06 ตุลาคม 2553

โลภ และ ฟุ่มเฟือย

คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันนี้ต้องการที่จะมีเงินและทรัพย์สินจำนวนเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะมักคิดกันว่าทรัพย์สินเงินทองจะทำให้เกิดความมั่นคงในชีวิต และมักเผลอคิดไปว่าจะทำให้ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ในภาวะความเครียดเพราะสามารถมีทุกสิ่งที่ตนต้องการ

คณะธรรมกิจหลายต่อหลายคริสตจักรที่คิดในทำนองเดียวกันนี้ จะพยายามสะสมให้คริสตจักรมี “กองทุน” ที่เพิ่มใหญ่ขึ้นทุกปีด้วยความภาคภูมิใจ (การสะสมกองทุนสำคัญยิ่งกว่าการทำพันธกิจ ดังนั้น คณะธรรมกิจจึงเลือกที่จะเอาเงินทองที่มีอยู่สะสมเป็นกองทุน มากกว่าที่จะเอาทรัพย์สินไปทำพันธกิจ) เพราะคณะธรรมกิจมักมีกรอบคิดว่า ยิ่งมีกองทุนใหญ่โตแค่ไหนก็ยิ่งรู้สึกว่าคริสตจักรมีความมั่นคงมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และคริสตจักรไทยก็มักจะอ้างเสมอว่า “กองทุน” ที่สะสมใหญ่ขึ้นนั้นเป็นพระพรของพระเจ้า ทำให้เกิดคำถามว่า การที่งดเว้นทำพันธกิจคริสตจักรแล้วเอาเงินนั้นมาสะสมไว้ จะเป็นพระพรจากพระเจ้าได้เช่นไร?

ทำให้เกิดความสนเท่ห์ หรือ ไม่ก็เกิดคำถามขึ้นว่า แล้วปัจจุบันนี้ คริสเตียน คริสตจักรท้องถิ่น คริสตจักรภาค หรือคริสตจักรระดับชาติฝากความรู้สึกมั่นคงไว้ในการทรงนำของพระเจ้าและในการทำพันธกิจของพระองค์ ในการนำพระพรไปสู่สังคมโลก หรือ รู้สึกมั่นใจในกองทุนที่ใหญ่ขึ้น ถ้าคริสเตียนและคริสตจักรฝากความมั่นคงมั่นใจในทรัพย์สินที่พอกพูนขึ้นก็ไม่ต่างอะไรกับพวกโจรหรือหัวขโมย, นักการพนัน, หรือนักลงทุนแบบกล้าได้กล้าเสี่ยง หรือไม่ก็พวกหวังชีวิตจะมั่นคงจากความร่ำรวยในกองมรดกที่จะเป็นของตนในอนาคต คนกลุ่มเหล่านี้ก็มีความคิดความเชื่อในทำนองนี้ แล้วคริสตจักรจะคิดจะเชื่อเหมือนกับคนกลุ่มเหล่านี้หรือ?

เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันนี้ได้เกิดขึ้นในสมัยของพระเยซูคริสต์เช่นกัน ลูกา 12:16-21 (TBS02b) ได้บันทึกไว้ว่า
15แล้วพระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “ระวังให้ดี จงหลีกเลี่ยงจากความโลภทุกอย่าง เพราะว่าชีวิตของคนไม่ได้อยู่ที่การมีของฟุ่มเฟือย”
16แล้วพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังว่า “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก 17เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า 'ข้าจะทำอย่างไรดี? เพราะว่าข้าไม่มีที่ที่จะเก็บพืชผลของข้า' 18เขาจึงคิดว่า 'ข้าจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของข้าและจะสร้างใหม่ให้ใหญ่โตขึ้น แล้วข้า จะรวบรวมข้าวและสมบัติทั้งหมดของข้าไว้ที่นั่น
19แล้วจะบอกกับจิตใจของข้าว่า “จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี
จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด' ”
20แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า 'โอ คนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะต้องเรียกเอาไปจากเจ้า
แล้วของที่เจ้ารวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใคร?'
21คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัว และไม่ได้มั่งมีฝ่ายพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”

ตามหลักคิดหลักเชื่อในบทบัญญัติของพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม เศรษฐี หรือ คนมั่งมีในสายพระเนตรของพระเจ้าต้องเป็นคนที่เอาใจใส่คนยากจน คนเล็กน้อย คนทุกข์ยาก คนถูกทอดทิ้งย่ำยี หญิงหม้าย ลูกกำพร้า แรงงานต่างชาติให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่าศักดิ์ศรีที่เป็นคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้คนที่ “มั่งมี” ได้เป็นตัวแทนของพระองค์ที่จะเอาใจใส่ดูแลคนที่ปกป้องตนเองไม่ได้และคนเล็กน้อยเหล่านั้นตามที่กล่าวข้างต้น

พระเจ้าในคริสต์ศาสนามิได้รังเกียจคนมั่งมี หรือ เศรษฐี แต่ที่ใครมั่งมีนั้นพระเจ้ามีพระประสงค์ให้ใช้ความมั่งมีที่ได้รับนั้นตามพระประสงค์ของพระเจ้า เศรษฐีจึงเป็นคนหนึ่งที่ได้รับเกียรติจากพระเจ้าให้เป็นผู้เอาใจใส่คนเล็กคนน้อย คนยากคนจน คนที่ถูกทอดทิ้งในนามของพระองค์ เฉกเช่น ศักเคียส หลังจากพบกับพระเยซูแล้ว จึงประกาศมอบทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้กับคนยากคนจน และพระเยซูคริสต์ยืนยันว่าความรอดได้มาถึงครอบครัวของศักเคียสแล้ว เพราะเขาก็เป็นบุตรของพระเจ้าด้วย หรือ เศรษฐีเจ้าของสวนองุ่นที่ให้ค่าจ้างแม้คนที่มาสุดท้ายสุดจะทำงานได้เพียงชั่วโมงเดียว แต่เจ้าของสวนองุ่นก็ให้แรงงานสำหรับหนึ่งวันเช่นเดียวกับคนอื่นๆ เพื่อทุกคนจะได้มีเงินที่จะซื้อหาอาหารไปเลี้ยงครอบครัวและตนเองด้วย

แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับคนส่วนใหญ่ที่ได้รับทรัพย์สินเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมกลับเป็นคนที่ “โลภ” และ มีชีวิตที่ “ฟุ่มเฟือย” จะทำสิ่งที่ต่อต้าน หรือ เป็นกบฏต่อพระประสงค์ของพระเจ้า แทนที่จะเป็นคนที่รับผิดชอบต่อทรัพย์สินเงินทองที่มีเพิ่มพูนมากขึ้นเพื่อทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพื่อช่วยคนยากจน คนเล็กน้อย คนถูกทอดทิ้ง แต่เพราะ “วิญญาณแห่งความโลภ” และ “วิญญาณแห่งความฟุ่มเฟือย” เขาจึงกอบโกยเก็บกักทรัพย์ที่ได้มาทั้งหมดเพื่อตนเอง และเพื่อตนเองเท่านั้น

ความมั่นใจและความไว้วางใจของเขาคือ จำนวนทรัพย์สมบัติที่เขาสะสมเพิ่มพูนขึ้น และเขาคุยฟุ้งกับตนเองว่า “จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด” คนมั่งมีหรือเศรษฐีเช่นนี้พระเยซูชี้ชัดว่า “เขาไม่ได้มั่งมีฝ่ายพระเจ้า” เพราะเขามั่งมีฝ่ายตนเองแห่งโลกนี้ และพระเยซูคริสต์เรียกคนมั่งมี หรือ เศรษฐีพวกนี้ว่า “โง่”

สำหรับพระเยซูคริสต์แล้วคน “โง่” ไม่ใช่คนไม่รู้ แต่คนโง่คือคนที่ไม่ยอมทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งๆ ที่รู้ คนโง่สำหรับพระเยซูคริสต์คือคนที่เก็บสั่งสมเพื่อตนเอง ทำเพื่อตนเอง มีชีวิตเพื่อตนเอง ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า ความมั่งคั่งมั่งมีที่ตนได้รับนั้นต้องนำไปทำตามพระประสงค์ของพระเจ้า

คนโง่ คือคนที่ “โลภ” และ มีวิถีชีวิตแบบ “ฟุ่มเฟือย” จึงทำให้เป็นคนเห็นแก่ตัว คิดถึงแต่ตัวเอง เมื่อเขาหลับตาเมินเฉยต่อพระประสงค์ของพระเจ้าเขาจึงมองไม่เห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนอื่นแม้จะอยู่ใกล้ชิดรอบข้างตนก็ตาม เมื่อเขาไม่สามารถมองเห็นคุณค่าและศักดิ์ศรีของคนเล็กน้อยรอบข้าง ในที่สุดเขาก็มองไม่เห็นศักดิ์ศรีและคุณค่าในชีวิตของตนเองด้วย แต่กลับไปหลงผิดและมองเห็นว่า สิ่งที่มีคุณค่าที่แท้จริงคือทรัพย์สินเงินทองมากมายที่ตนมีอยู่แล้ว และที่ตนอยากได้มากขึ้น

“ความโลภ” คือการที่เขาไปทำตัวเป็นเจ้าของในสิ่งที่ไม่ใช่ของตน หรือความอยากที่จะเป็นเจ้าของในสิ่งที่เป็นของคนอื่น เพราะคิดว่าตนจะมีความสุข ความมั่นคงในชีวิตถ้าได้ครอบครองสิ่งเหล่านั้นยิ่งมากยิ่งมีอำนาจ ก็จะทำให้มีความสุขมากขึ้น ความโลภจึงทำให้จิตใจของคนๆ นั้นไม่สงบสุขจนกว่าจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ

“ฟุ่มเฟือย” คือการใช้สอยทรัพย์สินสิ่งของเพื่อตนเอง ตามใจตนเอง แต่มิได้คำนึงถึงการใช้ทรัพย์สินเงินทองเหล่านั้นตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของ มุ่งเน้นการสร้างสุขและคุณค่าในชีวิตด้วยทรัพย์สินเงินทองมากกว่าสัมพันธภาพระหว่างตนกับพระเจ้า และระหว่างคนในครอบครัว คนรอบข้างในที่ทำงาน และคนที่พบปะในชุมชน

ในแผ่นดินของพระเจ้า ต้องการคนที่มีความตั้งใจที่จะใช้ชีวิตและทุกสิ่งที่ตนมีอยู่ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ดำเนินชีวิตประจำวันตามน้ำพระทัยของพระองค์ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ น้ำพระทัยของพระองค์เป็นอย่างไรในสวรรค์ ขอให้เป็นจริงเช่นนั้นในแผ่นดินโลก ให้เราดำเนินชีวิตตามคำอธิษฐานนี้

สัจจะความจริงประการสุดท้ายในวันนี้คือ ชีวิตเป็นของประทานจากพระเป็นเจ้า พระองค์เป็นเจ้าของชีวิต มิใช่เราเป็นเจ้าของชีวิต แต่คนเรามักหลงผิดคิดไปว่า ตนเป็นเจ้าของชีวิต ตนสามารถจัดการกำกับชีวิตของตนเองได้ แต่พระเยซูคริสต์เตือนในคำอุปมาว่า ชีวิตเป็นของประทานจากพระเจ้า และพระองค์เป็นผู้กำหนดและกำกับชีวิตของแต่ละคน ถ้าไม่มีชีวิตแล้ว ทรัพย์สินเงินทองกองใหญ่กองโตที่อุตส่าห์สั่งสมมาจะมีค่าและเป็นประโยชน์อันใด แม้ว่าจะมีทรัพย์สินเงินทองกองใหญ่กองโตแต่มิได้ใช้เพื่อพระประสงค์ของพระเจ้า แล้วจะเป็นประโยชน์อะไรในสายพระเนตรของพระองค์

ทุกเช้าที่ตื่นขึ้น ให้ตั้งจิตอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์มีในวันนี้ขอใช้สำหรับทำพระราชกิจตามพระประสงค์ของพระองค์ เพื่อสิ่งเหล่านั้นจะเป็นพระพรจากพระเจ้าสำหรับผู้คนเล็กน้อย ผู้คนยากไร้ ผู้คนทุกข์ยาก ถูกเอารัดเอาเปรียบ และใช้ทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้เพื่อสร้างเสริมคุณค่า และ ความหมายชีวิตของผู้คนรอบข้างที่ผ่านพบในวันนี้ เพื่อผู้คนจะได้รับพระพรตามพระประสงค์ของพระเจ้า

ขอพระเจ้าโปรดช่วยกระตุ้นเตือนเราที่จะใช้ทรัพย์สินเงินทองที่เราได้รับให้สอดคล้องตามพระประสงค์ของพระองค์ในวันนี้ด้วยความรับผิดชอบ โปรดช่วยให้เรารอดพ้นจากการถูกล่อลวงที่จะ “โลภ” เอาทรัพย์สินเงินทองเพื่อใช้สำหรับตนเอง โปรดประทานจิตใจที่เมตตาในการตัดสินใจใช้ทรัพย์เพื่อเสริมสร้างคุณค่า และ ศักดิ์ศรีผู้คนรอบข้างตามพระฉายาของพระองค์ และให้พ้นจากอำนาจที่จะครอบงำให้เราใช้ทรัพย์สินสมบัติอย่าง “ฟุ่มเฟือย” เพื่อความสุข มั่นคงจอมปลอมของตนเอง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น