17 เมษายน 2554

เปลี่ยนบาดแผลในชีวิตเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า

ในยุคนี้ ผู้คนต่างพูดถึงชีวิตที่มีเป้าหมาย หรือ ชีวิตที่มีวัตถุประสงค์ แล้วคริสเตียนเชื่อและคิดเช่นนั้นหรือไม่? แน่นนอนทีเดียวคริสเตียนจะต้องมีเป้าหมายในชีวิตด้วย ถ้าไม่เช่นนั้นคงเป็นชีวิตที่แสนเชย มากกว่าเชยเสียอีกแต่จะกลายเป็นชีวิตที่ไร้ทิศทางที่จะมุ่งไป เป็นเรือชีวิตที่ลอยเคว้งกลางมหาสมุทรอย่างไร้หางเสือ
เดี๋ยวก่อน เวลาที่ผู้คนพูดถึง “เป้าหมาย หรือ จุดประสงค์ของชีวิต” คนส่วนใหญ่แล้วมักหมายถึงว่า สิ่งที่ตนต้องการที่จะบรรลุและประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นสิ่งที่ตนต้องการให้เกิดขึ้นและสำเร็จตามนั้นในชีวิตของตน แต่ถ้าเป็นคริสเตียนล่ะ “เป้าหมายหรือจุดประสงค์ในชีวิต” เหมือนและแตกต่างจากคนทั่วไปหรือไม่? อย่างไร?

ที่ว่าเหมือนกับผู้คนทั่วไปก็คือ ทุกคนควรมีเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตของตน แต่ที่ต่างกันก็คือ เป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตของคนทั่วไปคือสิ่งที่คนๆ นั้น ต้องการให้ได้ ให้มี ให้สำเร็จ และพยายามมุ่งมั่นทุ่มเทความสามารถ ทรัพย์สิน เวลา และทุกอย่างในชีวิตของตนเพื่อที่จะบรรลุและสำเร็จตามเป้าหมายชีวิตที่วางไว้ ในขณะที่คริสเตียนแต่ละคนก็มีเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตของตน แต่การได้มาซึ่งเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตของตนแตกต่างจากคนทั่วไปคือ เป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตของคริสเตียนมิใช่สิ่งที่ตนเองอยากได้ ใคร่มี ใคร่เป็นเท่านั้น แต่รากฐานที่มาของเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตของตนมาจาก “พระประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของคนๆ นั้น” และนี่คือจุดต่างอย่างสิ้นเชิง!

ด้วยสาเหตุที่คริสเตียนหลายท่านไม่รู้เท่าทันทั้งในความเหมือนและความต่างของเป้าหมายชีวิตนี้เอง ชีวิตจึงต้องประสบพบเจอกับความผิดพลาด ผิดหวัง เจ็บปวด เกิดบาดแผลในชีวิต และสิ้นหวัง เพราะชีวิตคริสเตียนของคนๆ นั้นมิได้มีพระประสงค์ของพระเจ้าเป็นเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิต

แต่เหลือเชื่อจริงๆ เมื่อชีวิตของคริสเตียนคนนั้นสะดุดล้มลง หัวใจฉีกขาด มีบาดแผลลึก และได้รับความเจ็บปวดมากในชีวิต พระเจ้ายังอยู่เคียงข้างชีวิตคริสเตียนคนนั้น ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังเตรียมพระประสงค์ใหม่สำหรับเป้าหมายในชีวิตของคริสเตียนคนนั้น เรียกว่า ในทุกสภาพการของชีวิต พระเจ้ายังทรงติดตามใกล้ชิด และเตรียมพร้อมพระประสงค์ของพระองค์สำหรับชีวิตที่ผิดพลาด ล้มเหลว และเจ็บปวด ให้ได้รับการเยียวยารักษา ยิ่งกว่านั้นทรงเตรียมโอกาสใหม่ พระประสงค์ใหม่ ที่จะใช้ชีวิตที่บาดเจ็บ สิ้นหวังได้ลุกขึ้นมาใหม่ มีส่วนสร้างสรรค์ให้ชีวิตของตน และ คนรอบข้างได้ประสบกับคุณค่าและความหมายใหม่ในชีวิต “บรรลุเป้าหมายแห่งชีวิต” อันเป็นเป้าหมายชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์

ผมขอนำเอาเรื่องชีวิตจริงของสตรีชายขอบ วิจิตร สุพรรณนครอินทร์ (นามสมมุติ) มาเล่าสู่กันฟัง ผมเห็นว่าเรื่องราวนี้ทำให้เราเข้าใจในเรื่อง “เป้าหมายชีวิต” ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น

เมื่อครั้ง วิจิตร สุพรรณนครอินทร์ เป็นสาว เธอเห็นว่าสิ่งที่จะทำใช้ชีวิตของเธอประสบความสำเร็จและสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อเธอมีคู่ชีวิต... เธอมี สามี

เธอเคยกล่าวว่า “ในชีวิตของฉัน ฉันต้องการคู่ชีวิตที่หล่อ แข็งแรง และเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของฉัน... ตอนที่ฉันเป็นเด็ก ฉันเคยฝันถึง “เจ้าชายในฝัน” ของฉัน ฉันต้องการที่จะลงหลักปักฐานสร้างชีวิตร่วมกับเขา”

วิจิตร ติดตามไล่ล่าความใฝ่ฝันของตน... แต่แล้วเธอพบกับความผิดหวัง... เธอเสียใจ

“ในช่วงที่เรียนอยู่ในระดับวิทยาลัย ฉันเกาะยึดอยู่กับชายหนุ่มคนแรกของฉัน ช่วงเริ่มแรก เขาให้ความสนใจในตัวฉัน เมื่อฉันมาคิดทบทวนย้อนหลัง ในเวลานั้น พระเจ้าทรงเตือนและแนะนำให้ฉันออกห่างจากชายหนุ่มคนนี้”

แต่ในเวลานั้น วิจิตร ยังไม่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า ดังนั้น เธอตัดสินใจยึดเกาะชายหนุ่มคนนี้ต่อไป แม้สัมพันธภาพดูจะไม่ค่อยเหมาะสมลงรอยในเวลาต่อมา แต่เธอก็กลัวว่าจะต้องอยู่โดดเดี่ยวคนเดียว ถึงแม้เธอจะถูกชายหนุ่มคนนี้ทอดทิ้ง และ เริ่มไม่สนใจ และกระทำความรุนแรงด้านอารมณ์ต่อเธอ หลังจากที่คบหาและไปไหนมาไหนด้วยกันไม่กี่ปี ปรากฏว่า เธอตั้งครรภ์ ทั้งสองเลยต้องแต่งงาน

วิจิตร เล่าว่า “นี่คือความพยายามที่จะมุ่งไปสู่เป้าหมายของตน และ ด้วยการพึ่งความสามารถของตนเอง ผลก็คือต้องล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า ยิ่งกว่านั้น จบลงด้วยความทุกขเวทนา ยากลำบาก... เมื่อลูกสาวอายุ 2 ขวบ สามีของฉันก็ไปมีกิ๊ก... วิกฤตินี้ทำให้ฉันตัดสินใจคุกเข่าลง อธิษฐานต่อพระเจ้า”

“ฉันหันชีวิตกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ตอนนั้นฉันพยายามที่จะเป็นภรรยาที่ดี และเป็นภรรยาที่ติดสนิทกับพระเจ้า แต่เขาต่อต้านการที่ฉันสนิทใกล้ชิดกับพระเจ้าอย่างเปิดเผย และเรื่องลงเอยด้วยการที่เขาทิ้งฉันไปในปีที่เจ็ดของชีวิตครอบครัว”

“ฉันไม่เสียใจที่มีลูกสาวที่แสนสวย แต่ที่ฉันเสียใจคือฉันไม่เชื่อและไว้วางใจพระเจ้ามากพอจนกล้าเดินออกจากความสัมพันธ์กับเขาแต่แรกเริ่ม และนี่ได้นำมาซึ่งบาดแผลและความเจ็บปวดในชีวิตเป็นเวลานานหลายปี นี่ยังไม่รวมถึงการนำมาซึ่งความสับสนสำหรับลูกสาว เมื่อมองย้อนหลัง ฉันยังตั้งคำถามกับตนเองว่า ทำไมตอนนั้นฉันไม่กล้าไว้ใจสิ่งที่พระเจ้าทัดทาน คำตอบคงไม่ต่างจากคนทั่วไป เพราะฉันต้องการเขา แต่สิ่งที่ฉันเรียนรู้จากการไตร่ตรองย้อนหลังพบว่า แท้จริงแล้วพระเจ้าทรงรู้ว่าสิ่งใดที่ดีที่สุดสำหรับชีวิตของเรา... และยิ่งกว่านั้น ฉันพบว่า เมื่อฉันเลือกที่จะเดินทางชีวิตตามทางที่ฉันต้องการ ต้องล้มเหลว และบาดเจ็บในชีวิต... ฉันพบว่า พระเจ้ายังอยู่กับฉันที่นั่น... ถึงแม้ว่า ฉันทิ้งพระเจ้า ในที่สุดเขาก็ทิ้งฉันไป แต่พระเจ้าไม่ได้ทิ้งฉัน... ยังอยู่กับฉันที่นั่น ในเวลานั้น”

ตอนนี้ วิจิตร อายุ 30 กว่าปี เธอเป็นหม้าย สามีทิ้งเธอไปกว่า 5 ปี เธอได้รับการเยียวยาด้านจิตวิญญาณเพื่อรักษาบาดแผลในชีวิตจากกลุ่มเพื่อนในคริสตจักร เธอกล่าวว่า “ในภาวะที่ฉันล้มเหลวในชีวิต แต่พระเจ้ายังคงดำเนินการให้ฉันมีเป้าหมายและจุดประสงค์ในชีวิตต่อไป แต่เป็นเป้าหมายชีวิตตามพระประสงค์ของพระองค์”

ในไม่กี่ปีมานี้ วิจิตร เปลี่ยนจากการที่ตนพยายามกำหนดเป้าหมายและมุ่งมั่นไปสู่เป้าหมาย เพื่อชีวิตจะพบกับคุณค่าและความหมาย เป็นการแสวงหาว่า พระเจ้ามีพระประสงค์อะไรในชีวิตของเธอ ในที่สุด วิจิตร พร้อมด้วยคุณแม่คนอื่นๆ ที่เป็นหม้ายในคริสตจักรได้รวมกลุ่มกัน ตั้งเป็นชมรมคุณแม่ที่เลี้ยงลูกด้วยตนเองคนเดียวในคริสตจักร โดยเรียกกลุ่มนี้ว่า “พันธกิจแม่เด็ดเดี่ยว”

วิจิตร ได้เล่าให้เราฟังว่า “ถึงแม้ว่าเมื่อเริ่มแรกนั้นฉันเองก็ลังเล สองจิตสองใจที่จะเริ่ม “พันธกิจแม่เด็ดเดี่ยว” นี้ แต่เมื่อเริ่มแล้ว ก็ดำเนินไปด้วยการหนุนเสริมกันอย่างอบอุ่น พันธกิจนี้เป็นพระพรอย่างมากแก่ตัวฉัน และ เพื่อนๆ ในกลุ่มเกินคาด และพวกเรายังได้รับการสนับสนุนจากพันธกิจครอบครัวคริสตจักรเป็นอย่างดี

กลุ่มพันธกิจแม่เด็ดเดี่ยว จะพบกันทุกสัปดาห์ เราอธิษฐานด้วยกัน พูดคุยถึงประสบการณ์ ปัญหา และทางสร้างสรรค์ในการเลี้ยงลูก เรามีโอกาสอ่านและศึกษาพระคัมภีร์ และร่วมสามัคคีธรรมกันในกลุ่มของเรา เราได้วางแผนงานกิจกรรมด้วยกัน บางครั้ง อาจารย์ก็เอาคลิปวีดีโอ จากอินเตอร์เน็ทเกี่ยวกับเรื่องชีวิตครอบครัวมาให้พวกเราดูด้วยกัน หลังจากนั้นอภิปรายสิ่งที่ได้ดูจากประสบการณ์จริงของพวกเรา บางครั้งเราก็กินขนมด้วยกัน บางครั้งก็รับประทานอาหารด้วยกัน คริสต์มาสปีหนึ่งคณะธรรมกิจได้จัดส่งต้นคริสต์มาสไปตามบ้านสมาชิกในกลุ่ม “พันธกิจแม่เด็ดเดี่ยว” ทุกบ้าน พวกเราตื่นเต้นมาก วิจิตรกล่าวกับเราว่า “ตอนนี้พวกเรากลายเป็นครอบครัวใหญ่ เรามีความสุขร่วมกัน และเราเปลี่ยนความโดดเดี่ยว ว้าเหว่ และเจ็บปวด ไปสู่การมีชีวิตร่วมกันเสริมสร้างกันและกัน และเสริมเพิ่มความสุขแก่กันและกัน... พระเจ้าทรงใช้ความเจ็บปวดจากบาดแผลในชีวิตของฉัน ให้เป็นโอกาสและเครื่องมือในการสร้างครอบครัวใหญ่ของคุณแม่ที่เด็ดเดี่ยว”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น