13 กันยายน 2553

พระเจ้าทรงเรียก

เมื่อพระเจ้าทรงเรียก พระองค์ทรงเรียกทุกอย่างที่เราเป็น และทุกอย่างที่เราทำ

ครั้งหนึ่ง ได้มีชายคนหนึ่งมาถามมาร์ติน ลูเธอร์ว่า เขาจะรับใช้พระเจ้าได้อย่างไร
มาร์ติน ลูเธอร์ ถามเขาว่า “ท่านทำงานอะไรอยู่ในตอนนี้?”
ชายนั้นตอบว่า “ผมเป็นช่างทำรองเท้าครับ”
ชายคนนั้นแปลกใจกับคำตอบที่เขาได้รับจากลูเธอร์ว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านจงทำรองเท้าที่มีคุณภาพ และมีราคาที่เป็นธรรม”
ลูเธอร์ไม่ได้บอกชายคนนั้นว่า “ให้ทำรองเท้าคริสเตียน” และก็ไม่ได้บอกเขาว่า “เลิกทำรองเท้าแล้วออกมาเป็น “คนรับใช้ของพระเจ้า””

ในฐานะคริสเตียน เราสามารถรับใช้พระเจ้าในอาชีพการงานที่หลากหลาย
เราไม่ได้มีเส้นขีดแบ่งว่าอาชีพการงานใดที่เป็นงานรับใช้และงานใดที่ไม่รับใช้พระเจ้า หรือ
เราก็ไม่ได้แบ่งว่า อาชีพการงานใดเป็นงานฝ่ายจิตวิญญาณ อาชีพใดที่มีคุณค่า หรือ ด้อยค่า
แต่เมื่อพระเจ้าทรงเรียกเราในอาชีพการงานใด เราจะกระทำงานการงานนั้นด้วยอย่างเต็มใจและเต็มกำลัง
เพื่อการทำงานนั้นทำให้พระเจ้าได้รับเกียรติและการสรรเสริญ
การทำงานตามการทรงเรียก คือการทำงานที่มีแรงกระตุ้นจูงใจ เป้าหมาย และมีคุณภาพมาตรฐานเพื่อพระเจ้าได้รับการสรรเสริญจากการทำงานของเรา

ภายนอก อาชีพการงานของคริสเตียน และ ผู้ไม่ได้เป็นคริสเตียนอาจจะดูไม่เห็นความแตกต่าง
กล่าวคือ อาจจะมีอาชีพที่เหมือนกัน คนกวาดถนน ครู-อาจารย์ พยาบาล นักคอมพิวเตอร์ ฯลฯ
แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ แรงจูงใจ เป้าหมาย ของการทำงานที่จะไม่เหมือนกัน และ
นี่เป็นพลังที่ทำให้เกิดความแตกต่างของงานที่ทำและผลที่เกิดขึ้นกับคนต่างๆ ที่ได้รับผลจากงานที่ทำนั้น

การทำงานของคริสเตียนที่ได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า
เขามีแรงกระตุ้นจูงใจที่ชัดเจนว่า เขามิได้ทำอาชีพการงานเพื่อตนเองจะอยู่รอด ได้เกียรติ ผลประโยชน์ส่วนตัว หรือเพื่อผลประโยชน์ด้านจิตวิญญาณของตนเองเท่านั้น
เมื่อเราได้รับการทรงเรียก การงานที่เราทำนั้นไม่สามารถแยกตนเองออกออกจากประชาชน สถานการณ์ของโลก หรือสิ่งที่กำลังเป็นไปในโลกนี้
เมื่อเราได้รับการทรงเรียก เราอาจจะกระทำการงานด้วยตระหนักสำนึกทั้งความคิดและจิตวิญญาณของเราที่ชัดแจ้งแตกต่างจากเดิม แต่มิใช่การแยกตัวออกจากโลกนี้
เมื่อเราได้รับการทรงเรียก พระคริสต์ประสงค์ครอบครองทุกตารางนิ้วในชีวิตของเรา ครอบครองทุกส่วนทั้งสิ้นในชีวิต จนเราไม่สามารถอ้างว่า ส่วนนี้เป็นชีวิตส่วนตัวของฉัน

แต่บ่อยครั้งนัก ที่ผู้นำคริสตจักรขีดเส้นให้ “การทรงเรียก” คับแคบลงอย่างเห็นได้ชัด
เราจำกัด “การทรงเรียก” เพียงงานรับใช้ในคริสตจักร ไม่ว่าการดูแลเด็กรวีฯ, ครูคริสเตียนศึกษา, การทำความสะอาดโบสถ์, การนำนมัสการ, การสอนเพลงสอนพระคัมภีร์, การเทศนา, การอภิบาล
คริสตจักร หรือ ผู้นำคริสตจักรต้องช่วยให้ผู้เชื่อในชุมชนของตนเข้าใจและมองเห็นการทรงเรียกของพระเจ้าที่กว้างไกลกว่านี้ มิใช่ย่นย่อ ลดขอบเขตการรับใช้พระเจ้าด้วยของประทานฝ่ายจิตวิญญาณในชุมชนคริสตจักรเท่านั้น
ที่ผ่านมา คริสตจักร “สอบตก” ที่จะช่วยให้สมาชิกเข้าใจและมองเห็นว่า การทรงเรียกของพระเจ้านั้น พระองค์ประสงค์ทั้งชีวิตของเขา ทุกสิ่งในชีวิตของเขา และทุกการงานที่เขากระทำงานในชีวิต ที่จะกระทำทั้งในชุมชนคริสตจักร และท่ามกลางชีวิตประชาชนในสังคมอีกด้วย

น่าสังเกตว่า ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 20 ที่มีผู้มาเป็นคริสเตียนจำนวนเพิ่มมากขึ้น มีคริสเตียนในหลายอาชีพการงานที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นศิลปินในแขนงต่างๆ แพทย์ นักกฎหมาย นักธุรกิจ เจ้าของกิจการขนาดใหญ่ ฯลฯ แต่น่าสังเกตว่า ชีวิตของคริสตจักรไม่มีพลังหรือผลกระทบต่อชีวิตของสังคมโลก มีผู้ให้เหตุผลว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะคริสเตียนในยุคนี้มิได้อยู่ในที่ที่พวกเขาควรจะอยู่

การทรงเรียก คือการที่พระเจ้าทรงเรียกเราแต่ละคนเพื่อพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ประสงค์ที่จะใช้ทุกอย่างที่เราเป็น ทุกงานที่เราทำ แล้วทุ่มเททุกอย่างทั้งชีวิตนี้ถวายแด่พระองค์ด้วยการขับเคลื่อนไปสู่เป้าประสงค์ของพระองค์ แต่เมื่อคริสเตียนจำกัดลดทอนการทรงเรียกของพระเจ้าเหลือแค่งานในชุมชนคริสตจักร คริสตจักรจึงขาดการเสริมสร้างสมาชิกของตนที่จะประยุกต์สำแดงความเชื่อศรัทธาของตนในทุกอย่างที่ทำ และในทุกที่ที่เขาอยู่

เพราะพระเจ้าทรงสร้างประชาชน สถานที่แห่งหนต่างๆ และสรรพสิ่งต่างๆ แต่เพราะอำนาจแห่งความชั่วร้ายที่เข้ามาทำให้คนและสรรพสิ่งที่ทรงสร้างต้องตกอยู่ใน “กงเล็บ” ของมาร พระเจ้ามีพระประสงค์ในการกอบกู้ประชาชนและวิถีการดำเนินชีวิตของเขาโดยทางพระคริสต์
พระองค์มิได้มีพระประสงค์จะกอบกู้สภาพสิ่งแวดล้อมให้กลับสู่สภาพเดิมแห่งการทรงสร้างเท่านั้น แต่พระองค์ประสงค์กอบกู้นักสิ่งแวดล้อมด้วย
พระองค์มิได้มีพระประสงค์เพียงแค่กอบกู้นักกฎหมายเท่านั้น แต่พระองค์ประสงค์จะกอบกู้กฎหมายที่ใช้ในสังคมโลกให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ด้วย
พระองค์มิได้มีพระประสงค์เพียงแค่กอบกู้นักการเมืองเท่านั้น แต่พระองค์ประสงค์จะกอบกู้ระบบการเมืองที่เสริมสร้างสันติสุขตามพระประสงค์ของพระองค์
พระองค์มิได้มีพระประสงค์จะกอบกู้ผู้คนในคณะรัฐบาลเท่านั้น แต่พระองค์มีพระประสงค์กอบกู้ระบบการปกครองที่มีศานตินิรันดร์ตามพระประสงค์ของพระองค์
(กรุณาอ่าน อิสยาห์ 9:6-7)

เปาโลกล่าวว่า
20ให้ทุกคนอยู่ในฐานะที่เขาอยู่ เมื่อพระเจ้าทรงเรียกนั้น... 24ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านทุกคนดำรงอยู่ในฐานะอันใดเมื่อพระเจ้าทรงเรียก ก็ให้ผู้นั้นอยู่กับพระเจ้าในฐานะนั้น (1โครินธ์ 7:20, 24)

เมื่อเราทำเช่นว่านี้ เราก็จะเป็นเครื่องมือของพระองค์ที่จะทำให้บรรลุในการปฏิรูปสังคมนี้ตามที่พระองค์ทรงมอบหมาย เพื่อให้เป็นสังคมที่น่าอยู่ ชื่นชม เพื่อพระสิริของพระองค์

ดังนั้น
พระเจ้าทรงเรียกศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักร เพื่อสอนและเสริมสร้างคนในคริสตจักรที่จะเรียนรู้ เข้าใจ ว่าแต่ละคนจะมีประสิทธิภาพในการกระทำภารกิจการงานตามการทรงเรียกของพระเจ้าในสังคมโลก ด้วยทั้งชีวิตที่เขาเป็น และทุกอย่างที่เขาทำ เพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์

นี่คือการทรงเรียก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น