28 ตุลาคม 2553

การทำงานเป็นการนมัสการพระเจ้า

ทุกวันนี้เราทำงานไปทำไม? เป็นคำถามที่ผมชอบถามผู้คนในหลายอาชีพ หลายฐานะเศรษฐกิจ และหลายฐานะในสังคม แม้แต่ในวงสนทนาในคริสตจักรก็ไม่ละเว้นที่ถามคำถามนี้เช่นกัน คุณเชื่อไหม! พอผมโยนคำถามนี้เข้าในวงสนทนา อาการหนึ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกันแม้จะมีสภาพชีวิตที่แตกต่างหลากหลายกันก็ตามคือ คนทั้งวงสนทนาเงียบ อึกอัก เอ... คนถามกำลังต้องการอะไรกันนี่?

จากนั้น ก็จะมีบางคนตอบแบบหยั่งเชิงว่า “เราทำงานเพื่อที่จะหาปัจจัยมาเลี้ยงดูครอบครัวของเรา”
อีกคนหนึ่งโพล่งออกมาตรงๆ ว่า “ก็เพื่อหาเงิน”
อีกคนหนึ่งตะโตนตอบมาจากด้านหลังว่า “เพื่อเราจะเป็นคนผู้รับใช้ที่รับผิดชอบ” หยุดไปสักพักหนึ่ง แล้วย้ำหนักแน่นในคำตอบนี้ด้วยการยืนยันหลักฐานว่า “อาจารย์ก็เทศน์ในเรื่องนี้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา”

อาจารย์ท่านหนึ่งที่ร่วมในวงสนทนาเลยรีบรวบรัดตัดความก่อนที่การสนทนาจะเลยเถิดออกนอกประเด็นว่า “จุดประสงค์ของการที่เราทำงานในชีวิตประจำวันของเราก็เพื่อที่จะเป็นที่สรรเสริญพระเจ้า”

จุดประสงค์การทำงานในชีวิตประจำวันของเราเพื่อสรรเสริญพระเจ้าหรือ? คำตอบนี้กระตุกต่อมความคิดความเชื่อของเราได้แรงทีเดียว คนหนึ่งในกลุ่มพูดออกมาเลยว่า “ใช่ ดิฉันก็เคยคิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่เช้านี้ลืมไป” หลายคนมาพูดกับผมหลังเสร็จสิ้นการสนทนากลุ่มว่า ความคิดนี้กระตุ้นให้เขาต้องกลับมาคิดทบทวนในเรื่องนี้

สำหรับผมแล้ว การทบทวนถึงจุดเชื่อจุดยืน และ มุมมองเกี่ยวกับการทำงานในชีวิตประจำวันของเรานี้มีอิทธิพลต่อชีวิต วิธีคิด ความเชื่อ และการกระทำของเราอย่างมาก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งความเชื่อ การดำเนินชีวิต และการงานที่เราทำและความรับผิดชอบในชีวิต เพราะช่วยให้เราได้ตระหนักชัดว่า การงานต่างๆ ที่เราทำและรับผิดชอบมิใช่มิติของฝ่ายร่างกายเท่านั้น แต่เชื่อมโยงเกี่ยวข้องและประสานเป็นเนื้อเดียวกับจิตวิญญาณด้วย

บนรากฐานความเชื่อศรัทธาเช่นนี้ได้เชื่อมโยงให้งานธุรกิจ การบริหารจัดการ การศึกษา การพัฒนาชุมชน การทำงานกับชาวบ้าน การทำอาหาร การทำความสะอาด การเป็นยามหรือเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เกษตรกร พ่อค้า นักการเมืองระดับชาติ และท้องถิ่น กรรมกร คนรับจ้าง ข้าราชการ นักเรียนนักศึกษา ครู หมอ พยาบาล และ ฯลฯ อาชีพการงานทั้งสิ้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงเป็นเนื้อเดียวกับจิตวิญญาณของเรา

การทำงานในแต่ละวันแต่ละอาชีพแต่ละหน้าที่การงานเป็นการทำงานที่รับผิดชอบต่อผู้คนที่เกี่ยวข้อง และ ที่สำคัญกว่านั้นคือ เป็นการกระทำที่รับผิดชอบด้วยความสัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราด้วย

ถ้าเราจะเอาจริงเอาจังในความรักและสัตย์ซื่อต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในแต่ละวัน เราต้องกระตุ้นย้ำเตือนตนเองทุกวันว่า

“วันนี้ฉันจะเป็นครู/อาจารย์ ที่ทำให้เกิดการยกย่องสรรเสริญพระเจ้าอย่างไร?”
“วันนี้ฉันจะเป็นนักเรียน นักศึกษา เช่นไรที่จะทำให้เกิดการสรรเสริญพระเจ้า?”
“วันนี้ฉันจะบริหารโรงเรียน, บริหารโรงพยาบาล, บริหารองค์กรที่ฉันรับผิดชอบ, ที่ทำให้เกิดการสรรเสริญพระเจ้าได้อย่างไร?”
“วันนี้ฉันจะตรวจและรักษาผู้ป่วย และบริการรับใช้คนไข้และญาติ จนเกิดการสรรเสริญพระเจ้าอย่างไร?”
“วันนี้ฉันจะทำธุรกิจอย่างไรที่ทำให้เกิดการสรรเสริญพระเจ้า?”
“วันนี้ฉันจะบริหารบ้านเมือง ปกครองประเทศ ดูแลประชาชนในท้องถิ่นอย่างไรที่ทำให้พระเจ้าได้รับการสรรเสริญ?” ... ฯลฯ ...

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจการงานในแต่ละวัน ให้เรามีเวลาที่จะสนทนากับพระเจ้า มีเวลาที่จะประเมินผลชีวิตวันนี้ร่วมกับพระองค์ ว่าชีวิตของเราเป็นที่สรรเสริญพระเจ้ามากน้อยแค่ไหน? ทำอะไรอย่างไรที่นำมาซึ่งการสรรเสริญพระเจ้าอย่างชื่นชมยินดี ทำอะไรอย่างไรที่ทำให้พระเจ้าถูกลบหลู่ดูถูก หรือ สบประมาท มีอะไรที่เราเสียใจที่ได้ทำลงไป ขอพระเจ้าชี้นำว่าควรจะทำอย่างไรในวันใหม่ เราต้องการกำลังในด้านใดเพื่อชีวิตการงานที่ทำจะนำไปสู่การสรรเสริญพระเจ้า

มาร์ค รุสเซล (Mark Russell) ได้เป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า “Our Souls at Work” ขออนุญาตแปลตามใจคิดว่า “จิตวิญญาณของเราในสนามงาน” ที่ให้มุมมองและสติปัญญามากมายสำหรับ “ผู้เชื่อในสนามงานธุรกิจ” และเป็นบทความที่นำเสนอในงานสัมมนาของนักธุรกิจคริสเตียน ที่จัดโดย วิทยาลัยบริหารและการจัดการเยล

Dave Gibbons ซึ่งเป็นผู้เขียนหนังสือเล่มนี้และนักกิจกรรมสังคม ได้เขียนในบทนำพอสังเขปได้ว่า ...เมื่อเราทำการงานในชีวิตประจำวันอย่างดี ด้วยความรับผิดชอบนั้นเป็นการสะท้อนพระลักษณะของพระเจ้าผ่านการงานที่เรากระทำ สะท้อนถึงความดีและพระเมตตาของพระองค์ให้คนรอบข้างได้เห็นและสัมผัสถึงคุณค่าอันแท้จริง ดังนั้นงานที่เราทำจึงเป็นการนมัสการพระองค์ ไม่มีเส้นแบ่งเขตระหว่างความเชื่อศรัทธาและการทำงาน การทำงานคือการสำแดงออกถึงชีวิตของเราในพระเยซูคริสต์ การที่พยายามแบ่งแยกความเชื่อศรัทธาอออกจากภารกิจการงานที่เราทำ ก็เป็นเหมือนเราพยายามแยก “ชีวิต” ออกจาก “การกระทำ” ผู้คนจะรู้ว่าเราเป็นคนเช่นไรได้อย่างไร ถ้ามิได้พิจารณาจากการกระทำของเรา?

ดังนั้น ชีวิตแห่งความเชื่อศรัทธาของเรา กับ การกระทำกิจการงานของเรา ต้องเป็นเนื้อเดียวกันที่มุ่งไปสู่แผ่นดินของพระเจ้าอย่างมุ่งมั่น ตั้งใจ และอุทิศทั้งชีวิต

พระธรรมภาวนา

สดุดี 104:23-24
23มนุษย์ก็ออกไปทำงานของเขา ไปทำภารกิจของเขาจนเวลาเย็น 24ข้าแต่พระเจ้า พระราชกิจของพระองค์มากมายจริงๆ พระองค์ทรงสร้างการงานนั้นทั้งสิ้นด้วยพระปัญญา แผ่นดินโลกมีสิ่งที่ทรงสร้างเต็มหมด

สุภาษิต 16:3
จงมอบงานของเจ้าไว้กับพระเจ้า และแผนงานของเจ้าจะได้รับการสถาปนาไว้

สุภาษิต 16:9
ใจของมนุษย์กะแผนงานทางของเขา แต่พระเจ้าทรงนำย่างเท้าของเขา

สุภาษิต 19:21
ในใจของมนุษย์มีแผนงานเป็นอันมาก แต่พระประสงค์ของพระเจ้านั่นแหละจะดำรงอยู่ได้

มัทธิว 9:8
เมื่อประชาชนเห็นดังนั้นเขาก็ตระหนกตกใจ แล้วพากันสรรเสริญพระเจ้า ผู้ได้ทรงประทานสิทธิ อำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์

มัทธิว 5:16
ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้ทรงอยู่ในสวรรค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น