16 พฤษภาคม 2553

ความชื่นชมยินดีสองประการ

ท่านผู้เป็นบุตรที่รักขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จิตใจที่กระหายหาการกระทำตามพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น
ไม่มีสิ่งใดที่จะต่อต้านให้หยุดชะงักได้ และ
แน่ชัดอีกว่าไม่มีอุปสรรคใดที่จะมาขวางกั้นไว้ได้

ผู้ที่ทอดทิ้งพระประสงค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
เป็นผู้ที่ขวางกั้นพระประสงค์ของพระองค์ยิ่งกว่าผู้ที่ไม่เชื่อศรัทธาในพระองค์
พฤติกรรมใดล่ะที่เป็นความผิดมหันต์ต่อความรัก ที่ยิ่งกว่าการทอดทิ้งผู้ที่เขาเคยรัก?
ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทำงานในจิตใจและชีวิตของผู้ใด
ผู้นั้นควรต้อนรับพระประสงค์ของพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี

การทอดทิ้งประการเดียวที่องค์พระผู้เป็นเจ้ายอมรับคือ
การที่ท่าน...ปฏิเสธตนเอง
เป็นการละทิ้งความเป็น “ตัวกู” ตามที่พระองค์บัญชา
เป็นการยอมลงจากบัลลังก์ชีวิตของท่านเอง และ
อัญเชิญพระองค์ขึ้นครอบครองแทน และ
สาวกคนนั้นจะกระทำตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วยความเต็มใจ
ด้วยการยินดีต้อนรับพระประสงค์ของพระองค์อย่างปลาบปลื้มใจ

ในบรรดาสาวกที่แท้จริงขององค์พระผู้เป็นเจ้า
สาวกแต่ละคนจะมีพัฒนาการด้านจิตวิญญาณ
ในขั้นแรกจะมีความชื่นชมยินดีและอัศจรรย์ใจเมื่อแรกพบองค์พระผู้เป็นเจ้า
จากนั้นก็จะเป็นช่วงเวลาของการเรียนรู้บทเรียนชีวิตการเป็นสาวก และ
บ่มเพาะวินัยชีวิตด้วยความราบเรียบและต่อเนื่องยาวนาน
เมื่อท่านหวนระลึกถึงอดีตที่ผ่านมา...
ท่านจะบังเกิดความชื่นชมยินดีอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต

ด้วยประสบการณ์ที่ท่านมีในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสม่ำเสมอ
ด้วยความอดทนอย่างต่อเนื่องของท่านในงานขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน
ทำให้เกิดการสั่งสมประสบการณ์ในตัวท่าน
ที่พระองค์ทรงเสริมสร้างสนับสนุนท่าน
ด้วยการทรงนำของพระองค์
ด้วยโอกาสและสถานการณ์นับครั้งไม่ถ้วน
ที่ท่านต้องอัศจรรย์ใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

เมื่อท่านมองย้อนหลัง...
ท่านจะพบความรักของพระองค์ที่มีต่อท่าน
ตามที่เคยบอกท่านไว้ล่วงหน้าแล้วนั้น
ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้ เป็นประสบการณ์ชีวิต
เป็นบทเรียนชีวิตที่ค่อยๆ เพิ่มและพูนขึ้น
ก่อเกิดความรู้สึกและการอัศจรรย์ใจที่มากขึ้น
อย่างต่อเนื่อง และเสมอมา
ตลอดกาลเวลาที่ผ่านมาด้วยความชื่นชมยินดี

ความชื่นชมยินดีนั้นมีสองประการ
ประการแรก ความชื่นชมยินดีที่ก่อเกิดขึ้นมาจากความรักและความอัศจรรย์ใจ และ
ประการต่อมา ความชื่นชมยินดีที่ก่อเกิดจากความรักและความรู้ และ
ระหว่างประสบการณ์ของความชื่นชมยินดีทั้งสองประการนี้ปูด้วยฐานแห่งวินัยชีวิต
ความสิ้นหวังจึงถูกขจัดออกไป

แต่การที่ท่านจะไปถึงซึ่งความชื่นชมยินดีดังกล่าว...
ท่านต้องฝ่าฟันในชีวิตด้วยกำลังขององค์พระผู้เป็นเจ้า หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่ง
ท่านต้องพึ่งพาพระองค์ในการฝ่าฟันดังกล่าว
เพราะในตัวท่านเองมีแต่ความมืดบอด และไร้ความช่วยเหลือใดๆ
ท่านต้องให้องค์พระผู้เป็นเจ้าต่อสู้กับสิ่งเหล่านั้น

ส่วนตัวท่าน...
จงยอมเชื่อฟังพระประสงค์ของพระองค์
ยอมรับวินัยชีวิตจากองค์พระผู้เป็นเจ้า
แล้วความชื่นชมยินดีประการที่สองก็จะตามมา


ความชื่นชมยินดีประการที่สองนี้ก็คือความชื่นชมยินดีที่องค์พระผู้เป็นเจ้าเคยกล่าวว่า
“ความชื่นชมยินดีที่เราให้แก่เจ้านั้น ไม่มีใครจะเอาไปจากเจ้าได้”

อย่าพึงพอใจเพียงความชื่นชมยินดีในประการแรกเท่านั้น
เพราะความชื่นชมยินดีประการที่สอง
เป็นของประทานที่ยิ่งใหญ่กว่า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น