07 ตุลาคม 2553

วิตกกังวล: โรคฮิตประจำยุคปัจจุบัน

22พระเยซูตรัสกับพวกสาวกของพระองค์ว่า
“เพราะเหตุนี้เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตว่า
จะเอาอะไรกิน และอย่ากระวนกระวายถึงร่างกายว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม
23เพราะว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม
24จงพิจารณาดูนก มันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เกี่ยว และไม่ได้มียุ้งหรือฉาง
แต่พระเจ้ายังทรงเลี้ยงมันไว้ พวกท่านประเสริฐกว่านกมากทีเดียว
25มีใครในพวกท่านโดยความกระวนกระวายสามารถต่ออายุของตนให้ยืนนานอีกนิดหนึ่งได้?
26เพราะฉะนั้นถ้าสิ่งเล็กน้อยยังทำไม่ได้ ท่านยังจะกระวนกระวายถึงสิ่งอื่นทำไมอีกเล่า?
(ลูกา 12:22-26)

ความกังวลเป็นอาการกลัวที่เรื้อรัง ความกังวลเป็นตัวฉุดรั้งให้ความคิดไม่เคลื่อนตัวและทำให้ไม่สามารถตัดสินใจ ถ้าความกังวลเข้ามาครอบงำความนึกคิดของเราก็จะทำให้ทุกความนึกคิดต้องเข้าไปวนเวียนสับสนกับความกังวลนั้น ก่อเกิดความเครียด ความกังวลจะแย่งชิงยึดครองพื้นที่ของสิ่งอื่นๆ ที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา

พระเยซูตรัสว่า อย่าวิตกกังวล เพราะความวิตกกังวลนั้นกีดกันผลักเบียดให้พระเจ้าออกจากพื้นที่ในความนึกคิดของเรา ตรงกันข้าม ถ้าเราเชื่อ ศรัทธา และไว้วางใจในพระเจ้า เราสามารถติดตามพระเยซูคริสต์ไปในทุกสถานการณ์ชีวิต ถึงแม้จะเลวร้าย มืดมน ไม่แน่นอน ไม่คาดหวัง ไม่เข้าใจก็ตาม

แต่ถ้าเวลาใดก็ตามที่เราเปิดช่องว่างในชีวิตของเราให้ความวิตกกังวลแทรกตัวเข้ามา เท่ากับเราเปิดให้ความวิตกกังวลเข้ามากระชากพระเจ้าออกจากสายใยแห่งชีวิตของเรา ทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์เสียพระทัย และทำให้ความชื่นชมยินดีรั่วไหลออกจากจิตวิญญาณของเรา

พระเจ้าทรงเป็นผู้ให้กำเนิดแก่สรรพสิ่ง ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังดูแลเอาใจใส่ในรายละเอียดในทุกสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง พระองค์ทรงสำแดงความรักเมตตา ปกป้อง คุ้มครองทุกสิ่งและทุกคนที่ไว้วางใจในฤทธานุภาพ และ ความรักของพระองค์

ในแต่ละวัน ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเจ้าควรมีชีวิตที่ชื่นชมปีติในพระองค์ทุกวัน เพราะที่เราเป็นอยู่ได้จนถึงวันนี้ก็เพราะพระองค์ เพราะการทรงเลี้ยงดูเอาใจใส่ที่มิได้ขาดตกบกพร่องในสิ่งที่จำเป็นในการดำรงอยู่ของชีวิต

พระเยซูยกตัวอย่างชีวิตของนกที่พระเจ้าทรงเลี้ยงดูเอาใจใส่ พระเยซูให้เราไว้วางใจในการเอาใจใส่ของพระเจ้าสำหรับอาหารที่จำเป็น (ลูกา 11:3, 9-10) และพระองค์ถามตรงว่า มนุษย์เราไม่สำคัญยิ่งกว่านกในสายพระเนตรของพระเจ้าหรือ เพราะมนุษย์มิใช่สัตว์โลกที่มีสมองก้อนโตในหัวที่ทำให้เราสำคัญกว่าสัตว์อื่นๆ แต่ที่มนุษย์สำคัญในสายพระเนตรของพระเจ้าเพราะมนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า (ปฐมกาล 1:26) มนุษย์สำคัญกว่าสรรพสัตว์ทั้งหลายเพราะ มนุษย์สามารถติดต่อสัมพันธ์กับพระเจ้า ยิ่งกว่านั้นเรายังสามารถสัมผัสรับรู้ถึงความรักเมตตา และพระคุณของพระองค์ ยิ่งกว่านั้น ชีวิตมนุษย์ยังสามารถที่จะตอบสนองต่อพระประสงค์และน้ำพระทัยของพระเจ้า เป็นผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกและทรงใช้ให้ทำงานตามแผนการของพระองค์ได้ ถึงขนาดนี้แล้วเรายังไม่ไว้วางใจในการเอาใจใส่ และ การทรงช่วยของพระองค์อย่างสุดจิตสุดใจอีกหรือ? เปาโลกกล่าวว่า “19...พระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานทุกสิ่งที่จำเป็นแก่พวกท่านจากทรัพย์อันรุ่งโรจน์ ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี 4:19)

สิ่งที่เราพึงแยกแยะให้ชัดเจนคือ สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเราแต่ละคน กับ สิ่งที่เราอยากได้ใคร่มีในชีวิตแต่ละวันซึ่งได้รับอิทธิพลจาก “ความโลภ” และ การใช้ชีวิตอย่าง “ฟุ่มเฟือย” (ที่เราได้ใคร่ครวญไปในบทก่อน) และนี่คือช่องทางที่ทำให้คนๆ นั้นต้องตกลงในสภาพชีวิตที่วิตกกังวลที่หลงวนจนบางคนหาทางออกไม่ได้ พระเจ้าทรงประทานสิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตของเรา มิใช่ให้ในสิ่งที่เราอยากได้ใคร่มี พระองค์มิเพียงแต่ประทานสิ่งจำเป็นในชีวิตแก่เราเท่านั้น แต่พระองค์ยังเสริมหนุนให้เราสามารถที่จะรับผิดชอบใช้สิ่งที่พระองค์ประทานแก่เราในการรับใช้ตอบสนองต่อพระประสงค์ของพระเจ้าด้วย

แต่ตัวตนที่แท้จริงภายในของเราบ่อยครั้งที่ถูกครอบงำให้กระหายใช้ของประทานเพื่อบำรุงบำเรอความต้องการของตนเอง ทำให้ชีวิตภายในของเราไม่มีพื้นที่สำหรับพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ผลที่เกิดขึ้นคือความอยากได้ใคร่มีก่อเกิดความรู้สึกไม่พอ ความกลัว และความวิตกกังวลให้เป็นบาดแผลในชีวิตของเรา แต่เมื่อชีวิตตกลงในวงจรอุบาทว์แห่งความวิตกกังวล พระเจ้ากลับทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม มิได้ทอดทิ้งเราไป ผู้ประพันธ์สดุดี 37:25 ได้กล่าวไว้ว่า
25ข้าพเจ้าเคยหนุ่ม และเดี๋ยวนี้แก่แล้ว
แต่ข้าพเจ้ายังไม่เคยเห็นคนชอบธรรมถูกทอดทิ้ง
หรือลูกหลานของเขาขอทาน

ช่วงเวลาที่มีชีวิตอยู่บนพื้นโลกนี้มีเพียงช่วงชีวิตที่จำกัด พระองค์ทรงทราบว่าชีวิตของเราแต่ละคนจะดำเนินไปถึงเวลาใด พระองค์ทรงประทานสิ่งจำเป็นในชีวิตแก่แต่ละคน ดังนั้น มีเหตุผลอะไรที่ผู้ไว้วางใจในพระเจ้าจะต้องวิตกกังวล การที่คริสเตียนวิตกกังวลในชีวิตแสดงให้ผู้คนทั้งหลายเห็นว่า ความไว้วางใจของคริสเตียนต่อความรักเมตตากรุณาของพระเจ้าได้ระเหยหายไปจากชีวิตของคริสเตียนคนนั้น

ถ้าเรารู้ว่าจุดหมายปลายทางในชีวิตของเราได้รับการกอบกู้โดยพระคริสต์ และตลอดช่วงชีวิตบนพื้นโลกนี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์...แล้วทำไมเราถึงต้องวิตกกังวล ในเมื่อพระเจ้าทรงสัญญาว่า จะประทานสิ่งที่จำเป็นในชีวิตให้เราวันต่อวัน ทุกวัน...ทำไมเราถึงจมจ่อมอยู่ในความวิตกกังวลอย่างคนสิ้นคิดและสิ้นหวัง

เราจำเป็นที่จะต้องสารภาพต่อพระเจ้า และขอโปรดยกโทษเรา
ที่มีความวิตกกังวลอย่างใหญ่หลวงแต่มีความเชื่อวางใจในพระองค์แต่น้อยนิด
ให้เราขอบพระคุณพระเยซูคริสต์ที่ยืนยันให้เรามั่นใจอีกครั้งหนึ่ง
ว่าพระเจ้าจะทรงประทานสิ่งจำเป็นในแต่ละวันแก่ชีวิตของเราแต่ละคน
ดังนั้น ให้เราชื่นชมยินดีในของประทานในแต่ละวันจากพระเจ้า และ
นี่คือข่าวดีของพระเจ้าสำหรับเรา และ คนรอบข้างของเรา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น