26 กันยายน 2553

แปดเปื้อนคนอื่นโดยไม่ตั้งใจ

44วิบัติแก่พวกท่าน เพราะว่าท่านเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ไม่ปรากฏให้เห็น และคนก็เดินเหยียบอยู่บนนั้นโดยไม่รู้เรื่อง” 45ผู้เชี่ยวชาญบัญญัติคนหนึ่งทูลพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ การที่ท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็ติเตียนเราด้วย” (ลูกา 11:44 TBS02b)

การที่พระเยซูคริสต์ตำหนิ กล่าวหา ผู้นำทางศาสนาว่า เป็นผู้ที่นำประชากรของพระเจ้าให้หลงออกจากทางแห่งพระเมตตา กรุณา และทางแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า แทนที่พวกเขาจะขอบพระคุณพระเจ้าที่ทรงใช้เขาให้ร่วมในพระราชกิจของพระองค์ และรับใช้พระองค์ด้วยน้ำใสใจจริงและด้วยความสัตย์ซื่อจริงใจ แต่กลับไปภูมิอกภูมิใจ หยิ่ง ยโส และจองหองที่ตนมีอำนาจในการปกครอง มีอำนาจบริหารจัดการในสังคม ชุมชน และศาสนจักรในเวลานั้น

ดังนั้น พระเยซูจึงได้เปิดโปงสภาพเช่นนี้ของพวกเขา และเปรียบพวกเขาว่าเป็นเหมือน “หลุมฝังศพ” ที่มองไม่เห็น ในศาสนายิวศพเป็นสิ่งที่สกปรก ดังนั้น หลุมฝังศพจึงเป็นที่ที่อาจจะทำให้คนที่ไป“สัมผัส” ด้วย ต้องสกปรก ด่างพร้อย เสียความบริสุทธิ์ในชีวิตจิตวิญญาณของตน ดังนั้น ผู้คนจึงหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้ หรือ ถูกต้องสัมผัสกับอุโมงค์ฝังศพ แต่พระเยซูคริสต์กล่าวชัดเจนลงไปเลยว่า พวกผู้นำศาสนาเหล่านี้เป็นเหมือนหลุมฝังศพที่มองไม่เห็น ที่ทำให้จิตวิญญาณของประชากรของพระเจ้า ต้องแปดเปื้อน ต้องติดเชื้อ ของความผิดบาปซึ่งประชาชนส่วนใหญ่มิได้ตระหนัก และ ระมัดระวังตัวในเรื่องนี้ พระเยซูคริสต์ได้ตำหนิแบบตรงไปตรงมาว่า แท้จริงแล้วผู้นำศาสนาคือผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณของประชาชนได้ ละทิ้ง และ บิดเบือนการนำทางจิตวิญญาณด้วยการใช้อำนาจการนำแบบ “การเมือง” เพื่อสร้างอำนาจแห่งตน ซึ่งผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณเช่นนี้เป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อสัมพันธภาพกับพระเจ้า ทั้งตัวเขาเองและของประชาชนที่เขานำด้วย

คำตรัสและคำต่อว่าของพระเยซูคริสต์มิได้ทำให้ผู้ฟังเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมภายนอกที่พวกเขาแสดงออก หรือ เปลี่ยนแปลงการดำเนินชีวิตประจำวันทันที จากพระธรรมตอนนี้ บาเรียนหรือผู้เชี่ยวชาญทางธรรมบัญญัติรู้ชัดทันทีว่าที่พระเยซูคริสต์ตรัสเช่นนั้น จริงๆ แล้วทรงหมายความว่าอะไร และคำตรัสนั้นมิได้เป็นคำยกย่องพวกเขาแน่นอน แต่เขารู้ชัดว่าคำตรัสนั้นกำลังตำหนิ กล่าวหา ต่อว่าพวกเขาในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณ และเขาก็กล่าวตอบพระเยซูเช่นนั้นว่า “ท่านอาจารย์ การที่ท่านพูดอย่างนั้น ท่านก็ติเตียนเราด้วย” (ข้อ 45 TBS02b) แต่การทรงตำหนิของพระคริสต์ด้วยสัจจะความจริงนั้นช่วยทำให้พวกเขาสามารถเห็นถึงความผิดหรือสิ่งที่ผิดในตัวเขา ซึ่งเป็นเหมือนการฉายแสงสว่างเข้าไปเพื่อที่จะมองเห็นส่วนที่มืดมิดที่ซ่อนเร้นอยู่ เมื่อใดก็ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้ามีพระประสงค์ที่จะเข้าไปมีส่วนในชีวิตของคนใดคนหนึ่งนั้น สิ่งที่พระองค์ทรงเข้าไปมีส่วนจะท้าทายชีวิตของคนๆ นั้น เพราะความชอบธรรมไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชีวิตของคนหนึ่งคนใด จนกว่าเจ้าตัวจะพบและรู้ตัวว่าตนเป็นคนผิด เป็นคนไม่ชอบธรรม แล้วยอมรับสารภาพ และตัดสินใจกลับใจเสียใหม่

เมื่อพระเจ้าทรงท้าทายเรานั้น พระองค์ทรงตำหนิความยโส ความภาคภูมิใจในตนเองที่เรามีในตัวของเรา การที่พระเจ้าทรงกระทำเช่นนี้ต่อเรา มิใช่พระองค์ต้องการที่จะเป็นปรปักษ์ เป็นศัตรู หรือต้องการต่อต้านจิตวิญญาณของเรา แต่พระองค์ต้องการให้เราสารภาพ ยอมรับความจริง ซึ่งจะนำไปสู่ชีวิตที่ได้รับการทรงเปลี่ยนแปลง อย่างไรก็ตาม ถ้าเราต่อต้านการทรงตำหนิกล่าวหาของพระองค์ เรากำลังต่อสู้กับพระเจ้า

ในฐานะที่เราหลายคนเป็นผู้นำในครอบครัว ในคริสตจักร ในธุรกิจการงาน หรือในส่วนของผู้นำทางการปกครอง การเมืองนั้น เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบเป็นพิเศษที่จะนำสัจจะความจริงเข้ามาถึงชีวิตของผู้คนที่เรารับผิดชอบ และที่สำคัญเป็นพิเศษคือ ต้องไม่นำสิ่งที่จะทำให้ชีวิต ความนึกคิด และจิตวิญญาณของผู้ที่เรารับผิดชอบมาสัมผัสกับสิ่งที่ทำให้ชั่วร้าย ผิดพลาด ด่างพร้อยในชีวิต ความคิดและจิตวิญญาณของเขา ทำให้ผู้คนที่ตนรับผิดชอบต้องหลงจากทางแห่งความหวังในแผ่นดินของพระเจ้า ทางแห่งพระคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า

ดังนั้น ถ้าพระวจนะสองข้อนี้ได้ทำให้เกิดแสงสว่างภายในชีวิตจิตวิญญาณของเรา ช่วยให้เรามองเห็นบางสิ่งบางประการในชีวิตของตน โปรดอย่าต่อต้านการทรงตำหนิ กล่าวว่าของพระองค์ แต่ขอให้เราได้ถ่อมใจลง สารภาพ เข้าไปพักใน “อ่าว” หลบภัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อหลีกลี้จากพายุที่รุนแรงวุ่นวายที่มีความมืดซ่อนเร้นอยู่ในขณะนี้ อย่างน้อยที่สุดก็จะช่วยให้เราได้หยุดทำให้ผู้คนในความรับผิดชอบของเราต้องสกปรกเปรอะเปื้อนอีกต่อไป

ชีวิต ความนึกคิด และจิตวิญญาณของคนบาปกระหายและต้องการทรงวิพากษ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ดั่งกษัตริย์ดาวิดอธิษฐานทูลขอต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า
23ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์และทรงทราบจิตใจของข้าพระองค์
ขอทรงลองข้าพระองค์และทรงทราบความคิดของข้าพระองค์
24และทอดพระเนตรว่ามีทางชั่วใดๆ ในข้าพระองค์หรือไม่
และขอทรงนำข้าพระองค์ไปในมรรคานิรันดร์ (สดุดี 139:23-24)
จำเป็นอย่างยิ่งที่เราแต่ละคนจะต้องมีสัมพันธภาพที่ถูกต้องกับองค์พระผู้เป็นเจ้า
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฐานะที่เราต้องเป็นผู้นำ
ต้องไม่ทำให้เขาเหล่านั้นที่เรารับผิดชอบต้องด่างพร้อยแปดเปื้อนเพราะการนำของเรา

ในวันนี้ ขอให้แสงสว่างแห่งองค์ผู้เป็นเจ้าโปรดฉายส่องเข้าในชีวิตภายในของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน “จุดมืด” “จุดด่างพร้อย” ที่ซ่อนเร้นอยู่ในชีวิตของเรา

เพื่อเราจะพบความจริง
เพื่อเราจะถ่อมลงและสารภาพ และขอให้พระเจ้าทำงานในชีวิตของเรา
เพื่อเราจะได้รับชีวิตใหม่
เพื่อเราจะกลายเป็นผู้นำพระพรไปถึงคนรอบข้าง

ขอพระเจ้าโปรดช่วยให้เราสามารถเห็นชีวิตตนเองอย่างที่พระองค์ทรงเห็น
รับการทรงชำระจากพระองค์เพื่อให้พระองค์ทรงใช้เราได้อีกครั้งหนึ่งในแผ่นดินของพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น