เช้านี้เป็นเช้าวันอีสเตอร์
เช้าวันที่ระลึกถึงการเป็นขึ้นจากความตายของพระเยซูคริสต์ ผมน่าจะเป็นคริสตชนที่ไม่เอาไหน
(ถ้าวัดตามมาตรฐานของคริสตจักรเก่าแก่แห่งนี้)
ผมนั่งฟังเสียงคนเทศน์ที่ห่างจากที่เขารวมตัวกันสัก 100-150 เมตร ฟังเสียงได้ยินชัด เพราะเขาพูดใส่เครื่องขยายเสียง ทำเหมือนจะประกาศให้คนทั้งหมู่บ้านได้ยิน ผมมีคำถามกวนใจว่า ทำไมคริสเตียนจะต้องเบิ่งตาตื่นนอน
ลุกจากที่นอนตั้งแต่เช้าตรู่
และมาอ้าปากร้องเพลงที่เขามักร้องกันปีละครั้ง
เสียงเทศน์เหมือนเสียงบ่นพร่ำดัง ๆ แต่ดูจืดชืดไม่มีชีวิตชีวา ผมได้ยินว่า...
“อีสเตอร์เป็นเรื่องข่าวดี
เป็นข่าวดีเพราะว่าพระเยซูคริสต์เป็นขึ้นจากความตายในเช้าวันนี้
อำนาจแห่งความตายไม่สามารถที่ครอบงำชีวิตของพระเยซูคริสต์ได้
แต่เราผู้เป็นมนุษย์เราไม่สามารถชนะอำนาจของความตายได้”
ผมถามในใจว่า...
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม...
เกี่ยวกับชีวิตของคนเราด้วยล่ะหรือ?”
เสียงเดิมเหมือนจะตอบคำถามของผม
“แต่ถ้าเรายอมเชื่อในพระเยซูคริสต์ พระองค์จะให้เรามีชีวิตใหม่”
ผมมีคำถามต่อไปว่า
“แล้วผมต้องทำอย่างไรล่ะ?”
แต่ครั้งนี้
คำเทศน์ไม่ได้ตอบคำถามในใจของผม
แต่พูดพร่ำไปว่า เช้าวันนั้นสาวกคนนี้เป็นอย่างนั้น สาวกคนโน้นเป็นอย่างนี้ พูดเหมือนท่องทบทวนหลักข้อเชื่อของพวกคริสเตียนให้ผู้ฟัง
ฟังจนจบผมก็ไม่รู้ว่าแล้วผมจะต้องทำอย่างไรกับชีวิตของผม
ผมหงุดหงิดครับ ผมอุตส่าห์ตื่นก่อนไก่โห่ เพื่อนั่งฟังคำเทศนา แต่คำเทศน์วันสำคัญเช่นนี้กลับไม่ได้ตอบโจทย์ชีวิตของผู้ฟัง แต่กลับยัดเยียดหลักข้อเชื่อให้ผู้ฟังจำ กำลังว้าวุ่นหงุดหงิดใจกับคนเทศน์ พอดีเสียงดังตื่นเต้นจากเสียงคนเดิมนั้นแหละครับ
“เอ้า...เด็ก ๆ
พวกเราทุกคน เริ่มต้นล่าค้นหาไข่อีสเตอร์ที่ซ่อนอยู่ในบริเวณนี้ได้เลยครับ ผมขอบอกว่าปีนี้เราซ่อนไข่ถึง 300 ฟอง
หาให้ได้นะครับแล้วจะได้นำมากินกับข้าวต้นที่แม่บ้านเตรียมไว้... เริ่มได้เลยครับ” เสียงตื่นเต้นมีชีวิตชีวากว่าเสียงเทศน์ และดูเหมือนจะตอบโจทย์ของหลายคนที่เตรียมตัวมาล่าไข่ต้มในเช้าวันนี้
ความคิดผุดขึ้นในสมอง เสียงหนึ่งดังขึ้นในใจว่า “เออ...ใช่ซินะ อีสเตอร์ไข่ซีพี” แต่ผมเถียงเสียงนั้นว่าไม่ใช่ “อีสเตอร์ไข่ซีพีต้ม” เสียงนั้นย้อนถามผมอย่างไม่เกรงใจว่า “แล้วนายว่ามันต่างกันยังไง”
ผมต้องนั่งเงียบคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยเรียบเรียงความคิดความเข้าใจ ตอบเสียงนั้นว่า
“อีสเตอร์เป็นข่าวดีเพราะพระเยซูคริสต์มีชัยเหนืออำนาจแห่งความตาย
พระองค์ไม่ยอมให้ความตายครอบงำชีวิตของพระองค์ครับ” เสียงนั้นสนับสนุนผมว่า “เห็นด้วย...แล้วยังไงอีกล่ะ” ผมต้องตอบอย่างระมัดระวังครับ เพราะฟัง ๆ ไป เสียงนั้นเป็นเหมือนเสียงในใจผมที่ถามนักเทศน์เช้านี้ครับ ผมค่อย ๆ ตอบไปว่า
“แต่ผมต้องการมีพลังที่จะให้มีชีวิตใหม่เหมือนพระเยซูคริสต์ครับ ชีวิตผมถูกครอบงำด้วยอำนาจแห่งความตาย... ผมดูเหมือนมีชีวิตแต่จริง ๆ ข้างในมันตายแล้วครับ” เขาสวนขึ้นมาว่า
“พูดได้ดีนี่
แล้วยังไงต่อ” ผมพูดต่อไปว่า “แต่อีสเตอร์ในเช้าวันนี้ที่เฉลิมฉลองกัน เป็นการเฉลิมฉลองชีวิตที่ดูเหมือนมีชีวิต แต่ข้างในมันตายแล้วครับ” เขาฟังผมเงียบ ๆ ไม่ถามไม่ท้าทายหรือคัดค้านอะไร ผมเลยพูดต่อไปว่า
“พวกเขากำลังเฉลิมฉลองชีวิตคริสเตียนที่ตายแล้ว ชีวิตที่เป็นเหมือนไข่ซีพีครับ ใคร ๆ ก็รู้ว่าไข่ซีพีที่ขายอยู่ในตลาดทุกวันนี้ เอาไปฟักไม่ได้ครับ
เพราะจะไม่ได้ลูกไก่ที่เป็นชีวิตไก่ตัวใหม่ครับ และแย่ยิ่งกว่านั้น ชีวิตของเรานอกจากตายข้างในแล้ว ยังดันถูกเอาไปต้มให้สุกครับ เป็นอันว่าไม่มีโอกาสที่จะฟื้นเลยครับ... มีไว้สำหรับกิน หรือ พูดให้เพราะคือ
บริโภคครับ
เราเป็นคริสเตียนบริโภค...ครับ”
ผมหยุดจังหวะพูดเพื่อเหลือบดูว่าเขาหลับไปยัง ไม่ครับเขาใส่ใจฟังอยู่ ผมเลยพูดต่อไปว่า “ทุกวันนี้เราประกาศข่าวดีที่เป็นไข่ซีพีต้มครับ” ผมหยุดพูด
เสียงเขาดังขึ้นทำลายความเงียบ “ข้าว่านายเป็นคริสเตียนนอกคอกว่ะ...
แล้วนายจะเข้ากับพวกเขาได้อย่างไร?”
เขาถามต่อไปว่า
“ถ้านายไม่ต้องการเป็นคริสเตียนแบบไข่ซีพีต้ม แล้วนายจะเป็นคริสเตียนแบบไหนล่ะ?” ผมตอบพรวดไปว่า
“ผมอยากเป็นคริสตชนแบบไข่ของแม่ไก่บ้านที่กำลังถูกแม่ไก่กกครับ”
ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย สันทราย เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น