24 ตุลาคม 2553

เส้นทางที่คนอื่นไม่เดิน

3พระองค์จึงเสด็จออกจากแคว้นยูเดียและกลับไปยังแคว้นกาลิลีอีก
4พระองค์จำต้องเสด็จผ่านแคว้นสะมาเรีย
(ยอห์น 4:3-4)

ชาวยิวที่เคร่งครัดเวลาจะเดินทางจากแคว้นยูเดียไปยังกาลิลีพวกเขาจะไม่เดินผ่านสะมาเรีย เพราะแคว้นสะมาเรียเป็นที่อยู่อาศัยของชาวสะมาเรียที่พวกยิวรังเกียจ นอกจากพวกยิวจะไม่ชอบคนต่างชาติแล้วพวกเขายังรังเกียจคนสะมาเรีย ทั้งๆ ที่ชาวสะมาเรียนเดิมมีเชื้อชาติยิวแต่ไปแต่งงานกับคนต่างชาติจึงกลายเป็นชาวยิวเลือดผสม และถือว่านี่เป็นการกระทำผิดต่อพระบัญญัติของพระเจ้า ถ้าชาวยิวที่เคร่งครัดจะต้องเดินทางจากยูเดียไปกาลิลีหรือ เดินทางจากกาลิลีไปยูเดียเขาจะเลี่ยงที่จะเดินผ่านแคว้นสะมาเรียโดยเด็ดขาด แต่อุตส่าห์เดินข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปฝั่งขวา แล้วเดินทางเรียบชายฝั่งจนถึงจุดที่ตนต้องการจะข้ามมาฝั่งซ้ายของจอร์แดนที่เป็นดินแดนของแค้วนกาลิลีหรือยูเดีย ทั้งนี้เพราะพวกเขาไม่ต้องการมีส่วนเกี่ยวข้อง สัมพันธ์ หรือสัมผัสกับพวกสะมาเรียคนยิวที่เลือดไม่บริสุทธิ์อันเป็นพวกที่พึงรังเกียจ (ดูความเป็นมาได้จาก อพยพ 34:15-16; เฉลยธรรมบัญญัติ 7:1-4)

ในพระธรรมยอห์นตอนนี้ ได้บันทึกไว้ว่า “พระองค์จำต้องเสด็จผ่าน” ในที่นี้ผู้บันทึกพระกิตติคุณยอห์นมิได้บอกถึงสาเหตุ หรือ เหตุผลว่าทำไมพระเยซูคริสต์และสาวกต้องเสด็จผ่านสะมาเรีย แต่พระองค์ได้เดินไปในเส้นทางที่ “คนยิวเคร่งครัดปกติ” จะไม่ทำกันเช่นนี้ ถ้ามองเพียงผิวเผินพระเยซูคริสต์และสาวกไม่ทำตามธรรมเนียมปฏิบัติของพวกยิวในเวลานั้น กลายเป็นพวก “แหกกฎ” “ไม่ทำตามระเบียบ” ทำในสิ่งที่คนอื่นเขาไม่ทำกัน

มุมมองในเวลานั้นจะมองดูพระเยซูและสาวกว่า พระองค์สอนและกระทำที่สวนทางกับธรรมเนียมปฏิบัติของยิวในเรื่องคนต่างชาติ และ เรื่องของคนยิวเลือดผสม เพราะพระองค์กลับยอมรับคนสะมาเรีย เราได้เห็นว่า เมื่อทรงสอนด้วยอุปมาพระองค์ทรงให้คนสะมาเรียเป็น “ตัวเอก ตัวดี” ในคำอุปมานั้น เช่น อุปมาเรื่อง “สะมาเรียผู้มีใจเมตตา” (ลูกา 10:25-37) และเราสามารถพิจารณาจากพฤติกรรมของพระองค์ เช่น เรื่องราวที่พระองค์สนทนากับหญิงสะมาเรียที่ข้างบ่อน้ำ (ที่เมืองสิคาร์ แค้วนสะมาเรีย: ยอห์น 4:6-7) พระองค์ทรงรักษาโรคให้แก่คนต่างชาติเหล่านี้ ทรงเรียกให้ลูกของหญิงต่างชาติฟื้นจากความตาย(ลูกา 7:11-17) พระองค์กลับมีมุมมองคนสะมาเรียที่แตกต่างกันคนละมุมมองพวกพวกยิวทั่วไป พระองค์ทรงมองว่านอกจากพวกสะมาเรียเป็นคนที่พระเจ้าทรงสร้าง เป็นคนที่คุณค่า ศักดิ์ศรี และเป็นลูกของพระเจ้าด้วยแล้ว พระองค์ยังมีจุดประสงค์แน่วแน่คือนำ ข่าวดี และ ความรอด จากพระเจ้ามาถึงชีวิตของชาวสะมาเรียและคนต่างชาติด้วย และเหนือสิ่งอื่นใด ยอห์นบันทึกไว้ว่า พระเยซู “จำต้อง” เดินทางแคว้นสะมาเรียในครั้งนี้อย่างจงใจ

พระเยซูคริสต์กระทำพระราชกิจของพระเจ้าในสถานการณ์ที่ขัดแย้งกับธรรมเนียมปฏิบัติ เช่น ทรงหยุดข้างถนนและทักทายกับศักเคียสคนเก็บภาษี แล้วขอไปกินข้าวในบ้านของเขา พระองค์กินและดื่มกับคนที่สังคมตีตราว่า “บาปสกปรก” ที่ผู้นำศาสนาไม่พึงที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนเหล่านี้ (มาระโก 2:15-17) พระองค์เปิดโอกาสให้กับหญิง “ชั่ว” เอาน้ำตาล้างเท้าของพระองค์ แล้วเช็ดด้วยผมของนาง และจูบเท้าของพระเยซู แล้วชโลมด้วยน้ำหอมราคาแพง (ลูก 7:37-38) พระองค์เสี่ยงต่อการถูกตีตราว่าเป็นคนสกปรกเพราะทรงยื่นพระหัตถ์แตะต้องคนโรคเรื้อนเพื่อรักษาพวกเขาให้หายจากโรคเรื้อน (มัทธิว 8:2-4) และที่สำคัญกว่านั้นอีกคือพวกเขาจะสามารถกลับสู่บ้านและสังคมของเขาอย่างไม่ถูกต้องห้าม กีดกัน ตำหนิต่อไป เราจะเห็นชัดเจนว่าพระเจ้ามีพระประสงค์ให้พระเยซูคริสต์กระทำพระราชกิจของพระองค์ในสถานการณ์ที่ไม่ได้เป็นไปตามธรรมเนียมปฏิบัติของสังคมและความเชื่อถือคนในและสังคมในเวลานั้น

การเป็นคริสเตียนต้องไม่ยอมให้ธรรมเนียมปฏิบัติมาครอบงำความคิดความเชื่อและการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา การเป็นคริสเตียนไม่ควรให้กฎระเบียบที่มนุษย์สร้างขึ้นมีอำนาจเหนือการคิด ตัดสินใจ และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของเรา

กฎธรรมเนียมปฏิบัติที่มนุษย์สร้างขึ้นต้องไม่ขัดแย้ง ขัดขวาง หรือมีอำนาจเหนือการทรงนำ พระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อคริสเตียนต้องเลือกควรตัดสินใจเลือกพระประสงค์ของพระเจ้าในแต่ละวันก่อนแม้ว่าจะขัดกับสิ่งที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะบ่อยครั้งที่ผู้นำศาสนาบางคนจะอ้างการทำตามธรรมเนียมปฏิบัติเพื่อเป็นการยกย่องสรรเสริญพระเจ้า (ถ้ากระทำตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เขาตีตราหรือกำหนดขึ้น) แต่ละเลยความสนใจว่าในเหตุการณ์นั้น หรือ สถานการณ์นั้นพระเจ้าจะทรงกระทำพระราชกิจอะไร หรือ พระเจ้าจะทรงใช้เราแต่ละคนในการทำอะไรตามพระประสงค์ของพระองค์

อย่าให้กฎระเบียบ หรือ ธรรมเนียมปฏิบัติของคริสตจักร องค์กรคริสเตียน ลัทธินิกาย ยิ่งใหญ่กว่าพระประสงค์ของพระเจ้า และ พระราชกิจของพระองค์ในเวลานั้น แต่ให้กฎระเบียบ ธรรมเนียมปฏิบัติ หรือ แนวทางปฏิบัติสอดคล้องและรับใช้พระประสงค์และพระราชกิจของพระเจ้าในสถานการณ์นั้นๆ

คริสเตียนต้องกล้าที่จะคิดและปฏิบัติออกนอกกรอบที่มนุษย์สร้างหรือกำหนดขึ้น และคริสเตียนกล้าที่จะคิด ตัดสินใจ และกระทำในสิ่งต่างๆ โอกาสต่างๆ และสถานการณ์การต่างๆ ที่สอดคล้องตามพระประสงค์และพระราชกิจของพระเจ้าในเวลานั้นๆ

ถ้าเรายอมให้พระประสงค์และพระราชกิจทรงนำและทรงใช้เราแต่ละวันในชีวิตของเรา เราจะเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้า พระพรของพระองค์ เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในชีวิตของเราแต่ละคน และในชุมชนที่คนๆ นั้นดำเนินชีวิตด้วย

ยอห์น บันทึกต่อไปว่า ทำไมพระเยซูคริสต์จึงจำเป็นต้องเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรีย เพราะที่นั่นพระองค์จะพบกับหญิงสะมาเรียคนหนึ่งที่คนยิวไม่พึงพบพูดคุยด้วย นอกจากเป็นคน “เลือดผสม ไม่บริสุทธิ์” แล้ว ยังเป็นสตรีที่พวกผู้ชายดูถูก ยิ่งกว่านั้น สตรีคนที่พระเยซูพบและสนทนาด้วยเป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิตครอบครัวเพราะเธอแต่งงานมาครั้งแล้วครั้งเล่า ล้มเหลวในชีวิตแต่งรวมถึงผู้ชายคนปัจจุบันที่เธออยู่ด้วย มิใช่ชายยิวรังเกียจเท่านั้น แต่ชาวเมืองสะมาเรียก็ยังดูถูกเธออีกด้วย แต่พระเยซูคริสต์ต้องการเดินผ่านแคว้นสะมาเรีย เพื่อนำข่าวดีมาถึงเธอ และเธอยังนำข่าวดีไปยังชาวสะมาเรียคนอื่นๆ อีกด้วย (ยอห์น 4:39-42)

พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ในชีวิตของเราแต่ละคน พระองค์ต้องการที่จะให้ชีวิตประจำวันของเราเข้าถึงชีวิตของคนอื่นๆ เพื่อนำข่าวดีและพระพรเข้าสู่ชีวิตของคนเหล่านั้น เพื่อนำคำตอบเข้าถึงชีวิตของคนที่มีชีวิตสับสนวุ่นวายและสิ้นหวัง นำกำลังใหม่เข้าในชีวิตของคนอ่อนเปลี้ย นำชีวิตที่มีความหวังเข้าถึงชีวิตที่สิ้นหวัง เพื่อยื่นชีวิตของเราเข้าไปยังกลุ่มคนที่ถูกทอดทิ้ง รังเกียจ ไร้ค่าในสายตาของคนทั่วไปและสังคม เฉกเช่นที่พระคริสต์ที่ทรงดำเนินเข้าไปในชีวิตของหญิงสะมาเรียคนนั้น

พระเยซูคริสต์ทรงไปในที่ที่ผู้คนอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเช่นใดก็ตาม พระเยซูคริสต์มิเคยสอนว่าให้นำคนมาในคริสตจักร แต่พระองค์ทรงปฏิบัติเป็นแบบอย่างให้คริสตจักรเข้าไปในที่ที่มีคนอยู่ในโลกนี้ เพื่อนำข่าวดี พระพร เข้าไปผู้คนเหล่านั้น เพื่อที่แต่ละคนจะมีชีวิตใหม่ คนใหม่ ที่ได้รับการทรงเปลี่ยนแปลงจากพระองค์

ตอนนี้น่าจะกลับไปอ่านยอห์น บทที่ 4 อีกครั้งหนึ่ง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น