บุคคลที่ใจกว้างขวางย่อมได้รับความมั่งคั่ง
บุคคลที่รดน้ำ เขาเองจะรับการรดน้ำ
(สุภาษิต 11:25 มตฐ.)
เงินเป็นตัวกลางในการ “ตีคุณค่า” ของสิ่งต่าง ๆ
ตามกรอบคิด มุมมอง และระบบคุณค่าของแต่ละคน เราใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน
ซื้อขายกัน คริสตชนมิได้ปฏิเสธการใช้เงิน แต่คริสตชนมีมุมมอง และระบบคุณค่าในการใช้เงินบนรากฐานความเชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า คริสตชนควรเกี่ยวข้อง จัดการ
และใช้เงินบนรากฐานของจิตวิญญาณ
กล่าวคือ คริสตชนมีมุมมองว่า
เงินที่ตนได้มาในชีวิตจากการทำงานนั้นเป็น “พระคุณ” ที่พระเจ้าประทานให้ ซึ่งมิใช่เพียงเพื่อการอยู่ดีมีสุข หรือ
การอยู่รอดมั่นคงของตนเองและครอบครัวเท่านั้น
แต่คริสตชนใช้จ่าย จัดการเงินทองนั้นเพื่อเป็น “พระพร” แก่คนอื่น ๆ ด้วย แท้จริงแล้วเงินที่เราได้เรามีอยู่นั้นเป็นของประทานจากพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้น คริสตชนจึงใช้เงินทองเพื่อผู้อื่นด้วย “บุคคลที่เอ็นดูคนยากจนก็ให้พระเจ้าทรงยืม และพระองค์จะทรงตอบแทนแก่การกระทำของเขา”
(สุภาษิต 19:17 มตฐ.)
และนี่คือการใช้เงินบนรากฐานแห่งจิตวิญญาณ
มนุษย์เรามีชีวิตอยู่เพราะ “พระคุณ”
ที่ทรงสร้างเรา
และทรงค้ำจุนหนุนเนื่องให้เราสามารถมีกำลัง สติปัญญา ทักษะ ความชำนาญ
และโอกาสในการทำงาน
และพระองค์มีพระประสงค์ให้คนที่ได้รับ “พระคุณ”
ของพระองค์เป็นผู้นำพระคุณที่เราได้รับไปเป็น “พระพร” สำหรับคนอื่นรอบข้าง
รากฐานความเชื่อและจิตสำนึกของคริสตชนมิได้อยู่ที่การใช้และการจัดการทรัพย์สินเงินทองอย่างประหยัด อย่างรู้จักพอเพียงเพียง รากฐานจิตวิญญาณการหา ใช้ และจัดการทรัพย์สินเงินทองบนความ
“สำนึกในพระคุณของพระเจ้า” และ
ตระหนักชัดเสมอถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้เราเป็นผู้นำพระคุณของพระองค์ที่เราได้รับไปให้เป็น
“พระพร” ในชีวิตของคนอื่น ๆ
ถ้าปราศจากการสำนึกถึงพระคุณ และ
ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อพระประสงค์แล้ว
แม้เราจะได้ทรัพย์สินเงินทองมากมายแค่ไหน
เราก็จะไม่สำนึกว่า “พอเพียง”
บางคนแม้แต่เศษเดนทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ยอมให้กระเด็นไปจากอ้อมกอดของตน อย่างเช่นเรื่องเศรษฐีงี่เง่า
ที่พระเยซูคริสต์เล่าให้ประชาชนฟัง เป็นต้น
คริสตชนจนตระหนักชัดว่า มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “สัมพันธภาพ” คือให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์ มีความสัมพันธ์สมดุลกับตนเอง และมีความสัมพันธ์กับคนอื่นรอบข้าง
ในเมื่อการใช้ทรัพย์สินเงินทองของเราสร้างผลกระทบอย่างมากต่อ
“สัมพันธภาพ” ที่คริสตชนมีต่อพระเจ้า มีต่อตนเอง
และมีต่อเพื่อนบ้าน
ดังนั้นจึงเป็นการสำคัญยิ่งที่เราจะต้องพินิจพิจารณา และ
ใคร่ครวญอย่างลุ่มลึกถึงการใช้ทรัพย์สินเงินทองของเราแต่ละคน เช่น
เราได้ใช้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อประโยชน์ควบคุมคนอื่นในบางเรื่องบางวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของเราหรือเปล่า?
เราเห็นว่าเราจะต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของเราก่อนสิ่งอื่นคนอื่นหรือไม่? เราเคยใช้เงินทองเพื่อซื้อ “ความเป็นเพื่อน
หรือ มิตรภาพ” หรือ เพื่อสร้างความ “ประทับใจ” เพื่อการที่เขาจะยอมรับนับถือเราหรือไม่? ลึก ๆ แล้วทรัพย์สินเงินทองคือแหล่งที่ทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าในตนเองหรือไม่? หรือ
เราใช้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อเป็นพระพรแก่คนอื่น (ด้วยความจริงใจ ไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง) หรือไม่?
พระคัมภีร์เป็นแหล่งปัญญาสำหรับเราในเรื่องที่เราเข้าไปข้องแวะกับทรัพย์สินเงินทองหลายตอน
ในอพยพ 20:2-3 เตือนเราอย่างตรง แรง และชัดว่า
อย่าให้ความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อทรัพย์สินเงินทองกลายเป็นรูปเคารพในชีวิตของเรา
กล่าวคือมีทรัพย์สินเงินทองเป็นเอกเป็นต้นในชีวิต หรือที่พูดกันเสมอว่า คริสตชนประเภทที่ “มีเงินนำหน้า แต่พระเจ้าตามหลัง” เราต้องตระหนักและสัตย์ซื่อเสมอว่า พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นเอกเป็นต้นนำหน้าในชีวิตของเรา คริสตชนจะต้องให้ “พระเจ้านำหน้า ทรัพย์สินเงินทองตามหลัง”
เมื่อบุคคลสำคัญ ๆ ในพระคัมภีร์ที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า เขาจะนำพระพรนั้นให้เป็นพระพรแก่คนรอบข้าง
เช่น อับราฮัม (ปฐก. 12:1-2) ดังนั้น
เมื่อเราได้รับการทรงอวยพระพรในด้านทรัพย์สินเงินทอง จึงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เรานำพระพรนั้นไปเป็นพระพรสำหรับคนอื่นด้วย
อย่างไรก็ตาม
ในกรณีที่เราจะให้ใครบางคนยืมทรัพย์สินเงินทอง
เราคงจำเป็นจะต้องมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคือ ประการแรก เราสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือที่คนนั้นต้องการหรือไม่? ประการที่สอง
ถ้าเราให้ความช่วยเหลือคนนั้นจะกระทบกระเทือนต่อคนในครอบครัวของเราหรือไม่? ประการที่สาม
ท่านพร้อมที่จะให้ทรัพย์สินเงินทองดังกล่าวแก่คน ๆ นั้นหรือไม่ ถ้าเขาไม่มีความสามารถที่จะคืนได้?
สิ่งที่พึงระมัดระวัง เรื่องการให้พี่น้องเครือญาติ หรือ
เพื่อนสนิทยืมทรัพย์สินเงินทอง ซึ่งอาจจะเกิดการกระทบกระเทือนต่อสัมพันธภาพอันดีที่เรามีอยู่ก็ได้ ถ้าเขาไม่คืนเงินที่ยืม หรือไม่สามารถคืนเงินที่ยืม เราพร้อมจะยกหนี้นั้นแก่เขาหรือไม่?
และยิ่งกว่านั้นเราพร้อมที่จะยกโทษที่เขาไม่คืนหรือไม่?
อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้กระมังที่พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า เราจะไม่เป็นคนให้กู้เงิน
หรือแสวงหาผลประโยชน์จะการยืมเงินจากคนที่ขัดสนยากจนต้องการทรัพย์สินเงินทองเพื่อประทังชีวิต
(สดุดี 15:5)
ดังนั้น
เมื่อท่านได้ใคร่ครวญพิจารณาแล้วเห็นว่า
ท่านสามารถให้ความช่วยเหลือทรัพย์สินเงินทองแก่คน ๆ นั้นที่กำลังมีความจำเป็นในชีวิต และมองว่าทรัพย์สินเงินทองที่ท่านช่วยไปนั้นเป็นการให้แก่เขา โดยไม่คาดหวังเขาจะนำมาส่งคืนหรือไม่ แน่นอนว่า พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ตอบแทนท่านแทนเขาคนนั้น
ทุกวันนี้ท่านหาเงิน ใช้เงิน สะสม ดูแลทรัพย์สินเงินทองของท่านบนรากฐานทางจิตวิญญาณ หรือบนรากฐานเศรษฐกิจเพื่อความมั่งคั่ง
มั่นคง ปลอดภัยในชีวิต และประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว ครับ
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น