ในคำเทศนาสั่งสอนบนภูเขาของพระคริสต์ ได้สอนถึงเรื่องการอธิษฐานไว้ด้วย
สิ่งสำคัญที่ผมได้เรียนรู้และติดอยู่ในความคิดจิตใจผมตลอดเวลาคือ เมื่ออธิษฐานมิใช่ส่งเสียงดังในที่ชุมนุมชน
แต่ “เมื่อท่านอธิษฐาน จงเข้าไปในห้อง ปิดประตู
และอธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้ไม่ปรากฏแก่ตา...” (มัทธิว 6:6 อมธ.)
จากคำสอนของพระเยซูคริสต์ในเรื่องการอธิษฐานผมได้เรียนรู้
ดังนี้
1. การอธิษฐานที่เรียบง่าย จุดประสงค์ของการอธิษฐานตามแบบพระเยซูคริสต์
(มัทธิว 6:9-13)
สอนเราให้อธิษฐานแบบเรียบง่าย พระเยซูคริสต์วิจารณ์การอธิษฐานที่คนทำกันในเวลานั้นว่า เวลาอธิษฐานอย่าอธิษฐานซ้ำซาก ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะคิดว่าพูดมาก ๆ แล้วพระเจ้าจะพอใจและฟังคำอธิษฐานของเรา ทั้งนี้เพราะพระบิดาที่เราเชื่อศรัทธารู้ก่อนที่เราจะอธิษฐานต่อพระองค์เสียอีก
(มัทธิว 6:7-8) ความจริงที่เราสามารถเข้าใจง่าย ๆ คือ
การที่เราเข้าหาพระเจ้าก็เป็นการอธิษฐานในตัวอยู่แล้ว
2. การอธิษฐานด้วยจิตสำนึกที่ชัดเจน การอธิษฐานทูลขอการทรงยกโทษจากพระเจ้าเป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์กล่าวว่า ถ้าเราไม่ยกโทษแก่คนอื่น พระบิดาของเราในสวรรค์จะไม่ยกโทษแก่เราด้วย
(มัทธิว 6:14-15) และพระองค์สอนอีกว่า ก่อนที่เราจะถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ให้เรากลับไปคืนดีกับคนอื่นก่อน
(มัทธิว 4:23-24)
ถ้าเราต้องการได้รับการยกโทษจากพระเจ้า
เราจำเป็นต้องยกโทษคนอื่นที่กระทำผิดต่อเรา และในเวลาเดียวกันเราควรแสวงหาที่จะรับการยกโทษจากคนอื่นเมื่อเรากระทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจด้วย
ความจริงที่เข้าใจง่าย ๆ ในประเด็นนี้คือ เมื่อเราจะอธิษฐานต่อพระเจ้า เราต้องต้องตรวจสอบจิตสำนึกของเราว่า เราได้สร้างการคืนดี มีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกันแล้วหรือยัง ก่อนที่เราจะอธิษฐานเพื่อติดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า
3. อธิษฐานเสมอไม่ลดละ ในพระธรรมลูกา บทที่ 18 พระเยซูคริสต์อุปมาถึงการอธิษฐานด้วยความอดทน ว่ามีหญิงม่ายคนหนึ่งมาขอความเป็นธรรมจากผู้พิพากษาที่ไม่สนใจใยดีต่อชีวิตหญิงม่ายคนนั้น
แต่เพราะหญิงม่ายคนนี้มาร้องขอความเป็นธรรมอย่างไม่หยุดหย่อน จนในที่สุดผู้พิพากษาคนนี้ต้องให้ความเป็นธรรมกับนางในการตัดสินคดีเพราะทนรำคาญที่หญิงม่ายมาขอความเมตตาอย่างไม่หยุดหย่อน พระเยซูคริสต์ตรัสว่า “แล้วพระเจ้าจะไม่ประทานความยุติธรรมแก่คนที่พระองค์ทรงเลือกไว้
คือพวกที่ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ?...”(มัทธิว 18:7 มตฐ.)
ไม่ว่าสถานการณ์ชีวิตของเราจะเป็นเช่นไร
พระบิดาต้องการให้เราติดสนิทสัมพันธ์กับพระองค์อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ที่เราจะมีจิตใจที่จะเข้าใกล้ชิดพระองค์ทุกเวลา
4. อธิษฐานด้วยใจกล้าหาญ พระเจ้าต้องการให้เราอธิษฐานทูลขอเกินกว่าสิ่งที่เราจะทำได้ พระเยซูคริสต์สอนว่า “เราบอกพวกท่านว่า
จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน” (ลูกา 11:9 มตฐ.) การที่เรากล้าทูลขอต่อพระเจ้าในสิ่งที่เกินความสามารถของเรานั้น เพราะเราไว้วางใจในพระเมตตา และ ความสามารถกระทำทุกสิ่งได้ เพราะพระองค์ทรงกระทำในสิ่งที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ “สิ่งนี้เป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์
แต่ทุกสิ่งเป็นไปได้สำหรับพระเจ้า”(มัทธิว 19:26
มตฐ.)
5. อธิษฐานด้วยความเชื่อ เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงรักษาเด็กที่ถูกวิญญาณชั่วเข้าสิงซึ่งพวกสาวกไม่สามารถที่จะขับมันออกจากเด็กได้ สาวกถามว่า ทำไมพวกตนขับผีนี้ไม่ออก พระเยซูบอกพวกสาวกว่า
เพราะพวกเขามีความเชื่อน้อย แล้วพระองค์บอกพวกเขาต่อไปว่า ถ้าพวกเขามีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด พวกเขาก็จะสามารถสั่งภูเขานี้ว่า “จงเคลื่อนจากที่นี่ไปที่นั่น” (มัทธิว 17:14-21)
ความศรัทธาคือการที่เรามีความเชื่อและไว้วางใจในพระเจ้า ผู้ทรงสร้างและค้ำจุนสรรพสิ่งทั้งหลาย เพียงแต่เราต้องมีความเชื่อและไว้วางใจพระองค์ว่า
พระเจ้าทรงกระทำทุกสิ่งได้แม้จะเป็นเรื่องที่เราเห็นว่าเป็นไปไม่ได้ เราทำไม่ได้ก็ตาม
ผมไม่จำเป็นยืนขึ้นที่มุมถนนและอธิษฐานออกเสียงดัง
ผมอธิษฐานในจิตใจในทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยให้ผมมองเห็นในชีวิตประจำวัน และผมได้เห็นคนเจ็บป่วยได้รับการรักษา คู่ชีวิตสามารถประคับประคองไปด้วยกันได้ ผู้คนมีจิตใจที่เชื่อวางใจในพระเจ้า พระเยซูคริสต์อธิษฐานเช่นไร ผมขอทำตาม อธิษฐานอย่างพระองค์ด้วย
ผมเรียนรู้อีกว่า การอธิษฐานมิใช่การประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
การอธิษฐานมิใช่การกระทำให้พระเจ้าพึงพอใจในตัวผม แต่การอธิษฐานคือการที่ผมมีโอกาสติดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้ามากยิ่ง
ๆ ขึ้นทุกวัน
การอธิษฐานคือการที่ผมไว้วางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจสุดจิตของผม การอธิษฐานคือสัญญาณชีพที่บ่งบอกว่าวันนี้ผมยังมีชีวิตอยู่
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น