05 ตุลาคม 2553

ก้าวสู่คริสตจักรคนรับใช้

หลายคนในคริสตจักรปัจจุบันนี้ มักจะมีมุมมองเรื่องชุมชนและภาวะผู้นำที่คับแคบและตายตัว และมักมองว่าชุมชนคริสตจักรเป็นเป้าหมายในตัวของมันเอง ดูเหมือนจะลืมไปว่าที่คริสตจักรตั้งอยู่และมีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบันนี้ก็เพื่อที่จะรับใช้โลกทั้งใบนี้

เวลาเราพูดถึงชุมชนคริสตจักรเรามักคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นหรือกิจกรรมที่ทำกันในวันอาทิตย์เท่านั้น บ่อยครั้งที่เราปล่อยปละละเลยยอมให้ภาพของ “วันอาทิตย์” ในคริสตจักร มาควบคุมครอบงำภาพจริงๆ ที่กว้างไกลของชีวิตและพันธกิจของคริสตจักร แท้จริงแล้ว คริสตจักรก็คือท่าน ข้าพเจ้า และพวกเราทุกคนที่นำเอาพระประสงค์แห่งแผ่นดินของพระเจ้าไปบ่มเพาะให้เกิดชีวิตขึ้นในทุกที่ที่เราอยู่ ในทุกที่ที่เราทำงาน ในทุกที่ที่เราสนุกสนาน ในชีวิตประจำวันทุกวันที่เราประสบพบเจอ

ด้วยการที่เราสนิทสนมเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ เราจะรู้สึกมั่นใจในชีวิตที่ก้าวไปด้วยภาวะผู้นำในตัวเราแต่ละคน กล่าวคือด้วยความรักแบบพระคริสต์นั้นต้องการที่จะช่วยให้คนรอบข้างที่เราพบเห็นเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ สำคัญ และมีคุณค่า (ซึ่งแตกต่างและตรงกันข้ามกับการวิพากษ์ลดทอน และ การเหยียบย่ำให้คนอื่นด้อยค่าลงให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพื่อจะเป็นการยกตนเองให้สำคัญและมีคุณค่ามากขึ้น บนการถูกเหยียดหยามของคนอื่น) นี่เป็นสิ่งใหม่อย่างสิ้นเชิงสำหรับสังคมชุมชนมนุษย์ และนี่คือสิ่งที่ควรเกิดขึ้นเป็นจริงและเป็นรูปธรรมในชุมชนคริสตจักรไทยปัจจุบัน

สิ่งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในชุมชนคริสตจักรได้นั้น แต่ละคนจะต้องเปลี่ยนมุมมอง หรือ กระบวนทัศน์ใหม่ เปลี่ยนจากมุมมองที่ผู้นำ หรือ คนที่ต้องการเป็นผู้นำด้วยการสร้างความเด่นดัง สำคัญ และคุณค่าแก่ตนเอง เพื่อสร้างความเหมาะสมชอบธรรมแก่ตนเองที่จะเป็นผู้นำ ไปสู่มุมมองใหม่ กระบวนทัศน์ใหม่ตามพระเยซูคริสต์คือ ใครที่ต้องการเป็นใหญ่ให้คนนั้นเป็นคนรับใช้ เสริมสร้าง สนับสนุนผู้คนรอบข้างให้มีชีวิตที่สำคัญ มีคุณค่า และสร้างเสริมประโยชน์แก่กันและกันในชุมชนคริสตจักร

มุมมอง และ กระบวนทัศน์แบบพระคริสต์เช่นนี้ ผู้นำคริสตจักรจะต้องบ่มเพาะ ฟูมฟัก ให้เกิดขึ้นแพร่กระจายฝังลึกลงในชีวิตของแต่ละคน(เริ่มต้นที่ตนเองก่อน) เพื่อสมาชิกแต่ละคนจะกลายเป็นผู้นำที่มุ่งรับใช้เพื่อเสริมสร้างคุณค่า ความสำคัญ ความดีเด่นแห่งแผ่นดินของพระเจ้าในแต่ละคนด้วยความรัก เมตตา และเสียสละเยี่ยงพระคริสต์

ขอย้ำเตือนในที่นี้ว่า ภาวะผู้นำแบบคนรับใช้ที่กล่าวนี้ มีความสำคัญมากมายเหนือกว่าเรื่องทฤษฎีการบริหารจัดการที่ทันสมัยในปัจจุบันนี้ เพราะนี่มิใช่หลักการความรู้เท่านั้น แต่การมีภาวะผู้นำแบบคนรับใช้นี้เป็นสิ่งที่จะต้องบ่มเพาะ ปลูกฝัง ฟูมฟักให้เจริญเติบโตขึ้นในแต่ละตัวคน

การปลูกฝังที่สำคัญคือการติดสนิทกับพระคริสต์ ซึมซับเอาความรักที่เสียสละ น้ำพระทัยที่ทรงต้องการเสริมสร้างคุณค่าความสำคัญของคนเล็กคนน้อย และพระประสงค์ที่จะนำมาซึ่งชุมชนแห่งแผ่นดินของพระเจ้าตามน้ำพระทัยของพระบิดาให้เกิดขึ้นเป็นจริงในปัจจุบันนี้

เมื่อน้ำพระทัยแห่งการรับใช้ด้วยความรักที่เสียสละและน้ำพระทัยที่จะเสริมสร้างผู้อื่นถูกแผ่กระจายบ่มเพาะ ฟูมฟัก ในผู้คนต่างๆ ที่มีความแตกต่างหลากหลาย น้ำพระทัยแบบพระคริสต์ก็ถูกส่งต่อออกไปจากคนต่างๆ เหล่านี้ ผ่านศักยภาพความสามารถที่หลากหลายมากมายของคนเหล่านั้นที่มีน้ำพระทัยแบบพระคริสต์ เป็นอันว่า ภาวะผู้นำแบบคนรับใช้ได้เกิดขึ้นมากมายหลายคนและร่วมกันทำงาน มิใช่มีเพียงคนสองคนที่เป็นผู้นำที่เด่นดังขึ้นมาเท่านั้น เพราะเพียงผู้นำคนสองคนไม่พอสำหรับการเสริมสร้างและการขยายชุมชนคริสตจักรที่มีชีวิตตามกระบวนชีวิตแบบแผ่นดินของพระเจ้า แต่ภาวะผู้นำแบบพระคริสต์จะเกิดขึ้นในคนต่างๆ หลากหลายศักยภาพ เพื่อร่วมกันรับใช้พระราชกิจในแผ่นดินของพระเจ้า และนี่คือข่าวดีของพระเยซูคริสต์สำหรับคริสตจักรของพระองค์

สำหรับคริสเตียนแตกต่างจากความเชื่อแบบศาสนายิว เพราะในพระเยซูคริสต์เราไม่จำเป็นต้องมีคนกลางอีกต่อไป ทุกคนเป็น “ปุโรหิต” ที่สามารถติดต่อสัมพันธ์และติดสนิทกับพระเจ้าโดยตรงด้วยตัวของผู้เชื่อแต่ละคน ไม่ต้องผ่านศิษยาภิบาล ศาสนาจารย์ หรือคนในตำแหน่ง หรือ สมณศักดิ์ใดทั้งสิ้น แต่เรากลับต้องร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะน้ำพระทัยของพระคริสต์ต้องการให้เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และรับใช้ เสริมสร้าง สนับสนุนกันและกันในคริสตจักร แล้วคริสตจักรมีผู้ปกครอง ศิษยาภิบาล ผู้ช่วยศิษยาภิบาล และศาสนาจารย์ไปทำไมล่ะ? ท่านเหล่านี้พระเจ้าทรงเรียกให้มาอยู่ในฐานะคนใช้ ที่จะรับใช้คนรอบข้างในพระนามของพระคริสต์ ด้วยความรักที่เสียสละ ด้วยน้ำใจแห่งการหนุนช่วย ด้วยจิตใจที่ถ่อม และด้วยเป้าประสงค์ให้แผ่นดินของพระเจ้ามาตั้งอยู่

ดังนั้น ข่าวดีของพระเยซูคริสต์จึงมิใช่ข่าวดีสำหรับ “ส่วนบุคคล” เท่านั้น แต่เป็นข่าวดีของชุมชนและสังคมด้วยเช่นกัน นี่เป็นข่าวดีสำหรับสังคมในโลกนี้ สำหรับมวลมนุษย์ สำหรับคนในกลุ่มของเรา สำหรับคนในสำนักงานที่เราร่วมทำงาน สำหรับการปกครองในหมู่บ้าน ตำบล อำเภอ จังหวัด และสำหรับผู้ปกครองประเทศของเรา เป็นข่าวดีสำหรับคริสตจักรของเรา

การปรับเปลี่ยนหรือการสร้างชุมชน สังคม ขึ้นใหม่บนหลักการแห่งการรับใช้ด้วยน้ำใจที่เสริมสร้างสนับสนุนแบบพระคริสต์ย่อมเสริมสร้างคุณค่า และ เอื้อให้ชุมชนเติบโตเข้มแข็งขึ้น แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการเปลี่ยนแปลงแบบการต่อต้าน การกบฏ การกดขี่เกรี้ยวกราดรุนแรง ที่เห็นอยู่ทั้งในสังคมและในคริสตจักร เพราะด้วยกระบวนการนี้เราไม่ต้องใช้เวลามากมายที่จะทำการ “ต่อสู้ห้ำหั่น” กันด้วยหน้าเนื้อใจเสือ ในความเป็นจริงแล้วเราจะรู้สึกผ่อนคลายและทำตัวให้พร้อมที่พระเจ้าจะทรงใช้เราในพระราชกิจแห่งแผ่นดินของพระองค์ การกลับใจกลายเป็นสื่อนำให้คนๆ นั้นมอบกายถวายชีวิตเพื่อที่จะรับใช้พระคริสต์ ความเชื่อศรัทธานำไปถึงซึ่งความมั่นใจในพระกำลังที่ทรงประทานแก่เรา

“ใหญ่” ผู้บริหารสูงสุด (CEO) ของโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ในวันสำคัญวันหนึ่งของโรงพยาบาลเขาเดินแจกไอศกรีมตลอดวัน แก่เจ้าหน้าที่ทุกระดับ พยาบาล แพทย์ ญาติผู้ป่วย และแขกที่ผ่านเข้ามาในโรงพยาบาล ไอศกรีมหมดไปถังแล้วถังเล่า

ในค่ำคืนนั้น “จิมส์” นำไอศกรีมไปบริการแจกแก่เจ้าหน้าที่ พยาบาล แพทย์ ที่ต้องอยู่เวรดูแลผู้ป่วยในอาคารต่างๆ รวมทั้งสิ้นสิบชั้น เขาคือผู้บริหารสูงสุด แต่เขาให้บริการไอศกรีมตลอดคืนนั้น

“ใหญ่” เป็นซีอีโอแบบผู้รับใช้ หรือ ผู้นำแบบคนรับใช้ด้วยการบริการแจกไอศกรีม เขามิได้เป็นคนคิดประดิษฐ์รูปแบบการเป็นผู้นำแบบรับใช้นี้ แต่พระเจ้าต่างหากเป็นผู้ทรงกระทำ น้ำพระทัยของพระคริสต์ที่ทรงซึมซับจนเติบโตมีพลังขึ้น (Incarnate) ในตัวของ “จิมส์” พระคริสต์ผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้าแต่มีทัศนคติของการเป็นพระบุตรว่า เป็นผู้ที่รับใช้บริการคนอื่น เสริมหนุน เสริมสร้างคนอื่นให้สำคัญ มีคุณค่า พระคริสต์ล้างเท้าของสาวก แตะต้องคนโรคเรื้อเพื่อเขาจะหายกลับเป็นคนปกติที่มีคุณค่าในสังคม และในที่สุดยอมมอบกายและชีวิตเพื่อไถ่ถอนมนุษย์ให้หลุดออกจากกงเล็บแห่งอำนาจของบาป

ถ้าท่านประสงค์ที่จะให้ผู้คนรอบข้างมองเห็นพระคริสต์ผ่านการกระทำและการดำเนินชีวิตของเรา เราจะต้องมีทัศนคติ และ กระบวนทัศน์ภาวะผู้นำแบบคนรับใช้ในชีวิตคริสเตียนของเรา

พระธรรมภาวนา

มัทธิว 12:18
ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราซึ่งได้เลือกสรรไว้
ที่รักของเรา ผู้ซึ่งเราโปรดปราน
เราจะเอาวิญญาณของเราสวมท่านไว้
ท่านจะประกาศความยุติธรรมไปให้แก่บรรดาประชาชาติ

มัทธิว 12:20
ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก
ไส้ตะเกียงเป็นควันจวนดับแล้วท่านจะไม่ดับ
กว่าท่านจะได้นำความยุติธรรมให้มีชัยชนะ

ลูกา 4:43
แต่พระองค์(พระเยซูคริสต์)ตรัสแก่เขาว่า
“เราต้องไปประกาศข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย
เพราะว่าที่เราได้รับใช้มาก็เพราะเหตุนี้เอง”


ลูกา 22:27
(พระเยซูคริสต์ตรัสว่า)...แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายเหมือนผู้รับใช้

2 ทิโมธี 1:9
...ให้เรามาเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่การดีที่เราได้กระทำ แต่เพราะเห็นแก่พระประสงค์ของพระองค์เอง และพระคุณซึ่งทรงประทานแก่เรา...

2 ทิโมธี 2:24
ฝ่ายผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าต้องไม่เป็นคนที่ชอบการทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นครูที่เหมาะสมและมีความอดทน

กาลาเทีย 5:13
ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ที่ทรงเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่านเป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนัง แต่จงรับใช้กันและกันด้วยความรักเถิด

2 โครินธ์ 11:15
เหตุฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกอะไรที่คนรับใช้ของซาตาน จะปลอมตัวเป็นคนรับใช้ของความชอบธรรม ท้ายที่สุดของเขาจะเป็นไปตามการกระทำของเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น