21 มกราคม 2556

เมื่อพระคริสต์ชี้นำ...ท่านจะตอบสนองอย่างไร?


อ่านลูกาบทที่ 5:1-11
ต่อมาขณะที่พระองค์ทรงยืนอยู่บนฝั่งทะเลสาบเยนนาซาเรท   และฝูงชนกำลังเบียดเสียดพระองค์เพื่อฟังพระวจนะของพระเจ้านั้น   พระองค์ทอดพระเนตรเห็นเรือสองลำจอดอยู่ที่ริมฝั่งทะเลสาบ   แต่ชาวประมงขึ้นจากเรือแล้วและกำลังซักอวนอยู่
พระองค์จึงทรงเสด็จลงเรือลำหนึ่งซึ่งเป็นเรือของซีโมน   ทรงขอให้เขาถอยออกไปจากฝั่งหน่อยหนึ่ง   และพระองค์ประทับลงสอนฝูงชนจากเรือลำนั้น
เมื่อพระองค์ตรัสสอนเสร็จแล้ว  จึงตรัสกับซีโมนว่า   “จงถอยออกไปที่น้ำลึกแล้วหย่อนอวนลงจับปลา”   ซีโมนทูลตอบว่า  “อาจารย์   เราทอดอวนมาตลอดทั้งคืนแล้วไม่ได้อะไรเลย   แต่ข้าพเจ้าก็จะหย่อนอวนลงตามคำของท่าน”
เมื่อพวกเขาหย่อนอวนลงแล้วก็จับปลาได้จำนวนมาก   จนอวนของเขาเริ่มปริ   พวกเขาจึงทำสัญญาณบอกพวกเพื่อนๆ ที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย   พวกเขาก็มา  และได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำจนเรือเพียบ
เมื่อซีโมนได้เห็นอย่างนั้นแล้วก็ทรุดตัวลงที่เข่าของพระเยซูทูลว่า   “นายเจ้าข้า  ขอท่านไปให้ห่างจากข้าพเจ้าเถิด   เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป”   เนื่องจากเขากับคนทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันประหลาดใจเรื่องปลาที่จับได้นั้น   ยากอบและยอห์นบุตรเศเบดี  ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมอาชีพกับซีโมนก็ประหลาดใจเหมือนกัน   พระเยซูตรัสกับซีโมนว่า  “อย่ากลัวเลย   ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน”
เมื่อนำเรือมาถึงฝั่งแล้ว   พวกเขาก็ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างและตามพระองค์ไป  
(ฉบับมาตรฐาน)

กรอบคิดของสาวกสวนทางกับพระประสงค์และพระราชกิจที่พระเจ้า   พระเยซูคริสต์เข้ามาในชุมชนโลกเพื่อที่จะมาเสาะหาคนบาป และ เพื่อช่วยคนบาปให้รอด   ในขณะที่ประชาชนกลับมองว่าพระเยซูคริสต์ประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์   พวกเขามีกรอบคิดว่า พระเจ้าผู้บริสุทธิ์จะต้องอยู่ห่างจากคนบาปและความบาป    ซีโมนจึงขอให้พระองค์ออกห่างจากพวกเขา  เพราะเขารู้ว่าตนเป็นคนบาป “นายเจ้าข้า   ขอท่านไปให้ห่างจากข้าพเจ้าเถิด   เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นคนบาป” (ข้อ 8)  

เพราะเขาเห็นและประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เขาพบด้วยตนเองคือ   เมื่อคืนที่ผ่านมาพวกเขาทอดอวนในที่เดียวกันคืนยังรุ่งแต่ไม่ได้ปลาเลย   ซีโมนเจ้าของเรือทูลพระเยซูว่า  “อาจารย์   เราทอดอวนมาตลอดทั้งคืนแล้วไม่ได้อะไรเลย   แต่ข้าพเจ้าก็จะหย่อนอวนลงตามคำของท่าน”  (ข้อ 5)    แต่เมื่อพวกเขายอมลองทำตามคำสั่งของพระเยซู  พวกเขากลับได้ปลาจำนวนมากมายเกินคาด 

พระเยซูคริสต์เปลี่ยนกรอบคิดกรอบเชื่อของชาวประมงกลุ่มเล็กๆ นี้ด้วยประสบการณ์ตรงที่สาวกได้เห็นและสัมผัส   สร้างความประหลาดใจในสิ่งธรรมดาสามัญที่เขาพบในทุกเมื่อเชื่อวัน  ในที่นี้คืออาชีพจับปลาของพวกเขา   พระเยซูคริสต์ทรงกระทำในสิ่งที่อยู่นอกกรอบคิดในเรื่องการทำประมงของเขา   ทำให้พวกเขาเห็นว่า  สิ่งที่พระเยซูคริสต์สั่งให้กระทำนั้นเป็นสิ่งที่สวนทางความเข้าใจ หรือ หลักการที่เขายึดถือในชีวิตที่ได้จากประสบการณ์ที่พวกเขาได้พบประสบมาเป็นประจำจนเป็นข้อสรุป หลักการ หรือทฤษฎี 

การที่ใครก็ตามที่จะพบกับสิ่งใหม่ในพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงกระทำในชีวิตของตน   ผู้นั้นต้องพร้อมที่จะเป็นเหมือนชาวประมงกลุ่มนี้คือ  แม้พวกเขาจะมีหลักการที่น่าเชื่อถือและยึดปฏิบัติมาตลอดเวลา  อีกทั้งมีความชำนาญแล้ว   แต่เมื่อพระเยซูทรงเสนอแนวทางใหม่ที่แม้ดูแตกต่าง ขัดแย้ง หรือดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ตามหลักการเดิมที่เขาเชื่อถือ  พวกเขา “รู้ว่าแตกต่าง  แต่พร้อมที่จะลองลงมือทำตามที่พระองค์ทรงเสนอให้ทำ”  ประสบการณ์ที่ได้รับจากการทดลองลงมือทำคือประตูที่เปิดออกสู่ความคิดใหม่  ความเข้าใจใหม่   และในที่สุดตกผลึกกลาย เป็นหลักการใหม่ในชีวิตของตน   และนี่คือกระบวนการของการเปลี่ยนกรอบคิดกรอบเชื่อที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้

ในเหตุการณ์ครั้งนี้   กรอบคิดกรอบเชื่อของชาวประมงกลุ่มนี้เกิดการปรับเปลี่ยนใหม่เพราะ   พระคริสต์ทรงท้าทายความคิดความเชื่อและประสบการณ์ในการดำเนินอาชีพและชีวิตประจำวันของพวกเขา   และพระองค์พร้อมที่จะกระทำพระราชกิจของพระองค์ในสถานการณ์ที่พระองค์ทรงท้าทายนั้น   ประเด็นสำคัญคือ ชาวประมงกลุ่มนี้จะตอบสนองต่อการท้าทายของพระเยซูคริสต์อย่างไร   เพราะตามหลักคิดหลักเชื่อของพวกเขาการที่ทำตามคำชี้นำของพระเยซูคริสต์เป็นสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้   เพราะเขาเพิ่งประสบมาหมาดๆ ตลอดคืนที่ผ่านมาว่า  จับปลาตรงบริเวณที่พระเยซูทรงชี้นำไม่ได้ปลาเลย   แต่สิ่งสำคัญคือ  ชาวประมงกลุ่มนี้เห็นคำท้าทายของพระเยซูคริสต์เป็นทางเลือกทางหนึ่งที่เขาน่าจะทดลองลงมือทำดู   และเขาก็กล้าที่จะทดลอง   แม้ประสบการณ์จะบอกว่าความล้มเหลวรออยู่ข้างหน้าก็ตาม

เมื่อชาวประมงกลุ่มนี้กล้าที่จะทดลองทำตามคำชี้นำของพระเยซูคริสต์   เขาก็ได้พบและสัมผัสถึงพระราชกิจที่แปลกประหลาดมหัศจรรย์ของพระองค์   แต่ก็แน่นอนครับ  ถ้าไม่กล้าที่จะทดลองทำ หรือ ไม่กล้าเสี่ยงเพราะคิดว่าอาจจะได้รับความล้มเหลวซ้ำซาก   เขาก็จะไม่ได้พบกับความจริงยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่น่าประหลาดใจ   มิเพียงเท่านั้นครับ  ความคิดความเชื่อก็ไม่เปลี่ยนแปลง   ไม่ได้สัมผัสสัจจะสิ่งใหม่ที่ตนควรจะได้รับ   และนี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคริสตชนจำนวนมาก   ที่ติดยึดกับกรอบคิดกรอบเชื่อและประสบการณ์เดิมๆ   จึงหลุดลอยจากพระพรอันอุดมของพระเจ้าที่เตรียมพร้อมที่จะประทานแก่ผู้ที่เชื่อแต่ละคนแต่ละชุมชนที่กล้าจะลงมือทำ 

เพราะแม้จะได้รับประสบการณ์ใหม่กับพระเยซูคริสต์เจ้า   แต่ยังนำเอากรอบเชื่อเดิมกรอบคิดเดิมก็ไม่สามารถพบกับการดำเนินชีวิตในวิถีใหม่ได้   เฉกเช่นชาวประโมงอย่างซีโมน   เมื่อมีประสบการณ์ที่ประหลาดใจในตัวของพระเยซูคริสต์แต่ยังใช้กรอบคิดกรอบเชื่อเดิมเป็นกรอบความเชื่อศรัทธาที่ถูกครอบงำด้วยความกลัว   ถึงแม้เขาจะสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของพระเยซูคริสต์แต่เขากลับต้องการให้พระเยซูอยู่ห่างออกไปจากพวกเขา   เพราะเขาสำนึกว่าตนเป็นคนบาป  และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

แต่พระประสงค์ของพระเยซูคริสต์คือ  พระองค์มาเพื่อที่จะแสวงหาคนบาปและช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากอำนาจแห่งความบาปหลากหลายรูปแบบ   พระคริสต์ต้องการเข้าหาคนบาป   แต่ซีโมนสำนึกว่าตนเป็นคนบาป   จึงขอให้พระเยซูอยู่ห่างจากพวกเขา   ทั้งนี้เพราะนี่คือกรอบคิดกรอบเชื่อเดิมของศาสนาต่างๆ คือ   การเชื่อศรัทธาสิ่งสูงสุดในชีวิตหรือองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วย “ความกลัว”

แต่พระคริสต์มาเพื่อแสวงหาคนบาป  และช่วยคนบาปด้วยความรักเมตตา   ดังนั้น  พระเยซูคริสต์จึงประสงค์ให้ผู้ที่เชื่อศรัทธาในพระเจ้าเกิดการ “พลิกเปลี่ยน” กรอบคิดกรอบเชื่อของตนใหม่  คือเชื่อศรัทธาและไว้วางใจด้วยการมีชีวิตที่ใกล้ชิดติดสนิทกับพระองค์ (มิใช่กลัวจนต้องให้พระองค์ออกห่างจากตน)

พระเยซูคริสต์มาแสวงหาคนบาป  เพื่อปลดปล่อยเขาให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปผิด มิเพียงเท่านั้น พระองค์ยังทรงเรียกคนเหล่านั้นให้เข้ามาร่วมในพระราชกิจที่พระองค์กำลังกระทำด้วย

พระเยซูคริสต์ตรัสกับซีโมนว่า  “อย่ากลัวเลย  ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน” (ข้อ 10)
เมื่อนำเรือมาถึงฝั่งแล้ว  พวกเขาก็สละทิ้งทุกอย่างและตามพระองค์ไป (ข้อ 11)

จากลูกา 5:1-11  กระบวนการการทรงเรียกของพระเยซูคริสต์ มีดังนี้

1. พระเยซูคริสต์ทรงสั่งสอน

2. พระองค์ทรงใช้ทรัพยากรที่พวกเขามีอยู่  เพื่อพวกเขาจะได้เริ่มมีส่วนในพระราชกิจของพระเจ้าทางทรัพย์สินและเวลาที่พวกเขามีอยู่   ในที่นี้ชาวประมงให้พระเยซูคริสต์ใช้เรือประมงของพวกเขา   แล้วถอยเรือออกไปในทะเลในจุดที่เหมาะสมที่พระองค์จะสอนประชาชน

3. พระองค์ทรงท้าทายให้พวกเขากระทำในสิ่งที่ดูจะสวนทางกับสิ่งที่พวกเขาคิดและพวกเขาเชื่อ

4. ชาวประมงหรือซีโมนจะต้องตัดสินใจที่จะลองลงมือทำตามที่พระองค์ท้าทายหรือไม่

5. ถ้ายอมลงมือทดลองทำ   ตนก็จะพบกับประสบการณ์ใหม่ที่น่าประหลาดใจ   และกระตุกสำนึกในชีวิตของตนเอง

6. พระเจ้าทรงเรียกชาวประมงกลุ่มนี้ให้มาร่วมในพระราชกิจของพระองค์

7. ชาวประมงกลุ่มนี้ตอบสนองการทรงเรียกของพระองค์  “เมื่อนำเรือมาถึงฝั่งแล้ว  พวกเขาก็สละทิ้งทุกอย่างและตามพระองค์ไป” (ข้อ 11)

แล้วพระคริสต์ทรงท้าทายอะไรในชีวิตของท่านในวันนี้และในปีนี้?
แล้วท่านจะตอบสนองการท้าทายของพระองค์อย่างไร?

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น