28 กันยายน 2553

ขอให้รอดพ้นจากอำนาจที่กดขี่

46พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่ท่านด้วยพวกผู้เชี่ยวชาญบัญญัติ เพราะท่านเอาของที่หนักเหลือรับให้มนุษย์เป็นคนแบก แต่ตัวพวกท่านเองกลับไม่ช่วยยกเลยแม้แต่นิ้วเดียว”
(ลูกา 11:46 TBS02b)

คริสเตียนไทยปัจจุบันมีหลายรูปแบบความเชื่อ โดยเฉพาะหลักแก่นความเชื่อของบางคนยังยึดติดกับการปฏิบัติตามกฎระเบียบต่างๆ ขององค์กรศาสนาที่ตนเชื่อ บ้างก็ยังยึดมั่นในความเชื่อการกระทำดีกับการกระทำชั่ว และยังเชื่อว่าควรที่จะกระทำดีให้มากกว่าการกระทำชั่ว

ในสมัยของพระเยซูคริสต์ ประชาชนถูกสอนให้เชื่อว่าแต่ละคนจะต้องปฏิบัติตามบทบัญญัติและประเพณีปฏิบัติของศาสนายิวอย่างเคร่งครัดเขาถึงจะเป็นผู้ที่พระเจ้ารัก และประชาชนจำนวนมากที่เพียรพยายามปฏิบัติตามให้สมบูรณ์ที่สุด ผู้นำศาสนาในสมัยนั้นมุ่งที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ให้คนทำตามเพื่อเป็นตัวบ่งชี้ว่าเป็นคนที่ชอบพระทัยของพระเจ้า แต่กฎระเบียบเหล่านั้นเป็นภาระอันหนักอึ้งที่ประชาชนจะต้องแบกรับและทำตามยาก ที่แต่ละคนจะปฏิบัติตามจนครบสมบูรณ์ได้

พวกบาเรียน หรือ ผู้ชำนาญทางบัญญัติ กำหนดข้อปฏิบัติต่างๆ ขึ้นเพื่อที่จะ “ชี้นิ้ว” มีอำนาจในการควบคุมผู้ที่เชื่อในเวลานั้น ทำให้ประชาชนต้องตกอยู่ใต้การเป็นทาสแห่งกฎระเบียบปฏิบัติที่พวกเขาสุมหัวคิดขึ้น โดยพวกบาเรียนเองมิได้ช่วยประชาชนแม้แต่น้อย ดังนั้น พระเยซูคริสต์จึงกล่าวตำหนิต่อว่าพวกเขาว่าได้แต่ “ชี้นิ้ว” ให้ประชาชนปฏิบัติ พวกบาเรียนจึงไม่รู้ซึ้งถึงความทุกข์ยากลำบากที่ประชาชนต้องแบกรับปฏิบัติตามกฎระเบียบเหล่านั้น และไม่มีทีท่าที่จะยอมร่วมทุกข์และเคียงข้างช่วยเหลือประชาชน

แต่สำหรับพระคริสต์แล้ว พระองค์รู้อยู่เต็มอกว่าไม่มีใครที่จะสามารถมีชีวิตที่สัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างถูกต้องด้วยตนเองได้ ประชาชนต้องการ “ผู้ที่จะช่วยกอบกู้” ชีวิตของเขา และนี่คือพระราชกิจที่พระองค์ทรงรับผิดชอบ ซึ่งพระองค์ตรัสอย่างชัดเจนในเรื่องนี้ว่า 28บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา” (มัทธิว 11:28-30 TBS02b)

นี่คือความแตกต่างระหว่างพระเยซูคริสต์กับผู้นำทางศาสนา พระองค์ไม่ยอมใช้ตำแหน่งผู้นำศาสนาสร้างอำนาจ และ บารมีของตนเอง บนความทุกข์ยากและความสิ้นหวังของประชาชน เพื่อที่ตนจะสามารถควบคุมความเป็นไปขององค์กรศาสนา ตรงกันข้าม พระเยซูคริสต์กลับประกาศว่า ที่พระองค์อยู่ในโลกนี้ก็เพื่อที่จะช่วยคนที่ทุกข์ยาก คนที่ถูกทอดทิ้ง คนที่ถูกกดขี่ คนที่ถูกเอารัดเอาเปรียบ คนที่ตกลงในกับดักของความบาปชั่ว เพื่อจะทรงไถ่ถอนช่วยกู้ประชาชนเหล่านี้ให้ออกจากอำนาจแห่งความผิดบาป และมอบชีวิตนิรันดร์แก่เขา ด้วยเหตุนี้จึงเรียกว่า “ข่าวดีของพระเยซูคริสต์” พระองค์ทรงประกาศว่า

18พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า(หมายถึง พระเจ้า) สถิตกับข้าพเจ้า
เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน
พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย
ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก
ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ 19และ
ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ลูกา 4:18-19)

พระเยซูคริสต์มาเพื่อจะรักและรับใช้ พระองค์มาเพื่อที่จะปลดปล่อยประชาชนให้ได้รับความเป็นไทในความรักและการเอาใจใส่ของพระองค์ และนี่คือพันธกิจที่พระองค์ทรงมอบหมายให้เราแต่ละคนกระทำด้วยความรับผิดชอบ ให้เราเลิกที่จะใช้อำนาจในการตัดสินและพิพากษาคนอื่นโดยอ้างกฎเกณฑ์และบทบัญญัติแต่ปราศจากจิตใจที่รักเมตตากรุณาแบบพระคริสต์ พระองค์มิได้มาเพื่อจะตัดสินพิพากษาและลงโทษ แต่พระองค์มาเพื่อที่จะช่วย กอบกู้ ไถ่ถอน ชีวิตมนุษย์ทั้งหลายด้วยชีวิตและด้วยความรักที่เสียสละของพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น