ขอทรงสอนข้าพระองค์ทั้งหลายให้นับวัน(ที่มีจำกัด)ของตน
เพื่อพวกข้าพระองค์จะมีจิตใจที่มีปัญญา(เพิ่มพูน)
(สดุดี 90:12 มตฐ. ในวงเล็บผู้เขียนขยายความ)
สมัยครั้งเมื่อผมทำงานวิจัยเรื่องส่งเสริมการทำบัญชีครัวเรือนในชุมชน
เราได้ขอให้ทุกครัวเรือนบันทึกรายละเอียดรายรับ รายจ่าย และรายจ่ายหนี้สิน
(เช่น รายการเงินผ่อน) ที่เราต้องรับผิดชอบในทุกเดือน นอกจากจะทำให้เจ้าตัว และ
คณะทำงานได้เห็นถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจในครัวเรือนแล้ว ยังเป็นสิ่งท้าทายที่ชวนให้ชาวบ้านกลับมาคิดและวางแผนเกี่ยวกับเศรษฐกิจในครัวเรือนของตนใหม่ ตลอดจนการลงทุนทำอาชีพที่กำลังทำอยู่ด้วย
แต่เมื่อเรากำลังศึกษาเรื่องรายรับ-รายจ่ายครัวเรือนในหมู่บ้านหนึ่ง
พ่อหลวงของหมู่บ้านนั้นได้ตั้งข้อสังเกตว่า “ถ้าเราลองพิจารณาดูรายการรับจ่ายของแต่ละบ้านแล้ว เราบอกได้เลยว่า
พ่อบ้านแม่บ้านในครัวเรือนนั้นเป็นคนที่มีนิสัย ในชีวิตประจำในอย่างไร...”
ใช่สินะ
รายการรับจ่ายสามารถบอกถึงนิสัยใจคอของเราได้อย่างดีว่าเจ้าของรายการรับจ่ายเป็นคนเช่นไร แต่ถ้าลองให้เราทบทวนความจำและเขียนลำดับรายการที่เราทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันว่ามีอะไรบ้างแล้ว จะแสดงให้เราเห็นถึง “ระบบคุณค่า” ได้อย่างชัดเจนในชีวิตของเจ้าของรายการสิ่งที่เขาทำอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนั้น
ผู้ประพันธ์สดุดีข้างต้นได้ขอพระเจ้าทรงสอนให้ตนเองรู้จักที่จะ
“นับ” วันเวลาชีวิตที่มีจำกัดของตน ซึ่งเป็นวันเวลาที่พระเจ้าประทานให้แต่ละคน ที่มีจุดเริ่มต้นและวาระสิ้นสุด
เพื่อที่จะพินิจพิจารณาใคร่ครวญอย่างถ้วนถี่ดูว่า เราได้ทำอะไรบ้าง ก่อน-หลัง, มาก-น้อยแค่ไหน เพื่อที่จะมองย้อนเห็นชีวิตตนเองว่า
เราใช้เวลาอย่างไร และมีอะไรคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตประจำวันของเรา ผมบอกได้เลยว่า
สิ่งที่พบนี้เป็นความจริงที่ผมไม่อยากยอมรับเลย
แต่ในเวลาเดียวกันเป็นเหมือนเสียงนาฬิกาปลุกให้ตนเองสะดุ้งตื่นจากความเคยชิน
จากการทำในสิ่งที่คุ้นชินที่มิใช่ความตั้งใจที่ผมต้องการจะทำจริง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความหวัง
หรือสิ่งที่ผมเห็นว่ามีคุณค่าสูงสุดในชีวิต แต่ความจริงก็คือ ผมยังทำสิ่งนั้น อย่างนั้นทุกเมื่อเชื่อวันจริง
ๆ
เมื่อพระเจ้าทรงสอนให้ผมกลับมานับ
พินิจพิจารณาสิ่งที่ผมทำลงไปทำให้ผมได้คิด
ทำให้ผมเกิดปัญญา
คือปัญญาที่พระเจ้าทรงช่วยให้ผมเห็นความจริงที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของตนเอง
ปัญญาที่ผมได้มีโอกาสสะดุ้งตื่นจากชีวิตประจำวันที่ชินชาที่ผมไม่น่าจะทำเช่นนั้น
นี่เป็นปัญญาที่จุดประกายให้เกิดพลังภายในชีวิตที่จะเริ่มต้นใหม่กับพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง
ที่สำคัญ
พระเจ้าทรงช่วยให้ผมได้ยินเสียงกริ่งเตือนภัยที่ประชิดตัวที่ผมไม่เคยนึกคิดมาก่อน แต่กลับทำเป็นประจำ
จะบอกว่าไม่ได้ตั้งใจที่จะให้ชีวิตเป็นเช่นนั้น ทำเช่นนั้นก็ได้ ผมพบว่านี่เป็นจิตใจที่มีปัญญาที่พระเจ้าประทานแก่ผม เมื่อผมรู้จักการ “นับ” (พิจารณาใคร่ครวญ)
วันเวลาชีวิตประจำวัน
รายการงานประจำวันที่เราไม่นึกคิดหรือตั้งใจแต่ก็ทำลงไปนั้น มักเกิดมาจากการกระตุ้นกดดันจากสถานการณ์และพันธสัมพันธ์ที่มีรอบข้างชีวิตประจำวันของเรา
บางครั้งก็ถูกกระตุ้นด้วยความอยากหรืออารมณ์ความรู้สึกของตนเอง เมื่อผมกลับมาทำรายการลำดับสิ่งที่ทำในแต่ละวันพบพฤติกรรมที่น่าตกใจของตนเองว่า
ในยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสารที่ล้ำสมัยนี้ ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมา สิ่งแรกที่ผมทำคือ เปิดเครื่องเช็คอีเมล และ สื่อสังคมออนไลน์ต่าง
ๆ
สิ่งนี้กลายเป็นสิ่งที่กระทำประจำวันด้วยความคุ้นชินที่ไม่นึกคิดหรือตั้งใจจะทำมาก่อน? ไม่ใช่เป็นการผิดที่เราจะเปิดอ่านอีเมล หรือ
สื่อสังคมออนไลน์
แต่ที่ผิดอย่างน่าตกใจคือ
สิ่งที่สำคัญที่สุดที่เป็นสิ่งสำคัญประการแรกในชีวิตประวันของเราในอดีตที่ผ่านมาคือการที่เราจะมีเวลาอยู่หน้าต่อหน้าด้วยความสนิทสนมกับพระเจ้า และฟังเสียงแห่งพระปัญญาจากพระองค์ แต่เดี๋ยวนี้ ทุกเช้าวันใหม่เราสัตย์ซื่ออย่างเป็นนิสัยเข้าเฝ้า
และ ฟังเสียงของอีเมลและสื่อออนไลน์เป็นสิ่งแรก
เราเข้าเฝ้าสื่อเหล่านี้ที่ไหนก็ได้
ไม่ว่าบนเตียงนอน บนโต๊ะ หรือแม้กระทั่งในห้องน้ำ?
เมื่อมาถึงที่ทำงาน
ในอดีตสิ่งแรกที่เรานั่งลงบนเก้าอี้โต๊ะทำงานของเรา เราก้มหัวอธิษฐานทูลขอการทรงนำ แต่ปัจจุบันนี้ ยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะทำงานของตน ถูกเรียกให้ไปช่วยดูคำสั่งงานด่วนที่เข้ามา
ผู้ช่วยมาปรึกษาเรื่องลูกน้องสร้างปัญหาใหม่อีกแล้ว? เราต้องกระโดดจากงานนี้ วิ่งไปให้ทันการประชุม กว่าจะกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานครั้งแรกวันนี้ก็ปาเข้าไป
11 โมงแล้ว
“ตายจริง... เราลืมไปร่วมกลุ่มอธิษฐานตอนเช้า 15
นาทีประจำสัปดาห์”
เมื่อพระเจ้าสอนให้ผมรู้จักที่จะ “นับ”
พินิจพิจารณาเวลาช่วงต่าง ๆ ในวันคืนแห่งชีวิตผมได้รับปัญญาเพิ่มพูนว่า ที่ดูเหมือนว่า ในหลาย ๆ สถานการณ์แวดล้อมชีวิตประจำวันของเรา
เราเกือบจะไม่สามารถควบคุมสถานการณ์แวดล้อมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แต่พระเจ้าดลใจให้มีจิตใจที่สามารถสำนึกได้ว่า ในทุกสถานการณ์ เหตุการณ์ และสถานที่ พระเจ้าสถิตเคียงข้างเราเสมอ ไม่ว่าเราจะตกอยู่ในสภาพการณ์เช่นไร เราอยู่หน้าต่อหน้ากับพระเจ้า ไม่แตกต่างกับเวลาที่เรานั่งในพระวิหารของพระเจ้าในเช้าวันอาทิตย์เลย
ใช่ครับ
ทุกวัน เราสามารถที่จะทำชีวิตประจำวันที่เราตั้งใจได้ครับ ไม่จำเป็นที่จะต้องปล่อยให้ชีวิตประจำวันถูกควบคุมโดยสถานการณ์แวดล้อมรอบข้าง หรือ ตามเสียงอยากและตามอารมณ์ของเรา แต่เราสามารถมีชีวิตประจำวันที่ตั้งใจในทุกสถานการณ์ชีวิต ที่จะสำนึกว่าพระเจ้าอยู่เคียงข้าง
พระเจ้าอยู่หน้าต่อหน้าของเราในทุกสถานการณ์ เราจะขอพระปัญญาว่าเราจะคิด พิจารณา
และตัดสินใจเช่นไรในแต่ละเรื่อง
แต่ละสถานการณ์
แต่ละชั่วโมงนาทีที่กำลังเคลื่อนไป
และสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เคลื่อนดาหน้าเข้ามาหาเรา
เราจะไม่ยอมปล่อยให้คนอื่นเข้ามาตัดสินใจชีวิตประจำวันแทนเรา
และจะไม่ยอมให้ความท้อแท้เกียจคร้านเข้ามาฉุดกระชากเราไว้ มีเป้าหมายชัดเจนในการใช้ชีวิตประจำวันของเรา
และตระหนักถึงความจำกัดของวันเวลาที่เรามีอยู่ สำนึกว่าชีวิตประจำวันเป็นของประทานจากพระเจ้า และ พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ และ
แผนงานในชีวิตประจำวันที่พระองค์ประทานแก่เรา
ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังพร้อมเสมอที่จะหนุนเสริมเราในแต่ละสถานการณ์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น