19 ตุลาคม 2553

พระกิตติคุณกับการแตกแยก

“...51ท่านทั้งหลายคิดว่าเรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ เราบอกท่านว่า มิใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก 52ด้วยว่าตั้งแต่นี้ไปห้าคนในเรือนหนึ่งก็จะแตกแยกกัน คือสามต่อสองและสองต่อสาม 53พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว และลูกสาวจากแม่ แม่ผัวจากลูกสะใภ้และลูกสะใภ้จากแม่ผัว”
(ลูกา 12:51-53)

บางคนคิดว่า พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจที่ดีต่อทุกคน ดังนั้น หลายคนเมื่อคิดถึงพระเจ้าก็คิดถึงการได้พระพรจากพระองค์ หรือเมื่อมีความต้องการความช่วยเหลือก็จะร้องทูลต่อพระองค์ เวลาใดที่ทุกอย่างในชีวิตเป็นไปด้วยดีก็ไม่จำเป็นที่จะรบกวนพระองค์ จนลืมพระองค์ไปชั่วเวลาหนึ่ง แต่นั่นมิใช่แนวทางความสัมพันธ์กับพระเจ้าในพระคริสต์ธรรมคัมภีร์ พระเจ้าทรงเป็นความรัก ทรงเมตตา และทรงเอาใจใส่ แต่ในเวลาเดียวกันพระองค์ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ถูกต้อง เกลียดชังสิ่งที่ชั่ว สำหรับคนที่แสวงหาแผ่นดินของพระองค์จะรักพระองค์ แต่คนอื่นๆ จะต่อต้านและไม่ยอมรับการครอบครองของพระองค์ และยังเกลียดชังคนที่รักพระองค์อีกด้วย ทั้งนี้ไม่ยกเว้นคนในครอบครัวของคนที่รักพระเจ้าด้วย

ดังนั้น พระเยซูคริสต์ทรงเตรียมตัวเตรียมใจเหล่าสาวกของพระองค์ให้พร้อมรับสถานการณ์การข่มเหงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ก่อนที่จะมีคริสตจักรด้วยซ้ำ และสิ่งนี้จะเกิดชัดเจนและรุนแรงในครอบครัว แต่พระเจ้าทรงเป็นพระบิดาผู้ยิ่งใหญ่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ตั้งสถาบันครอบครัว และเมื่อมีคนที่กบฏต่อต้านกระทั่งต่อสู้ความรักของพระองค์ ปฏิเสธที่จะเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวของพระองค์ เขาก็จะปฏิเสธ/ตัดขาดแม้แต่ญาติตามสายเลือดของตนเองที่รักพระเยซูคริสต์ ในที่นี้มิได้หมายความว่าพระเยซูคริสต์เป็นตัวปัญหา แท้ที่จริงแล้วพระองค์ประสงค์ที่จะนำศานติสุขของพระองค์ให้มาถึงทุกคน

ก่อนพระคริสต์จะเข้าไปในครอบครัว ผู้คนในครอบครัวต่างผสมปนเปอยู่ด้วยกัน ทุกคนดูเหมือนกัน ไม่มีใครที่จะคิดจะต่อต้านกัน แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จเข้ามาในครอบครัว พระองค์เป็นแสงสว่างที่สาดส่องเข้าไปในชีวิตผู้คนในครอบครัว แสงสว่างของพระคริสต์ส่องเข้าในจิตใจความคิดของผู้คน แสงสว่างนั้นเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อชีวิตของผู้คนในครอบครัวอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ต่างมองเห็นความมืด จุดบอดในชีวิตและในความสัมพันธ์ และจะมีบางคนที่ปกป้องตนเอง ปฏิเสธความจริงที่มองเห็นเพราะแสงสว่างนั้น ในขณะที่บางคนยอมรับและเปิดใจเปิดชีวิตรับการเปลี่ยนแปลง คนสองกลุ่มนี้ตอบสนองต่อสิ่งท้าทายด้วยท่าทีที่แตกต่างกัน ยิ่งกว่านั้น กลุ่มที่ปฏิเสธความจริงที่แสงสว่างเปิดเผยนอกจากจะต่อต้านแสงสว่างแล้ว เขายังตั้งตนเป็นปรปักษ์กับผู้เปิดชีวิตยอมรับการเปลี่ยนแปลงอีกด้วย

เหตุการณ์ในทำนองเดียวกันยังเกิดขึ้นในปัจจุบันนี้ หลายคนที่ตัดสินใจรับเชื่อในพระเยซูคริสต์ต้องเผชิญหน้าต่อการท้าทายของครอบครัว หลายคนไม่มีทางเลือกอื่น พวกเขายืนหยัดความเชื่อในพระคริสต์ เขาไม่ต้องที่จะ “หันกลับ” หรือ “ถอยหลัง” เพราะเขาได้พบสัจจะความจริงในชีวิต พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความเป็นไทในชีวิต หน้าที่ของพวกเขาคือการสำแดงชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงจากพระเยซูคริสต์ หาโอกาสที่จะสื่อสารข่าวดีของพระเยซูคริสต์ต่อผู้ที่ต่อต้านหรือข่มเหง อดทนด้วยรักและถ่อม ถ้าเป็นไปได้แล้ว พวกเขาจะอยู่ร่วมและทำตัวด้วยสงบสันติกับทุกคนและในทุกเหตุการณ์ และที่สำคัญแล้วเขาจะไม่ทำการแก้แค้น และกระทำสิ่งที่ชั่วร้ายตอบสนองการกระทำที่ชั่ว(โรม 12:18-19) อย่างไรก็ตาม ให้เราอธิษฐานเพื่อผู้ที่ข่มเหงเรา(ลูกา 6:27-28) ที่สำคัญคือให้มีชีวิตที่เป็นแสงสว่างแห่งพระคริสต์(มัทธิว 5:16) เพื่อคนเหล่านั้นจะได้เห็นพระคริสต์ผ่านชีวิตของเรา และเราไม่ควรคำสอนบนภูเขาของพระเยซูคริสต์ที่ว่า “เมื่อเขาติเตียน ข่มเหง และว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเราท่านก็เป็นสุข”(มัทธิว 5:11-12) ทั้งนี้เพราะว่าเราไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ และคนเหล่านั้นมิได้ต่อสู้เรา แต่เขากำลังต่อสู้กับพระคริสต์ ดังนั้น สงครามชีวิตครั้งนี้พวกเหล่านั้นกำลังทำสงครามกับพระองค์

เหตุการณ์เช่นนี้มิได้เกิดขึ้นในกรณีของผู้เชื่อใหม่เท่านั้น แต่อาจจะเกิดการต่อต้านขัดขวางท่านในที่ทำงาน ในสังคมชุมชน หรือแม้แต่ในคริสตจักร ทั้งนี้เพราะความคิดความเห็นหรือการดำเนินชีวิตของท่านบนวิถีแห่งกางเขนของพระเยซูคริสต์ ได้สาดส่องสว่างเข้าไปในความมืด ทำให้เห็นความจริง ความยุ่งเหยิง และ ฯลฯ ที่ทำให้บางคนที่นี้นั้นไม่พอใจ ไม่ต้องการให้ความจริงเป็นที่ประจักษ์ ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง ไม่ต้องการเป็นคนผิด ไม่ต้องการเสียหน้า ไม่ต้องการต้องเจ็บปวดในชีวิต ไม่ต้องการเสียโอกาส ไม่ต้องการเสียผลประโยชน์ ในสถานการณ์เช่นนั้นท่านต้องเผชิญหน้ากับการท้าทาย การต่อต้าน การสำแดงพระคริสต์บางครั้งแทนที่จะสร้างสุขศานติ แต่นำมาซึ่งความขัดแย้ง การต่อต้านต่อสู้ ถึงขนาดการทำลายทำร้ายกัน

ในเวลาเช่นนี้เราต้องการความรักเมตตาของพระคริสต์อย่างมาก เราไม่มีความประสงค์จะทำร้าย ทำลายใคร แต่อำนาจแห่งความชั่วจะไม่ยอมให้แสงสว่างของพระคริสต์มาแย่งพื้นที่ชีวิตของผู้คนไปจากมัน มันจึงประกาศสงคราม จึงเกิดการต่อต้าน ต่อสู้ และในที่สุดทำร้ายและทำลาย เราควรมีความอดทน เชื่อและไว้วางใจในพระคริสต์ และการสำแดงแสงสว่างของพระคริสต์อย่างต่อเนื่องคือสิ่งที่เราสามารถกระทำได้ ส่วนการศึกสงครามแห่งชีวิตจิตวิญญาณในครอบครัว ในที่ทำงาน ในคริสตจักร ในชุมชน/สังคม เป็นพระราชกิจของพระคริสต์เจ้า พลังแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่จะต่อสู้กับอำนาจแห่งความชั่วร้ายเหล่านี้ได้

เราทุกคนต้องการที่จะให้ผู้คนรายรอบชอบและรักเรา
เราจะรู้สึกไม่สบายใจ หรือ เจ็บปวด เมื่อคนข้างเคียงไม่ยอมรับเรา หรือ บางครั้งเราได้รับการต่อต้าน
เมื่อเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้น
บางคนตอบโต้กลับเพื่อจะชี้ให้เห็นว่า “ใครผิดใครถูก”
บางคนเปลี่ยน “จุดยืน” เพื่อประนีประนอมกับผู้ต่อต้าน
บางคนยืนหยัด “ความเชื่อศรัทธา” ในชีวิตด้วยความถ่อม ศานติ รัก อดทน และเสียสละ

ท่ามกลางความขัดแย้ง การต่อต้าน และการต่อสู้
ทั้งสิ้นนี้เป้าหมายมิได้อยู่ที่การแพ้การชนะ
ทั้งสิ้นนี้เป้าหมายมิได้อยู่ที่ใครผิดใครถูก
ทั้งสิ้นนี้เป้าหมายอยู่ที่ เพื่อผู้คนจะได้เห็นและสัมผัสสัจจะ ความจริง ความรักของพระคริสต์
ทั้งสิ้นนี้เป้าหมายอยู่ที่ เพื่อทุกคนจะได้เป็นไทในพระคริสต์ และ รอดในพระคุณของพระองค์
ทั้งสิ้นนี้เป้าหมายอยู่ที่ เพื่อแผ่นดินของพระเจ้าจะมาตั้งอยู่
น้ำพระทัยเป็นอย่างไรในสวรรค์ให้เป็นเช่นนั้นในแผ่นดินโลก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น