17 มิถุนายน 2562

พระเจ้าใช้คนที่มี “วิสัยทัศน์” มี “นิมิต”

มักมีคนถามเสมอว่า  “คุณบอกหน่อยได้ไหมว่า... พระเจ้าใช้คนแบบไหน?

พระคัมภีร์บอกเราว่า พระเจ้าทรงใช้คนที่มีความเชื่อศรัทธา  “ถ้าไม่มีความเชื่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย...” (ฮีบรู 11:6 อมธ.) 

คนลักษณะแรกที่พระเจ้าทรงใช้คือ พระเจ้าใช้คนที่มีวิสัยทัศน์ คนที่มีนิมิต มีความฝัน  หรือ ผู้นำที่มีเป้าหมาย เพราะสิ่งเหล่านี้สำแดงออกมาให้เราเห็นว่า คนเช่นนี้มีความเชื่อศรัทธา

คริสตจักรย่อมไม่เจริญเติบโตเกินกว่านิมิตหมายที่ผู้นำคริสตจักรมี และไม่กว้างไกลไปกว่าภาวะผู้นำของผู้นำคริสตจักร และวิสัยทัศน์/นิมิตของภาวะผู้นำก็จะไม่กว้างไกลไปกว่าวิสัยทัศน์/นิมิตของพันธกิจการอภิบาลชีวิตคริสตจักรและชุมชน ตามพระมหาบัญชาของพระคริสต์  

สำหรับคริสตจักรแล้ว มิใช่มี...วิสัยทัศน์ที่ตอบสนองความต้องการของใครบางคน   ตอบสนองนโยบายของแหล่งทุน ตอบสนองนโยบายขององค์กรใดองค์กรหนึ่ง แต่ต้องตอบสนองพระมหาบัญชาของพระคริสต์ที่ตั้งคริสตจักรขึ้น เพื่อประสงค์ให้คริสตจักรสานต่อพระราชกิจที่พระองค์เริ่มต้นไว้แล้วบนแผ่นดินโลกนี้  

ถ้าเรามีเป้าหมายที่ดี เราก็เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า (ดู สุภาษิต 11:27 มตฐ.) ในที่นี้ขอท้าทายเราทุกคนว่าให้เรามีวิสัยทัศน์/นิมิตที่สำคัญ ที่ยิ่งใหญ่ที่พระคริสต์ประทานแก่คริสตจักร  ด้วยความเชื่อศรัทธาว่า พระองค์จะเคียงข้าง นำเรา ให้กำลังแก่เราที่จะทำสำเร็จตามวิสัยทัศน์ที่สำคัญยิ่งใหญ่ดังกล่าว

สิ่งสำคัญที่ยิ่งใหญ่ของนิมิต/วิสัยทัศน์ที่เรามีนั้น  เราไม่ต้องลงทุนหรือเสียค่าราคาอะไรเลย เพราะวิสัยทัศน์/นิมิต เป็นเรื่องของความเชื่อที่เราซื้อขายกันไม่ได้ และย้ำว่าวิสัยทัศน์/นิมิต นั้นเป็นความเชื่อไม่ใช่ “ความอยากได้ใคร่มี/ใคร่ทำของเราเอง”  

ดังนั้น ให้เรามีวิสัยทัศน์/มีนิมิต ถึงสิ่งที่เราต้องการให้พระเจ้าทรงกระทำพระราชกิจในชีวิตของเรา ทำพระราชกิจในคริสตจักรของเรา นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับค่าราคาที่เราต้องลงทุน ไม่เกี่ยวกับว่า คริสตจักรมีงบประมาณเรื่องนี้หรือไม่? ไม่ขึ้นกับว่าจะได้เงิน “ตอบสนองนโยบายของ.....” หรือไม่ อย่าลืมว่า ความเชื่อศรัทธาทำให้เรากล้าที่จะมีเป้าหมาย ความเชื่อศรัทธาให้เรากล้าที่จะฝันในชีวิต  

ด้วยความเชื่อศรัทธาทำให้เรากล้าที่จะมีนิมิต/วิสัยทัศน์ที่มุ่งมั่นตั้งใจจะทำตามพระบัญชาของพระคริสต์ ในการสานต่อพระราชกิจของพระองค์ ด้วยความไว้วางใจและเชื่อมั่นในการทรงนำและเคียงข้างของพระองค์

แต่เราต้องย้อนกลับมาพิจารณาตนเองว่า ที่ผ่านมา เราผิดพลาดอะไรบ้างไหมในการกำหนดวิสัยทัศน์/นิมิต/เป้าหมายของเรา?  

ประการแรก เรากำหนดเป้าหมาย “ต่ำ” กว่าศักยภาพ ความสามารถ และ ความเชื่อที่เราเชื่อว่าพระเจ้าจะทำได้ในชีวิต/ในคริสตจักรของเรา (แต่เราไปกำหนดตามตัวเงินที่เรามี?)

ประการที่สอง เราพยายามที่จะเผด็จศึกให้แผนงานที่กำหนดเสร็จอย่างด่วนเร็วเกินไป   อย่าลืมว่า “เดินทีละก้าว กินข้าวทีละคำ” “แสนลี้เริ่มต้นที่ก้าวแรก” เวลาเรากินข้าวโพดต้มจากฝัก เราแทะทีละเล็กทีละน้อย ค่อยแทะ ค่อย ๆ เคี้ยว แล้วค่อยกลืน แล้วแทะใหม่ในที่ใหม่ต่อไป เราไม่ได้กลืนข้าวโพดครั้งละฝัก! และนี่คือวิถีการทำงานของคริสตจักรร่วมสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์ในชีวิตประจำวันของสมาชิกแต่ละคน

ประการที่สาม ที่ผ่านมาเรามักกำหนด วิสัยทัศน์/นิมิต/เป้าหมาย ตามที่เราคิด เราอยากทำ เราอยากได้ มิได้กำหนด วิสัยทัศน์/นิมิต/เป้าหมาย ที่สอดคล้องกับพระมหาบัญชา หรือ สิ่งที่พระคริสต์ต้องการให้คริสตจักรทำอย่างเป็นกระบวนการ  

นี่คือสาเหตุหลักในความผิดพลาดของคริสตจักร!

พระราชกิจของพระเจ้าที่กระทำในชีวิตของเราและของคริสตจักร ไม่ได้ทำแบบ “ไฟลามทุ่ง” ไม่ใช่ทำแบบสร้าง “อีเวนท์” (Event) ทำครั้งเดียวจบ? แต่ทำอย่างเป็นกระบวนการต่อเนื่อง เพราะคริสตจักรต้องทำการสานต่อพระราชกิจของพระคริสต์บนโลกนี้!

ประสิทธิ์ แซ่ตั้ง
บ้านแม่แก้ดน้อย  สันทราย  เชียงใหม่
E-mail: prasit.emmaus@gmail.com; 081-2894499

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น