พระเยซูคริสต์ถามสาวกใกล้ชิดของพระองค์ด้วยคำถามนี้โดยต้องการขุดรากถอนโคนความคิดของสาวกที่ได้รับอิทธิพลวิธีคิดแบบสังคมโลกนี้ และนี่คือเหตุผลว่า คริสตชนต้องตัดสินใจเลือกระหว่าง
“พระกิตติคุณของพระคริสต์” กับ หลักคิดแบบสังคมโลกนี้
มีการโต้เถียงกันในพวกสาวกว่าใครในพวกเขาที่นับว่าเป็นใหญ่
พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายเหนือเขาทั้งหลาย
และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้นเรียกตัวเองว่าเจ้าบุญนายคุณ แต่พวกท่านจะไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกท่านคนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นเหมือนเด็ก(คนใจถ่อม)1
และคนที่เป็นนายต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ
ใครเป็นใหญ่กว่ากัน
ผู้ที่นั่งรับประทานหรือผู้ปรนนิบัติ? ผู้ที่นั่งรับประทานไม่ใช่หรือ?
แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับผู้ปรนนิบัติ (ลูกา 22:24-27 มตฐ.)
สองพันกว่าปีที่ผ่านมา เราก็ยังพบว่า
สาวกที่ประกาศตนติดตามพระคริสต์ก็ยังใช้
มุมมอง วิธีคิด นิสัย(สันดานดิบ)แบบคนในสังคมทั่วไป ยัง โต้เถียง
แย่งชิงแข่งขันกันว่าใครจะใหญ่กว่ากัน
ใครจะได้ตำแหน่งที่คิดว่าจะเสริมอำนาจและบารมีของตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องการเป็นใหญ่และแฝงด้วยผลประโยชน์แห่งตนและพวกพ้อง
ไม่ต่างอะไรไปจากสาวกคนสนิทของพระเยซูคริสต์เลย!...
(น่าเศร้า)
ชีวิตคริสตชน
เป็นชีวิตที่หยั่งรากลงในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
และพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นข่าวดีก็เพราะว่า วิถีแนวทางชีวิตแห่งข่าวดีของพระคริสต์นั้น
“แตกต่างสวนทาง” กับแนววิถีชีวิตแห่งสังคมโลกนี้
เป็นแนวคิดและความเชื่อที่ “พลิกคว่ำ” กระแสสังคมโลก “ขุดรากถอนโคนหลักคิดหลักเชื่อ” จากกระแสงสังคมโลกปัจจุบันอย่างสิ้นเชิง
เฉกเช่น
เมื่อสาวกโต้เถียงกันว่าใครเป็นใหญ่กว่ากันในพวกเขาบนหลักการแนวคิดตามอิทธิพลของกระแสสังคมโลก(ข้อ
24)
พระเยซูคริสต์ตรัสตำหนิพวกเขาแบบตรงไปตรงมาว่า พวกเขาก็ไม่แตกต่างจากผู้นำ(บ้าอำนาจ)ในสังคมตอนนั้น ต้องการมีอำนาจเหนือคนอื่น ต้องการทำตนให้คนอื่นเห็นว่าตนเป็นผู้มีบารมี และสร้างบุญคุณเหนือคนอื่น
และหาช่องทางที่จะให้คนอื่นเห็นและยอมรับว่าตนนั้นยิ่งใหญ่สำคัญกว่าคนอื่น! (ข้อ 25)
แต่หลักการวิธีคิดและมุมมองของพระเจ้า
ต่างกันอย่างย้ายขั้วเลยทีเดียว
บนวิถีแนวคิดของพระองค์
ผู้ที่ยิ่งใหญ่คือผู้ที่เล็กน้อยถ่อมตน
และคนที่ยอมตนรับใช้คนอื่นคือคนที่สำคัญยิ่งกว่าคนที่ทำตนให้คนอื่นมารับใช้ปรนนิบัติตน
(ข้อ 26)
แต่ค่านิยมตามกระแสสังคมโลก
ผู้คนวิ่งล่าไล่ไขว่คว้าเอา “ตำแหน่ง”
เพราะคิดว่าตำแหน่งจะเอื้อโอกาสแก่เขาที่จะมีอำนาจ ที่จะยิ่งใหญ่
อยู่เหนือคนอื่น
และมีความสำคัญกว่าคนอื่น
บนมาตรฐานวิถีการดำเนินชีวิตแบบพระคริสต์กลับตรงกันข้าม ความยิ่งใหญ่สำคัญมิได้อยู่ที่ “ตำแหน่ง” แต่อยู่ที่การรับใช้ และการที่ใครจะรับใช้ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีตำแหน่ง ทุกคนรับใช้คนรอบข้างได้ด้วยชีวิตที่ตนมีอยู่ ซึ่งเป็นของประทานจากพระเจ้า
ดังนั้น
คริสตชนจะต้องเลือกว่าตนจะเลือกดำเนินชีวิตตามค่านิยมและแนวคิดตามกระแสสังคมปัจจุบันนี้ หรือ
ตัดสินใจที่จะยอมคิดยอมเชื่อตามแนววิถีชีวิตแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ แต่คนที่เรียกตนว่า คริสเตียน
สาวกของพระคริสต์ส่วนหนึ่งก็ยังเลือกวิถีแห่งกระแสโลกนี้ ทั้งนี้ก็เพราะ คนกลุ่มนี้คิดต่างคิดแปลกแยกจากวิถีแนวคิดของพระเจ้า
(อิสยาห์ 55:8)2 คนเรามักคิดเข้าข้างตนเองว่าตนคิดถูก แต่เราต้องตระหนักว่า
พระเจ้าทรงพินิจพิจารณาที่จิตใจ (สุภาษิต 21:2)3 และบ่อยครั้งเป็นการตัดสินใจเลือกอย่างด้อยปัญญา
(สุภาษิต 12:15)4
สำหรับคริสตชนแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นแบบของ
“ผู้นำที่รับใช้” เพราะแม้แต่พระคริสต์
บุตรมนุษย์ พระองค์ประกาศตนว่า พระองค์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาปรนนิบัติรับใช้คนทั้งปวง
และในการรับใช้ของพระองค์เป็นการรับใช้ด้วยชีวิต เป็นการให้ชีวิต เพื่อที่จะให้ผู้คนได้รับชีวิตใหม่ (มัทธิว 20:28) พระองค์สอนสาวกอีกว่า
คนที่ปรารถนาจะเป็นเอกเป็นใหญ่ให้คนนั้นใช้ชีวิตของตนในการเป็นคนรับใช้คนอื่น
(มัทธิว 20:27)
ซึ่งกลับตาลปัตรกับกระแสนิยมแห่งสังคมโลกนี้
พระคริสต์ได้วางแบบอย่างที่ชัดเจนอย่างเป็นรูปธรรมแก่สาวกและคริสตชนทุกคน ก่อนที่จะถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ทรงล้างเท้าสาวกทุกคนรวมถึงคนที่กำลังจะทรยศขายพระองค์แก่คนที่จะต้องการฆ่าพระองค์
และนี่คือแบบอย่างชีวิตที่ยอมรับใช้ด้วยชีวิตที่สาวกจะต้องเอาเป็นเยี่ยงอย่าง
(ยอห์น 13:14)
พระคริสต์ประสงค์ให้สาวกของพระองค์ถ่อมชีวิตจิตใจลงรับใช้ด้วยชีวิตเพื่อให้เกิดชีวิตใหม่
พระองค์ไม่มีพระประสงค์ให้สาวกของพระองค์ห้ำหั่น แย่งชิง แก่งแย่งตำแหน่งผู้อำนวยการ กรรมการอำนวยการ ผู้บริหาร
หรือกรรมการต่าง ๆ ในองค์กรคริสต์ศาสนา
เพื่อตนจะได้อำนาจ ยิ่งใหญ่ สำคัญ และผลประโยชน์ (แต่มักอ้างว่าเพื่อจะมีโอกาสรับใช้ ซึ่งเป็นการอ้างอิงที่ขัดแย้งกับคำสอน หลักคิด
หลักเชื่อที่พระคริสต์ได้ให้แก่เรา)
การรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางประชากรแห่งโลกนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการที่เรามีตำแหน่งอะไรหรือไม่
แต่สำหรับพระคริสต์แล้วการรับใช้พระคริสต์ท่ามกลางชีวิตมวลชนนั้นสามารถกระทำได้ในทุกสถานการณ์โอกาสชีวิต และที่สำคัญกว่านั้นคือ พระคริสต์ประกาศว่า การที่เราใช้ชีวิตรับใช้ผู้เล็กน้อยต่ำต้อยเพียงใดในสังคม เรากำลังรับใช้และปรนนิบัติพระคริสต์ (มัทธิว 25:40)
เปาโล ปราชญ์ในสมัยนั้น
ที่พลิกผันมาหยั่งรากชีวิตของตนในพระกิตติคุณของพระคริสต์ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้รับตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจทำลายพวกสาวกของพระคริสต์ เปาโลได้กล่าวว่า คริสตชนอย่าคิดถือตัวเกินที่ตนควรจะคิด (โรม 12:3) และกล่าวให้สติแก่คริสตชนที่มักใหญ่ใฝ่สูงว่า อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี
แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม (ฟิลิปปี 2:3)
ถ้าวันนี้
เราต้องการที่จะรับใช้พระคริสต์ด้วยความบริสุทธิ์ใจจริง ๆ แล้ว ให้เรารับใช้คนรอบข้างที่เราพบประสบและสัมผัสกับเขาในวันนี้ ด้วยแบบอย่างการรับใช้แบบพระคริสต์ ด้วยความรักที่เสียสละของพระองค์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
*****
11เปโตร 5:5
อมต.
2“เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา” พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
(มตฐ.)
3ทางทุกสายของมนุษย์ก็ถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่พระยาห์เวห์ทรงตรวจดูจิตใจ (มตฐ.)
4ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่คนมีปัญญาย่อมฟังคำแนะนำ (มตฐ.)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น