27 เมษายน 2558

ใช้เงินบนรากฐานของจิตวิญญาณ

บุคคล​ที่​ใจ​กว้างขวาง​ย่อม​ได้รับ​ความ​มั่ง​คั่ง
บุคคล​ที่​รด​น้ำ เขา​เอง​จะ​รับ​การ​รด​น้ำ
(สุภาษิต 11:25 มตฐ.)

เงินเป็นตัวกลางในการ “ตีคุณค่า”  ของสิ่งต่าง ๆ  ตามกรอบคิด มุมมอง และระบบคุณค่าของแต่ละคน   เราใช้เงินเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยน ซื้อขายกัน   คริสตชนมิได้ปฏิเสธการใช้เงิน   แต่คริสตชนมีมุมมอง  และระบบคุณค่าในการใช้เงินบนรากฐานความเชื่อศรัทธาในองค์พระผู้เป็นเจ้า   คริสตชนควรเกี่ยวข้อง จัดการ และใช้เงินบนรากฐานของจิตวิญญาณ

กล่าวคือ คริสตชนมีมุมมองว่า เงินที่ตนได้มาในชีวิตจากการทำงานนั้นเป็น “พระคุณ” ที่พระเจ้าประทานให้   ซึ่งมิใช่เพียงเพื่อการอยู่ดีมีสุข หรือ การอยู่รอดมั่นคงของตนเองและครอบครัวเท่านั้น   แต่คริสตชนใช้จ่าย จัดการเงินทองนั้นเพื่อเป็น “พระพร” แก่คนอื่น ๆ ด้วย   แท้จริงแล้วเงินที่เราได้เรามีอยู่นั้นเป็นของประทานจากพระเจ้าทั้งสิ้น   ดังนั้น คริสตชนจึงใช้เงินทองเพื่อผู้อื่นด้วย   “บุคคล​ที่​เอ็นดู​คน​ยากจน​ก็​ให้​พระ​เจ้า​ทรง​ยืม   และ​พระ​องค์​จะ​ทรง​ตอบ​แทน​แก่​การ​กระทำ​ของ​เขา” (สุภาษิต 19:17 มตฐ.)   และนี่คือการใช้เงินบนรากฐานแห่งจิตวิญญาณ

มนุษย์เรามีชีวิตอยู่เพราะ “พระคุณ” ที่ทรงสร้างเรา  และทรงค้ำจุนหนุนเนื่องให้เราสามารถมีกำลัง สติปัญญา ทักษะ  ความชำนาญ  และโอกาสในการทำงาน   และพระองค์มีพระประสงค์ให้คนที่ได้รับ “พระคุณ” ของพระองค์เป็นผู้นำพระคุณที่เราได้รับไปเป็น “พระพร” สำหรับคนอื่นรอบข้าง

รากฐานความเชื่อและจิตสำนึกของคริสตชนมิได้อยู่ที่การใช้และการจัดการทรัพย์สินเงินทองอย่างประหยัด  อย่างรู้จักพอเพียงเพียง   รากฐานจิตวิญญาณการหา ใช้ และจัดการทรัพย์สินเงินทองบนความ “สำนึกในพระคุณของพระเจ้า”   และ ตระหนักชัดเสมอถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ให้เราเป็นผู้นำพระคุณของพระองค์ที่เราได้รับไปให้เป็น “พระพร” ในชีวิตของคนอื่น ๆ   ถ้าปราศจากการสำนึกถึงพระคุณ และ ตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อพระประสงค์แล้ว   แม้เราจะได้ทรัพย์สินเงินทองมากมายแค่ไหน   เราก็จะไม่สำนึกว่า “พอเพียง”   บางคนแม้แต่เศษเดนทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ยอมให้กระเด็นไปจากอ้อมกอดของตน   อย่างเช่นเรื่องเศรษฐีงี่เง่า ที่พระเยซูคริสต์เล่าให้ประชาชนฟัง เป็นต้น

คริสตชนจนตระหนักชัดว่า   มนุษย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อ “สัมพันธภาพ”   คือให้มีความสัมพันธ์กับพระองค์   มีความสัมพันธ์สมดุลกับตนเอง   และมีความสัมพันธ์กับคนอื่นรอบข้าง   ในเมื่อการใช้ทรัพย์สินเงินทองของเราสร้างผลกระทบอย่างมากต่อ “สัมพันธภาพ”  ที่คริสตชนมีต่อพระเจ้า   มีต่อตนเอง  และมีต่อเพื่อนบ้าน   ดังนั้นจึงเป็นการสำคัญยิ่งที่เราจะต้องพินิจพิจารณา และ ใคร่ครวญอย่างลุ่มลึกถึงการใช้ทรัพย์สินเงินทองของเราแต่ละคน  เช่น   เราได้ใช้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อประโยชน์ควบคุมคนอื่นในบางเรื่องบางวัตถุประสงค์เพื่อประโยชน์ของเราหรือเปล่า?   เราเห็นว่าเราจะต้องใช้ทรัพย์สินเงินทองที่มีอยู่เพื่อความอยู่รอดปลอดภัยของเราก่อนสิ่งอื่นคนอื่นหรือไม่?   เราเคยใช้เงินทองเพื่อซื้อ “ความเป็นเพื่อน หรือ มิตรภาพ”  หรือ  เพื่อสร้างความ “ประทับใจ”  เพื่อการที่เขาจะยอมรับนับถือเราหรือไม่?   ลึก ๆ แล้วทรัพย์สินเงินทองคือแหล่งที่ทำให้เรารู้สึกถึงคุณค่าในตนเองหรือไม่?   หรือ  เราใช้ทรัพย์สินเงินทองเพื่อเป็นพระพรแก่คนอื่น (ด้วยความจริงใจ  ไม่มีจุดประสงค์แอบแฝง) หรือไม่?

พระคัมภีร์เป็นแหล่งปัญญาสำหรับเราในเรื่องที่เราเข้าไปข้องแวะกับทรัพย์สินเงินทองหลายตอน

ในอพยพ 20:2-3  เตือนเราอย่างตรง แรง และชัดว่า   อย่าให้ความสัมพันธ์ของเราที่มีต่อทรัพย์สินเงินทองกลายเป็นรูปเคารพในชีวิตของเรา   กล่าวคือมีทรัพย์สินเงินทองเป็นเอกเป็นต้นในชีวิต   หรือที่พูดกันเสมอว่า  คริสตชนประเภทที่ “มีเงินนำหน้า  แต่พระเจ้าตามหลัง”   เราต้องตระหนักและสัตย์ซื่อเสมอว่า   พระเจ้าเท่านั้นที่เป็นเอกเป็นต้นนำหน้าในชีวิตของเรา   คริสตชนจะต้องให้ “พระเจ้านำหน้า  ทรัพย์สินเงินทองตามหลัง”

เมื่อบุคคลสำคัญ ๆ ในพระคัมภีร์ที่ได้รับพระพรจากพระเจ้า   เขาจะนำพระพรนั้นให้เป็นพระพรแก่คนรอบข้าง เช่น อับราฮัม (ปฐก. 12:1-2)   ดังนั้น  เมื่อเราได้รับการทรงอวยพระพรในด้านทรัพย์สินเงินทอง   จึงเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะให้เรานำพระพรนั้นไปเป็นพระพรสำหรับคนอื่นด้วย

อย่างไรก็ตาม  ในกรณีที่เราจะให้ใครบางคนยืมทรัพย์สินเงินทอง   เราคงจำเป็นจะต้องมีหลักเกณฑ์ในการพิจารณาคือ   ประการแรก เราสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือที่คนนั้นต้องการหรือไม่?   ประการที่สอง  ถ้าเราให้ความช่วยเหลือคนนั้นจะกระทบกระเทือนต่อคนในครอบครัวของเราหรือไม่?   ประการที่สาม  ท่านพร้อมที่จะให้ทรัพย์สินเงินทองดังกล่าวแก่คน ๆ นั้นหรือไม่   ถ้าเขาไม่มีความสามารถที่จะคืนได้?

สิ่งที่พึงระมัดระวัง  เรื่องการให้พี่น้องเครือญาติ หรือ เพื่อนสนิทยืมทรัพย์สินเงินทอง   ซึ่งอาจจะเกิดการกระทบกระเทือนต่อสัมพันธภาพอันดีที่เรามีอยู่ก็ได้   ถ้าเขาไม่คืนเงินที่ยืม  หรือไม่สามารถคืนเงินที่ยืม   เราพร้อมจะยกหนี้นั้นแก่เขาหรือไม่?   และยิ่งกว่านั้นเราพร้อมที่จะยกโทษที่เขาไม่คืนหรือไม่?

อาจจะเพราะด้วยเหตุนี้กระมังที่พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่า  เราจะไม่เป็นคนให้กู้เงิน   หรือแสวงหาผลประโยชน์จะการยืมเงินจากคนที่ขัดสนยากจนต้องการทรัพย์สินเงินทองเพื่อประทังชีวิต (สดุดี 15:5)   ดังนั้น  เมื่อท่านได้ใคร่ครวญพิจารณาแล้วเห็นว่า  ท่านสามารถให้ความช่วยเหลือทรัพย์สินเงินทองแก่คน ๆ นั้นที่กำลังมีความจำเป็นในชีวิต   และมองว่าทรัพย์สินเงินทองที่ท่านช่วยไปนั้นเป็นการให้แก่เขา   โดยไม่คาดหวังเขาจะนำมาส่งคืนหรือไม่   แน่นอนว่า พระเจ้าจะทรงเป็นผู้ตอบแทนท่านแทนเขาคนนั้น  

ทุกวันนี้ท่านหาเงิน ใช้เงิน สะสม  ดูแลทรัพย์สินเงินทองของท่านบนรากฐานทางจิตวิญญาณ   หรือบนรากฐานเศรษฐกิจเพื่อความมั่งคั่ง มั่นคง  ปลอดภัยในชีวิต  และประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว ครับ

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น