตอบสนองพระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา
3. สร้างกระแสกดดันตนเอง
เราทุกคนต่างเคยมีประสบการณ์ที่ไม่สามารถปฏิเสธต่อภารกิจที่ตนเข้าไปเกี่ยวข้อง
เช่น ถ้าเป็นนักเรียนก็ต้องทำการบ้าน หรือ กิจกรรมที่ได้รับมอบหมาย หรือเมื่อออกมาทำงานก็ต้องรับผิดชอบต่อภาระงานที่ตนเองรับจ้างรับทำ
และในทุกการงานต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง
แต่เรามักสร้างแรงกดดันที่ไม่จำเป็นในการกระทำสิ่งเหล่านี้ว่า
“จะต้องทำอย่างนี้” หรือ “ควรจะทำอย่างนั้น”
และแรงกดดันเช่นนี้ที่ครอบงำความคิดและการตัดสินใจของเรา แนวทางการแก้ไขคือ ให้เราหันชีวิตของเราเข้าไปหาพระเจ้า น้อมรับการทรงชี้นำจากพระองค์ในชีวิตประจำวัน และทูลขอให้เราคิด ตัดสินใจ
และดำเนินการที่สอดคล้องกับแผนการของพระองค์ และที่สำคัญคือ
เรากระทำทุกสิ่งได้ตามพระประสงค์ เพราะพระองค์ประทานกำลังแก่เรา
4. มุมมองชีวิตที่ติดลบและทำลาย
มุมมองที่ว่าทุกอย่างในชีวิตจะต้องดีพร้อมสมบูรณ์ มุมมองที่ไม่มีใจ เฉยเมย เฉื่อยชา และ ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่อนเซาะทำลายความชื่นชมยินดีในชีวิตของเรา
เราจะพบความพึงพอใจในชีวิตของเราเมื่อชีวิตสะท้อนชัดว่าเรามีพระเจ้าทรงเป็นเอกเป็นต้นเป็นที่หนึ่งในชีวิตของเรา
และใช้เวลาชีวิตของเรากับพระองค์เป็นประการแรก การอ่าน ศึกษา
และใคร่ครวญถึงพระวจนะของพระเจ้าจะทำให้เราตระหนักชัดในความรักเมตตาของพระองค์ เราจะเรียนรู้ถึงมุมมองแบบพระเจ้า พระประสงค์ของพระองค์ในชีวิตของเรา และน้ำพระทัยของพระองค์ จากนั้นเมื่อเราทุ่มเทชีวิตตามพระประสงค์ ตามแผนการ
และด้วยความรักเมตตาแบบพระองค์เราจะได้สัมผัสกับความชื่นชมยินดีในชีวิต และนี่คือน้ำพุแห่งความพึงพอใจที่เกิดขึ้นจากภายในชีวิตของเรา
เมื่อใดก็ตามเมื่อความชื่นชมยินและความพึงพอใจในชีวิตลื่นไหลหายไปจากชีวิตของเรา
เวลานั้นเราต้องตรวจสอบว่าอะไรคือสิ่งที่สำคัญที่สุด อะไรที่กำลังมายึดตำแหน่งความเป็นเอก เป็นต้น
ที่ครอบงำชีวิตของเราทันที
ถ้าความพึงพอใจเกิดจากการที่เรามีองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นเอกเป็นต้นเป็นผู้ชี้นำชีวิตของเราจึงทำให้เราเกิดความชื่นชมยินดีในชีวิต ดังนั้น
ความพึงพอใจและชื่นชมยินดีในชีวิตจึงไม่จำเป็นเกิดขึ้นเมื่อชีวิตของเราอยู่ในสถานการณ์ที่สุขสบาย เมื่อชีวิตประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ความพึงพอใจและความชื่นชมยินดีสามารถเกิดขึ้นได้ในสถานการณ์ที่ทุกข์ทน ยากลำบาก
หรือแม้แต่ท่ามกลางชีวิตที่ต้องทนทุกข์ได้ด้วย
“ยิ่งกว่านั้น เราก็ชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากด้วย
เพราะเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้นทำให้เกิดความทรหดอดทน”
(โรม 5:3 ฉบับมาตรฐาน)
“...จงชื่นชมยินดีเสมอที่ได้มีส่วนร่วมในความทุกข์ยากของพระคริสต์...”
(1เปโตร 4:13 ฉบับมาตรฐาน)
ประสิทธิ์
แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย
เชียงใหม่
E-mail:
prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น