บ่อยครั้ง ที่เราต้องการได้ยินเสียงจากพระเจ้า แต่เสียงของเรา และ
เสียงแวดล้อมเราเข้ามาครอบครองพื้นที่ช่องสื่อสารแห่งชีวิต จนดูเหมือนเสียงของพระเจ้าถูกปิดกั้นผลักดันไปจากโสตสัมผัสแห่งชีวิตของเรา
ทำไมเราถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?
“ท่านโยบ ขอฟังข้อนี้
จงนิ่งพิจารณาพระราชกิจอันอัศจรรย์ของพระเจ้า...”
(โยบ 37:14 มตฐ.)
หลายครั้ง เมื่อเราต้องการให้พระเจ้าช่วยสำแดง หรือ
สื่อสาร
ประทานนิมิตทิศทางทางที่ควรมุ่งไปในชีวิตของเรา ในเวลาเช่นนั้น หลายท่านคงมีประสบการณ์ว่า
ในสมองห้วงความนึกคิดของเราเต็มไปด้วยคำถามต่าง ๆ ที่เราต้องการให้พระเจ้าช่วยตอบให้ชัด
ๆ
หรือไม่ก็กลับมาพิจารณาถึงกลุ่มอธิษฐานของเรา เรามักเริ่มต้นด้วยใครมีประเด็น หรือ
มีเรื่องที่เราจะช่วยกันอธิษฐาน
เราเริ่มต้นที่จะสื่อสารกับพระเจ้า ด้วยการเข้ามา “ควบคุม”
การสื่อสารของเรากับพระเจ้า
ด้วยหัวข้ออธิษฐานของเรา
เท่ากับเรากำหนดว่า
“พระเจ้าผมต้องการคุยกับพระองค์ในเรื่องนี้ ขอพระองค์ตอบผมในเรื่องนี้ว่า พระองค์เห็นว่าจะเอาอย่างไรดี?”
แต่แล้วเรากลับพบว่า พระเจ้าไม่ตอบประเด็นที่เราทูลขอต่อพระองค์! ทำไมเป็นเช่นนั้น?
เราติดนิสัยที่ต้องการเป็นผู้ควบคุมการสื่อสารในสถานการณ์ต่าง
ๆ ในอาชีพการงานและชีวิตประจำวันของเรา
แล้วเราก็ใช้นิสัยนี้กับพระเจ้าด้วย
จะด้วยรู้เท่าทันตนเองหรือไม่ก็ตาม
ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่ได้ยินเสียงการทรงนำของพระเจ้า เพราะเราสนใจแต่ “คำตอบที่เราอยากได้” แต่ไม่ได้นิ่ง สงบ และเปิดใจรับ
“คำตอบที่พระเจ้าต้องการชี้และนำในชีวิตของเรา” แล้วเราก็หงุดหงิด ต่อว่าพระเจ้าในใจใช่ไหม?
พระคัมภีร์ในวันนี้บอกกับเราว่า ให้เรา นิ่ง ฟัง
และ พิจารณา ถึงพระราชกิจการอัศจรรย์ของพระเจ้า
เวลาเราที่เราอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อขอพระองค์ทรงชี้และนำชีวิตของเราในแต่ละเรื่อง สิ่งสำคัญคือชีวิตของเราต้อง “นิ่ง”
เพราะในความเป็นจริงแล้วในทุกวันนี้ชีวิตของเราไม่นิ่ง อยู่ไม่สุข วอกแวก วุ่นวายใจ
วิ่งไล่สิ่งล่อใจจนเหนื่อยอ่อนก็ยังตามไม่ทัน ถ้าเราต้องการได้ยินการชี้และนำจากพระเจ้าจริง
ๆ สิ่งแรกเราต้องทำในชีวิตคือ “นิ่ง”
เราต้องไม่มุ่งที่จะไล่ล่า ต่อสู้
ไขว่คว้า แย่งชิง ต้องเอาชนะ
หรือ ต้องเอาให้ได้ เราต้อง “นิ่ง”
จากนั้น
เราต้องเปิดชีวิต “ฟัง”
ซึ่งในที่นี้หมายถึงการที่เราจะเปิดพื้นที่ชีวิตประจำวันของเราที่จะกลับมาทบทวน
เปิดรับถึงพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเรา ในชีวิตของชุมชน สังคม และ โลก เราต้องนิ่งพอที่จะฟัง
“พระประสงค์ของพระเจ้า”
คือสิ่งที่พระเจ้าต้องการบอกเรา
ไม่ใช่ มุ่งแต่ที่จะให้พระเจ้าตอบเราในสิ่งที่เราอยากได้ใคร่มี
ใคร่รู้
ซึ่งเป็นการฟังแต่เสียงของตนเองและเสียงรอบข้างมากกว่าเสียงของพระเจ้า
แล้วเราจะต้อง “ใส่ใจ” และ “พิจารณา ใคร่ครวญ”
ในสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ชี้นำ หรือ
ที่ตรัสกับเรา(แม้จะดูเหมือนว่า ไม่เห็นเกี่ยวโยงกับเรื่องที่เราทูลขอพระองค์ไปก็ตาม) เพราะเราต้องตระหนักชัดว่า
พระเจ้าทรงอยู่และกระทำพระราชกิจของพระองค์ในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เรากำลังเผชิญอยู่
“ก่อนหน้าเรา” (ไม่ใช่เราอธิษฐานขอพระเจ้าเข้าไปในสถานการณ์นั้นและช่วยเรา?) ดังนั้น
พระองค์จึงรู้อะไรดีและมากกว่าเรา
และนี่คือคำตอบว่า ทำไม พระองค์ทรงตอบและชี้นำเรา มากกว่า หรือ เหนือกว่าที่เราคาดหวังให้พระองค์ตอบ
ในเมื่อพระองค์ได้กระทำพระราชกิจของพระองค์ ในสถานการณ์ที่เรากำลังทูลขอต่อพระองค์
แสดงว่าพระองค์ได้กระทำอะไรต่อมิอะไรก่อนหน้าเราจะเข้าไปเผชิญในเหตุการณ์นั้น เราจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง นิ่ง
ฟัง
และพิจารณาพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำมาก่อนแล้วว่าพระองค์ทรงกระทำอะไร
และ ทรงกระทำอย่างไร
และขอการทรงชี้และนำว่า
พระองค์มีเป้าประสงค์อะไรในสถานการณ์นั้น
เพื่อเราจะเข้าไปร่วม และ สานต่อพระราชกิจของพระองค์ที่ทรงเริ่มต้นไว้แล้ว
เมื่อเราพิจารณาเช่นนี้
เราจะอัศจรรย์ใจกับพระราชกิจที่ทรงกระทำมาก่อนที่เราจะเข้าไป ที่อัศจรรย์ใจเพราะ ไม่ใช่ตามที่เราเข้าใจว่า เราขอพระเจ้าเข้าไปช่วยชี้นำปัญหาที่เราประสบ แต่เราพบว่าพระเจ้าอยู่ในสถานการณ์ ในปัญหา
ในวิกฤตกาลที่เราพบนั้นก่อนเราเข้าไปเสียอีก
และนี่ที่ทำให้เราอัศจรรย์ใจมิใช่หรือ?
อีกประการหนึ่งที่ทำให้เราอัศจรรย์ใจคือ คำตอบ
การทรงชี้และนำของพระองค์ที่เราเคยรู้สึกคิดเห็นว่า
ไม่เห็นเกี่ยวหรือตอบสิ่งที่เราทูลขอต่อพระองค์นั้น กลับกลายเป็นคำตอบที่ตอบโจทย์ปัญหานั้นที่ลึกซึ้งกว่าที่เราคิดเราคาดหวัง เราจะพบว่า
เป็นคำตอบการทรงชี้และนำที่มิใช่เพื่อแก้ปัญหา
ให้ผ่านพ้นวิกฤติที่กำลังประสบเท่านั้น
แต่เรากลับพบว่า
คำตอบและการชี้และนำนั้นนำไปสู่การทรงสร้างใหม่ในชีวิตผู้คนและชุมชน
องค์กรนั้น ๆ และนี่ก็เป็นการอัศจรรย์ใจในพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำมาแล้ว
ทั้งสิ้นนี้อยู่ที่ว่า
เราต้องการให้พระเจ้าตอบและทรงชี้และนำในสิ่งที่ใจเราปรารถนาคาดคิดต้องการเท่านั้น
หรือ เราเลือกที่จะนิ่ง ฟัง
และพิจารณาถึงพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ
ตามแผนการและพระประสงค์ของพระองค์?
เพื่อเราจะรู้ถึงพระประสงค์แห่งพระราชกิจที่ทรงกระทำก่อนหน้านี้แล้ว
แล้วจะได้ร่วมและสานต่อในพระราชกิจของพระองค์ ตามใจปรารถนาของพระองค์
(ไม่ใช่ตามใจปรารถนาของเรา)
แล้วคริสตชน
ผู้นำองค์กรศาสนาคริสต์
ต้องการได้ยินเสียงตอบ ชี้
และนำถึงพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงเริ่มต้นไว้
เพื่อสานต่อและร่วมในทีมพระราชกิจของพระเยซูคริสต์ หรือ ได้ยินแต่เสียงใจปรารถนาของตนเอง พรรคพวก
ตำแหน่ง ชื่อเสียง ผลประโยชน์
และการยอมรับ จนไม่สามารถได้ยินเสียงของพระคริสต์ผู้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจของพระองค์ เพื่อที่จะยอมรับใช้พระองค์ตามพระประสงค์ตามใจปรารถนาของพระคริสต์?
คนกลุ่มหลังนี้
เขาจะไม่อัศจรรย์ใจในพระราชกิจของพระเจ้าที่ทรงได้ดำเนินมาแล้ว? เพราะสนใจแต่จะสร้างให้ “พรรคและพวก”
อัศจรรย์ใจในผลงานที่ตนเองทำครับ?
ถ้าเช่นนั้น จะได้ยินเสียงตอบจากพระเจ้าได้อย่างไร?
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น