ฉะนั้นเราจึงไม่ย่อท้อ
ถึงแม้ว่าสภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป
แต่สภาพภายในนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนใหม่ทุก
ๆ วัน
(2 โครินธ์ 4:16 มตฐ.)
วันนี้ผมนั่งคุยกันในกลุ่มคนที่ไม่ได้รับราชการแต่ได้รับเงินเดือนจากรัฐบาลเดือนละหกร้อย/เจ็ดร้อยบาทต่อเดือน มีคนหนึ่งถามขึ้นมาว่า ทุกวันนี้อะไรครองโลก? เพื่อนเราตอบไปต่าง ๆ นานา ตั้งแต่ เทคโนโลยีสมัยใหม่จนถึงอำนาจแห่งวิญญาณชั่ว แต่มีเด็กหญิงอายุประมาณ 12 ปีที่คุณตาพามาด้วยพูดขึ้นว่า “คนแก่”
ใช่! ถ้าคนแก่ครองโลกแล้วโลกนี้จะเป็นอย่างไร?
เมื่อพูดถึงเรื่อง “คนแก่”
ใช่ว่าทุกคนจะมีมุมมองเรื่องนี้เหมือนกัน
แต่ก็พอประมวลขมวดเป็น 3 มุมมองหลักคือ
มุมมองแรก เขามองว่า ความแก่เป็นเรื่องของอายุ กล่าวคือ มองความแก่ตามอายุจำนวนปีเดือนที่เกิดมาในโลกนี้ ถึงกับมีคำกล่าวว่า
“อายุเป็นเพียงตัวเลข”
ตามมุมมองนี้คนเราไม่มีความสามารถที่จะไป “หยุด” การเพิ่มมากขึ้นของอายุ
มุมมองที่สอง มุมมองความแก่ตามสภาพของร่างกายที่เห็น โดยธรรมชาติทั่วไปแล้ว คนที่มีอายุมากขึ้นมักจะมีร่างกายที่เสื่อมโทรม
อ่อนแอลงไปเป็นธรรมดาโลก
เช่นมีคำพูดกันว่า
“เขามาเป็นผู้จัดการได้อย่างไร
ดูซิ แก่จนเดินไม่ไหวแล้ว
หาคนหนุ่มสาวที่แข็งแรงกว่านี้ไม่มีแล้วหรือในวงการของเรา?”
แต่ว่า
บางคนอายุยังไม่เท่าใดแค่ดูหน้าแก่
ผมตกเป็นจำเลยในกรณีนี้ คนรอบข้างมักมองว่าผมแก่กว่าพี่ชาย
หรือ พี่ชายดูหนุ่มกว่าผม
แล้วมักทักผมว่า “ได้พบกับน้องชายยัง
เขามาเชียงใหม่วันนี้นะ?” ใช่ครับ ผมของผมก็หงอก แต่พี่ชายมีผมดกดำ (แต่มีบางคนกระซิบบอกผมว่า พี่เขาย้อมผม) บนใบหน้าของพี่ชายยังไม่มีรอย “ตีนกา”
แต่เพื่อนสนิทของผมเขาบอกว่าผมก็ไม่มีตีนกาเหมือนกัน แต่เป็น “ตีนอีแร้ง”? (นี่กำลังให้กำลังใจกันหรือเปล่าเนี่ยะ?) รวมความว่า
คนเรามักมองกันว่าแก่หรือไม่ด้วยสภาพร่างกายของคน ๆ นั้นที่คนอื่นจะมองเห็นได้
มุมมองที่สาม แก่ไม่แก่มันอยู่ที่ใจ! คนเรามองกันว่าแก่ไม่แก่ขึ้นอยู่ที่สภาพจิตใจของคนนั้นที่มีอิทธิพลแสดงออกในการดำเนินชีวิตประจำวันของเขา
และที่สำคัญมุมมองที่สามนี้สร้างพลังต่อการรู้สึกของคน ๆ นั้นว่าแก่ไม่แก่แค่ไหน!
ขอตั้งข้อสังเกตว่า
การมองความหนุ่มสาวแก่หง่อมตามอายุปฏิทินที่มนุษย์คิดสมมติขึ้น แน่นอนครับเราไปหยุดเวลาตามปฏิทินไม่ได้
แต่ถ้าเราจะใช้มุมมองวัดความแก่ตามสภาพร่างกายแล้ว
ก็ขึ้นอยู่กับว่าคนนั้นเคยใช้ชีวิตและเอาใจใส่สุขภาพร่างกายของตนในอดีตที่ผ่านมามากน้อยแค่ไหน แต่มารู้ตัวอีกทีดูเหมือนว่า
เราจะกลับไปเป็นเหมือนวันเก่าก่อนคงลำบาก
จะย้อนยุคย้อนเวลากลับไปดูแลสุขภาพใหม่ก็ไม่ได้ คนกลุ่มนี้มักรับไม่ได้กับร่างกายที่เสื่อมทรุดโทรมลง ยิ่งกว่านั้น
กลับไปมีจิตใจที่เกาะยึดอยากกลับไปมีชีวิตเหมือนเมื่อยังหนุ่มยังสาว แต่บางคนที่มีอายุและสภาพร่างกาย 80 ปี แต่จิตใจของเขาดูเหมือนเพิ่ง 45 ปี ดูเขาไม่เหมือน “คนแก่”
ถึงแม้คำว่า “คนแก่”
จะมีนัยยะไม่เลวร้ายเท่ากับคำว่า “คนชั่ว”
แต่ในห้วงความคิดและมุมมองของเราส่วนใหญ่ก็ยังมีมุมมองต่อคำว่า “คนแก่”
เอียงไปทางลบอยู่ดี
ไม่ว่าจะแก่หง่อมเงอะงะ
โรคภัยรุมสุม นอนไม่หลับ ผู้คนที่มาสัมผัสสัมพันธ์ด้วยน้อยลง (ไม่เหมือนตอนเป็น
“หมาล่าเนื้อ” ที่มีหน้าที่ตำแหน่งการงาน)
ตาฝ้าฟาง หูตึง หลังค่อม
เดินตุปัดตุเป๋ ฯลฯ แต่เราต้องไม่ลืมคำถามของพระคริสต์ที่ว่า “มีใครในพวกท่านที่โดยความกระวนกระวาย
สามารถต่ออายุของตนให้ยืนนานขึ้นอีกนิดหนึ่งได้” (มัทธิว 6:27 มตฐ.)
แต่เราเคยคิดเคยมองว่า “ยิ่งแก่ชีวิตยิ่งแกร่ง” หรือไม่?
นี่มิใช่กระบวนการ “หลอกตนเอง”
แต่เป็นกระบวนการที่ต้องเปิดใจยอมรับความจริง ยอมรับการฝ้าฟางของตา ความตึงของหู
ความเชื่องช้างุ่มง่ามของร่างกาย
“สภาพภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป”
ต่อให้ใช้เครื่องสำอางของสำนักไหนก็เอาไม่อยู่ เราอาจจะลบรอยตีนกาบนใบหน้าวันนี้ พรุ่งนี้มันก็กลับมาใหม่
แต่จิตใจและจิตวิญญาณภายในเราไม่ได้แก่ไปพร้อมกับอายุและร่างกาย!
การทำงานภายในชีวิตของเราสวนกระแสกับวิธีทำงานของร่างกายภายนอกและเวลาตามปฏิทิน
และที่สำคัญคือ ไม่ควรมี “รอยตีนกา” บนชีวิตจิตวิญญาณของเรา!
แต่ให้ชีวิตจิตวิญญาณภายในของเรา “ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุก ๆ วัน” ฉบับอมตธรรม แปลว่า “แต่จิตใจภายในของเรากำลังฟื้นขึ้นใหม่ทุกวัน”
คิดถึงการเป็นขึ้นจากความตายและมีชีวิตใหม่ของพระคริสต์
นี่ไงครับที่ว่า “ยิ่งแก่ชีวิตยิ่งแกร่ง”
แกร่งเพราะชีวิตในวัยนี้เกิดคุณค่าและความหมายตามพระประสงค์
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น