ในยุคที่สถาบันโรงพยาบาล และ
สถาบันการศึกษาคริสตชนต้องดำเนินการในสังคมโลกที่รายล้อมด้วยอิทธิพลของโลกแห่งการทำธุรกิจที่ยืนบนรากฐานของการแข่งขัน
เราวัดความสำเร็จที่การได้กำไรมากน้อยแค่ไหน จำนวนผู้ป่วยที่ครองเตียงเพิ่มขึ้นหรือไม่ มีนักเรียนนักศึกษาเพิ่มขึ้น หรือ
มากกว่าสถาบันที่เราแข่งขันด้วยหรือไม่
แข่งขันกันมีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าทันสมัยที่สุด แล้วโรงพยาบาล และ โรงเรียนคริสตชนของพระเยซูคริสต์ ที่ได้รับการมอบหมายจากพระองค์ให้สานต่อพระราชกิจของพระองค์บนโลกใบนี้ในยุคปัจจุบันจะว่าอย่างไร
และ จะทำอย่างไรในเรื่องนี้ แล้วอะไรคือ “ตัวชี้วัด” ความสำเร็จของโรงพยาบาล
และ สถาบันการศึกษาของคริสตชนในยุคคริสต์ศตวรรษที่ 21 นี้?
ชีวิตของคนในยุคศตวรรษที่ 21 หลงใหลเหลือเกินกับ “ความสำเร็จ”
ในชีวิต? เราต้องการความสำเร็จ ไม่ว่าในด้านเงินทองเศรษฐกิจ ในหน้าที่การงาน ความสำเร็จในการเลี้ยงลูก หรือความสำเร็จในชีวิตสังคมชุมชน ความสำเร็จในการที่ได้อยู่ในตำแหน่งสูง ๆ ทางสังคม
ความสำเร็จทำให้เราท่านเกิดความรู้สึกดีกับตนเอง รู้สึกว่าตนมีความสำคัญ ทำให้เราแตกต่างไปจากคนอื่น ๆ ที่รายรอบตัวเราใช่ไหม?
แล้วอะไรคือความสำเร็จของคริสตชนในยุคศตวรรษที่ 21 นี้? เหมือน หรือ
แตกต่างจากมุมมอง และ ค่านิยมตามกระแสสังคมโลกนี้อย่างไรบ้าง? แต่เรารู้และเห็นชัดว่า เกณฑ์ความสำเร็จของยุคนี้ช่างแตกต่างจากเกณฑ์ความสำเร็จแบบพระเยซูคริสต์ขนาด “หน้ามือกับฝ่าเท้า!”
ความสำเร็จคือการทำให้เป้าหมายกลายเป็นรูปธรรมและเป็นจริง หรือเป็นการเกิดผลอย่างน่าชื่นชมสำหรับคนที่อุตสาหะทำ ดูเหมือนว่าเป็นความคิดเข้าใจที่แตกต่างจากความเชื่อของคริสตชน ที่เชื่อว่า เป้าหมายชีวิตของเราคือการได้รับการช่วยกู้ให้หลุดรอดออกจากอำนาจแห่งความบาปชั่วโดยพระคุณของพระเจ้า
แล้วชีวิตได้รับการทรงเปลี่ยนแปลงสร้างใหม่จากพระเจ้า มิใช่ด้วยการกระทำดีของเราเท่านั้น
แต่เพื่อให้มีพลังชีวิตให้ดำเนินชีวิตตามพระประสงค์ และทำตามพระมหาบัญชาสานต่อพระราชกิจที่พระเยซูทรงเริ่มต้นไว้บนโลกใบนี้
ในความจริงแล้ว
พระเยซูคริสต์มีชีวิตในการทำงานเพียงชั่วระยะสั้น ๆ และเราก็ไม่สามารถที่จะเห็นหรือคิดได้ว่างานของพระองค์จะประสบความสำเร็จ วิธีการทำงานของพระองค์ก็ไม่โดดเด่น ไม่มีแนวโน้มว่าพระองค์จะประสบความสำเร็จ
(ตามเกณฑ์แห่งโลกนี้)
คนที่พระองค์คบหา ทำงานด้วย
หรือสาวกที่พระองค์เลือกก็ไม่เห็นแนวโน้มที่จะสร้างความสำเร็จแก่พระองค์ได้ เราพบความจริงว่า
- พระองค์เองเป็นคนยากจน
- พระองค์เป็นคนไร้บ้าน ไร้ที่ซุกหัวนอน
- พระองค์คบหากับคนชั้นต่ำ คนที่ไม่ใช่ยิว คนที่มีเลือดผสม คนที่ถูกกดขี่ คนผิดศีลธรรม คนนอกคอก ซึ่งเป็นคนที่ไม่พึงปรารถนาของสังคมยิวในเวลานั้น
- พระองค์เองก็กระทำขัดกับกฎระเบียบปฏิบัติประเพณีที่ผู้นำศาสนากำกับอย่างเข้มงวด
- พระองค์เดินทางในวงแคบ ๆ ไม่กว้างไกล ดังนั้น จึงมิใช่คนที่ผู้คนรู้จักกว้างขวาง
- พระองค์ไม่ได้ตั้งอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกนี้
- พระองค์ถูกจับ ถูกทุบตี ถูกทรมานอย่างสาหัส เป็นผู้ที่ไร้ความสามารถที่จะตอบโต้ได้
- พระองค์ไม่สามารถแม้แต่ที่จะแบกกางเขนของตนเองไปได้ตลอดทางสู่เนินเขากะโหลกศีรษะ ต้องขอให้บางคนช่วยเหลือ
- พระองค์ถูกเยาะเย้ย ดูหมิ่น ถูกตัดสินให้ตายอย่างอาชญากร
ความสำเร็จแห่งโลกนี้ แตกต่างและสวนทางกับคำสอนของพระคริสต์
คำสอนคำเทศน์ของพระคริสต์บ่งชี้ชัดเจนว่า
กรอบคิดมุมมองของโลกนี้มุ่งไปทิศทางที่ผิดพลาด
ถ้าเราคริสตชนมอง “ความสำเร็จ” ตามมุมมอง ค่านิยม
และมาตรฐานแห่งโลกนี้ เราจะพบว่าเราห่างไกลและยืนอยู่คนละขั้วกับพระองค์ เพราะกรอบคิด มุมมอง
รากฐานความเชื่อของพระคริสต์กลับตาลปัตรกับของสังคมโลก เป็นคำสอนที่สวนกระแส คนใดที่คิดว่าตนสำคัญ เป็นใหญ่
มีอำนาจ พระคริสต์สอนว่าคนนั้นต้องยอมตนรับใช้คนอื่น แต่ในความเป็นจริงของโลกปัจจุบันก็ไม่ต่างจากสมัยของพระเยซู ที่สังคมกดบี้ กีดกัน
คนต่ำต้อยเล็กน้อยที่ไม่มีทางประสบ “ความสำเร็จ” ตามกระแสสังคมโลกให้คนเหล่านั้นออกไปอยู่ชายขอบสังคม
แต่พระคริสต์กลับเดินเคียงข้างไปกับคนเหล่านั้น และทำพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางคนเหล่านั้น?
การทำงานของพระองค์ดูบ้าบอคอแตก ต่างจากคนที่ประสบความสำเร็จในสังคมโลกนี้
ในพระคัมภีร์บันทึกว่าพระองค์เข้าไปหาคนที่ถูกผีสิง มีอาการทางจิตที่รุนแรง อาศัยตามอุโมงค์ฝังศพ ร้องเสียงโหยหวนน่ากลัว เอาหินเถือเนื้อตัวตนเองเป็นบาดแผล เปลือยกายล่อนจ้อน มีคนที่พยายามเอาโซ่ไปล่ามไว้ไม่ให้คน ๆ นั้นออกมาอาละวาด แต่ก็เอาไม่อยู่ เขามีแรงมหาศาลที่หักโซ่ตรวนเหล่านั้น ดังนั้น
ผู้คนกลัวเขา รังเกียจเขา พยายามหลบลี้หนีให้ไกลจาก “ผีบ้า” คนนี้ แต่พระคริสต์ตั้งใจเดินเข้าไปหาชายคนนี้
พระคริสต์เดินเข้าไปหาคนที่โลกกดดัน ขับไล่
บีบบี้ให้ออกไปจากสังคม!
ในขณะที่ สังคมโลกมองคนอื่นว่า
ตนจะได้รับความปลอดภัย
ได้รับการยอมรับ
ได้รับประโยชน์อะไรบ้างที่ตนต้องการจากคนนั้น พวกเขาเลือกปฏิสัมพันธ์คนที่อาจเอื้อความสำเร็จในชีวิตของตน
แต่พระคริสต์ปฏิสัมพันธ์กับคนที่พระองค์จะเอื้อประโยชน์แก่ชีวิตของคน ๆ นั้น ที่พระองค์จะสามารถรับใช้คน ๆ นั้น
พระคริสต์มิได้สนใจในความสำเร็จของพระองค์เอง แต่พระองค์มุ่งสนใจคนที่พระเจ้าทรงสร้าง!
ทุกวันนี้
โรงพยาบาล โรงเรียน และมหาวิทยาลัยของสภาคริสตจักรในประเทศไทยสนใจ
“ความสำเร็จ” ในการบริหารธุรกิจ ตามอิทธิพลตามกระแสโลกนี้ หรือ
ทุ่มเทความสนใจทั้งหมดกับคน
ความเป็นคน อย่างที่พระคริสต์ทรงกระทำเป็นแบบอย่างหรือไม่?
ณ
วันนี้เราสามารถพูดว่า โรงพยาบาล โรงเรียน และมหาวิทยาลัยของสภาฯ กำลังสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในสังคมประเทศไทยได้หรือไม่?
พระเจ้ายังทรงอดทนกับสภาคริสตจักรฯ
พระองค์ยังเปิดโอกาสให้เราได้เลือกตัดสินใจที่จะใช้ “พระคุณ” ทุกอย่างที่สภาคริสตจักรฯ
ได้รับ และ มีอยู่เพื่อสานต่อพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ หรือ
ใช้ทุกอย่างที่มีอยู่เพื่อสร้าง “ความสำเร็จ” ตามกระแสสังคมโลกนี้?
ผู้บริหารสภาคริสตจักรฯ จะใช้กลยุทธ์
“เงินนำหน้า
พระราชกิจและพระปัญญาตามหลัง”
หรือ จะใช้กลยุทธ์
“พระปัญญาและพระราชกิจนำหน้า
และใช้ของประทานที่เรามีอยู่สานต่อพระราชกิจของพระองค์” เราเชื่อว่า เมื่อพระเจ้าทรงใช้เรา พระเจ้าประสงค์ใช้สภาคริสตจักรฯ พระองค์ใช้เราตามของประทานที่เรามีอยู่ และถ้าต้องมีมากกว่านั้น พระองค์มีแผนการเพิ่มพูน “พระคุณ”
ของพระองค์ในงานที่เรารับใช้
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น