13 มิถุนายน 2559

ชีวิตนิรันดร์...ตามความหมายของพระเยซูคริสต์

น่าสังเกตว่า   ผู้เชี่ยวชาญทางธรรมบัญญัติอยากจะรู้ว่า   ตนเองต้องทำอย่างไรบ้างถึงจะได้ชีวิตนิรันดร์  จึงมาถามพระเยซูว่า... “ท่าน​อาจารย์  ข้าพเจ้า​จะ​ต้อง​ทำ​อะไร​เพื่อ​จะ​ได้​รับ​ชีวิต​นิรันดร์?

แต่พระเยซูตอบกลับเขาในสิ่งที่เขาเชี่ยวชาญ คือ... “ใน​ธรรม​บัญญัติ​เขียน​ว่า​อย่างไร? ท่าน​อ่าน​แล้ว​เข้าใจ​อย่างไร?”   ผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติตอบได้อย่างฉะฉานว่า   ถ้าจะได้ชีวิตนิรันดร์เขาจะต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติสำคัญยิ่งสองประการคือ   รักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจ  สิ้นสุดความคิด  สิ้นสุดกำลัง   นั่นหมายความว่าต้องรักพระเจ้าด้วยสิ้นสุดทั้งชีวิตของเขา   และจะต้องรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง   พระเยซูคริสต์ตอบเขาว่า   สิ่งที่เขาว่ามาทั้งหมดถูกต้อง   และถ้าต้องการมีชีวิตนิรันดร์ให้ดำเนินชีวิตตามบัญญัติใหญ่สองประการดังกล่าว  

ในที่นี่พระเยซูคริสต์เน้นว่า  ให้ทำตามสิ่งที่ตนรู้และเข้าใจ!   ความรู้เท่านั้นไม่เพียงพอ  การได้อ่านร้อยครั้งพันรอบ  การท่องจำได้ไม่สามารถมีชีวิตนิรันดร์ได้   แต่การกระทำ หรือ ดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของพระเจ้าที่ทำให้ชีวิตของคน ๆ นั้นได้รับการเปลี่ยนแปลง พัฒนา และเสริมสร้างเป็นชีวิตนิรันดร์

ถ้าต้องการได้ชีวิตนิรันดร์ต้องเป็นชีวิตที่กระทำตามพระบัญญัติ   ไม่ใช่เพียงรู้พระบัญญัติ!   รับบัพติศมาเท่านั้น  ไปโบสถ์วันอาทิตย์เท่านั้น   ฟังเทศน์เท่านั้นไม่เพียงพอ   แต่ชีวิตนิรันดร์คือชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง  พัฒนา  และเสริมสร้างให้เป็นชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้า  คือรักพระองค์ด้วยทั้งชีวิต และ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

โดนคำตอบแบบตรงไปตรงมาของพระเยซูแบบนี้   ท่านผู้เชี่ยวชาญทางธรรมบัญญัติถึงกับเสียหน้า   เพราะเป็นที่รู้กันทั้งประชาชนและสำนึกในตนเองว่า   เขาเชี่ยวชาญในการรู้และใช้ธรรมบัญญัติในการตัดสินคนอื่น   แต่ไม่ได้มีชีวิตที่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ 

เสียหน้าอย่างยิ่งครับ!

แต่ผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติคนนี้ไม่ยอมลดราวาศอก   เขาต้องการรุกคืบเอาชนะพระเยซูบ้าง?   จึงตั้งคำถามว่า  “แล้วใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?”

พระเยซูไม่ตอบโต้นักชำนาญการธรรมบัญญัติคนนั้นด้วยการใช้ตรรกะที่เขาชำนาญ   แต่พระเยซูคริสต์กลับเล่าเรื่องราวของชายสะมาเรียคนหนึ่งแทน   ทั้งนี้เพื่อชาวบ้านสามัญชนจะเข้าใจและเข้าถึงความหมายอย่างลึกซึ้ง   ประเด็นแสนแสบในเรื่องนี้คือ
  • คนที่รักเพื่อนบ้านของตนในเรื่องคือ  ศัตรูคู่อาฆาตที่พวกยิวดูหมิ่น...คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย
  • คนที่เป็น “เพื่อนบ้าน” ที่ต้องการความช่วยเหลือ   กลับเป็นคนยิว  
  • แสบกว่านั้น  คนยิวด้วยกันเองที่มีตำแหน่งสูงทางศาสนา   ที่รู้ว่าควรจะมีชีวิตตามธรรมบัญญัติอย่างไร  ทั้งปุโรหิต และ เลวี กลับหลบเลี่ยง  ข้ามฟากไปเดินเสียอีกฟากหนึ่งของถนน


เรื่องอุปมานี้กลับมาตอกย้ำซ้ำเติมลงที่แผลเดิมในชีวิตคือ  รู้แต่ไม่ยอมทำ!   แต่ที่น่าเจ็บแสบกว่านี้คือ   คนที่เขาเกลียดเหยียดหยามคือชายสะมาเรียกลับเป็นคนที่ “รักเพื่อนบ้าน”  เขารักคนยิวคนนั้นที่ถูกปล้นและถูกทำร้ายจนปางตายด้วยการลงมือกระทำ  ด้วยการช่วยจากสิ่งที่เขามีในเวลานั้น
  • เข้าไปหาคนนั้น  
  • เอา​เหล้า​องุ่น​กับ​น้ำมัน​เท​ใส่​บาด​แผล​
  • เอา​ผ้า​มา​พัน​ให้
  • แล้ว​ให้​เขา​ขึ้น​ขี่​สัตว์​ของ​ตน​เอง​ (ส่วนตนเองกลับลงมาจูงลาที่เป็นพาหนะของตน)
  • พา​มา​ถึง​โรง​แรม และ​ดู​แล​รักษาพยาบาล
  • เอา​เงิน​สอง​เดนา​ริ​อัน​ให้​กับ​เจ้า​ของ​โรง​แรม และ ขอช่วยดูแลคนยิวที่ถูกโจรปล้น
  • กลับมาติดตามดูแลรับผิดชอบจนถึงที่สุด


ขอตั้งข้อสังเกตว่า   ชายสะมาเรียที่รักเพื่อนบ้านที่เป็นยิว   เป็นการ “รักเพื่อนบ้าน”  ในชีวิตประจำวัน   ในเวลาที่กำลังทำกิจธุระ/อาชีพในแต่ละวัน   ไม่ใช่รักเพื่อนบ้านด้วยการทำโครงการการประกาศฯ   ไม่ใช่รักเพื่อนบ้านเพราะเราได้รับการสนับสนุนทุนจากแหล่งทุน   ชายสะมาเรียเขาใช้ทรัพยากรที่เขามีในการช่วยเหลือเพื่อนบ้านชาวยิวที่ปางตายคนนั้น   และ ที่สำคัญประการหนึ่งคือ   การรักเพื่อนบ้านคือการรับใช้เพื่อนบ้าน   ในเรื่องนี้ชายสะมาเรียยอมลงจากหลังลาของตนเอง   แล้วให้ชายยิวนั่งบนหลังลา   และตนจูงลานั้นเข้าเมืองจนถึงโรงแรม   เขารักเพื่อนบ้านชาวยิวคนนี้ด้วยการยอมถ่อมรับใช้ชาวยิวที่ปางตาย

ประการสุดท้าย   การรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง   เริ่มต้นที่มีใจเมตตา   เริ่มจากการเกิดใจสงสาร (ข้อ 33, 37)   ทำให้ระลึกถึงคำสอนของพระคริสต์ที่ว่า   “พวก​ท่าน​จง​เป็น​คน​ดี​พร้อม เหมือน​อย่าง​ที่​พระ​บิดา​ของ​ท่าน ผู้​สถิต​ใน​สวรรค์​ทรง​ดี​พร้อม (ข้อ 48)...ที่ทรง​ให้​ดวง​อาทิตย์​ของ​พระ​องค์​ขึ้น​ส่อง​สว่าง​แก่​คน​ดี​และ​คน​ชั่ว​เสมอ​กัน และ​ให้​ฝน​ตก​แก่​คน​ชอบ​ธรรม​และ​คน​อธรรม” (ข้อ 45)

แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ   พระเยซูคริสต์ตรัสว่า ท่าน​จง​ไป​ทำ​เหมือน​อย่าง​นั้น”

พระคริสต์ตรัสกับเราแต่ละคนว่า  ท่าน​จง​ไป​ทำ​เหมือน​อย่าง​นั้น” ในวันนี้   ท่ามกลางงานชีวิตประจำวัน   และด้วยสิ่งที่ท่านมีอยู่   ด้วยใจเมตตา   และนี่คือจุดเริ่มต้นของชีวิตนิรันดร์   ด้วยชีวิตที่รักพระเจ้าทั้งชีวิต และ รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.barnabus@gmail.com
081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น