07 เมษายน 2554

คริสเตียนไม่คิดจะประกาศพระกิตติคุณให้กับตนเองบ้างหรือ?

พระกิตติคุณมีไว้สำหรับพวกคริสเตียนด้วย !

เมื่อคริสเตียนประกาศ หรือเรียกให้สวยก็คือ แบ่งปันพระกิตติคุณกับคนอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ตนคิดว่ามีความเชื่อต่างจากตน ในการพูดคุยสนทนาของ “คริสเตียน” มักตั้งอยู่บนสมมติฐานหรือความคิดเข้าใจของตนเองว่า

เราคริสเตียนมีข่าวดีหรือพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ส่วนคนที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่มีข่าวดีหรือพระกิตติคุณนี้
คริสเตียนยืนอยู่ข้างพระคริสต์ อยู่ข้างความชอบธรรม
ส่วนพวกยิว มุสลิม ยืนอยู่ฝั่งของคนบาป
คริสเตียนอยู่ใกล้ชิดพระเจ้า
ส่วนคนพุทธ และ ฮินดู อยู่ห่างไกลจากพระเจ้า

ท่าทีการสนทนาจึงแสดงออก(อาจจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม)ว่า
คนที่ไม่ใช่คริสเตียนต้องได้รับความช่วยเหลือด้านจิตวิญญาณ
ส่วนเราคริสเตียนต้องการความช่วยเหลือด้านจิตวิญญาณไม่มากเท่ากับพวกที่ไม่เป็นคริสเตียน
คนที่ไม่เป็นคริสเตียนคือคนที่หลงหาย
แต่เรารอดแล้ว ไม่หลงหาย
คนต่างศาสนาต้องการพระกิตติคุณ
เราเป็นคริสเตียนแล้วเราไม่จำเป็นต้องฟังพระกิตติคุณ

ที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้นนี้ เราคริสเตียนอาจจะไม่ได้พูดออกเสียง และก็มิใช่สิ่งที่เราพึงจะพูดออกมาเมื่อเราต้องเสวนากับเพื่อนต่างศาสนา (Interfaith Dialogue) แต่ในใจลึกๆ ในก้นบึ้งความเข้าใจของเราคิดเช่นนั้น และบอกกับตนเองเช่นนั้น มิใช่หรือ? เราวางท่าทีหยิ่งผยองและคิดว่าตนเองชอบธรรม และสิ่งนี้ก็ทำให้เราต้องสับสนในตนเอง เพราะเมื่อเราต้องคบหาสนทนากับเพื่อนต่างศาสนาเราต่างแสดงท่าทีสุภาพยอมรับและเมตตา และนี่คงมาจากต้นเหตุแห่งความคิดความเข้าใจของเราที่กล่าวข้างต้น

แท้จริงแล้ว เราถูกสอนให้คิดและเชื่อว่า เมื่อเราสื่อสารสนทนาพระกิตติคุณกับผู้ที่ไม่เป็นคริสเตียนที่เราพบ เรามักเข้าใจว่าเราเป็นผู้ที่พบสัจจะความจริงแล้ว ส่วนเขายังค้นหาไม่พบ เราเป็นคนที่ได้รับการทรงเลือกจากพระเจ้า แต่เขาไม่ได้รับการทรงเลือก เราเป็นคนที่สวยงามในสายตาของพระเจ้า แต่พวกเขาไม่ใช่ เวลาใดก็ตามที่เรานึกคิดเช่นนั้น จะด้วยการรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เรามิได้สื่อสารพระกิตติคุณเท่านั้นแต่เราผสมปนเปื้อนสิ่งอื่นลงในพระกิตติคุณที่เรานำเสนอด้วย

ให้เราลองเจาะลึกลงในแก่นหลักของพระกิตติคุณ พระคัมภีร์บอกกับเราชัดถ้อยชัดความว่า “เราทุกคน” ทำบาป...ในที่นี้หมายรวมถึงคริสเตียนด้วย...และเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า (โรม 3:23) และในขณะที่เราอ่อนกำลัง...(เพราะตกอยู่ใต้อำนาจของบาป)... พระคริสต์ได้สิ้นพระชนม์เพื่อคนบาป ซึ่งหมายรวมถึงเราทุกคน (โรม 5:6 อมตธรรม) โดยพระคริสต์ พระเจ้าทรงให้โลก... มุสลิม ยิว และ คริสเตียน...คืนดีกับพระองค์ (2 โครินธ์ 5:19) เพราะพระเจ้าทรงรักโลก...พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู...ฯลฯ ... จึงได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์... (ยอห์น 3:16)

คำถามก็คือว่า เราจะบอกกล่าวสนทนาถึงความเชื่อศรัทธาของเราอย่างไรที่จะไม่ทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าคริสเตียนใส่ร้ายป้ายสี ดูหมิ่นคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียน ทำให้เขารู้สึกโกรธ ประการหนึ่งที่เราสามารถที่จะสนทนาหรือนำเสนอพระกิตติคุณที่เป็นความเชื่อของเรา ที่ทำให้ ทุกคน รู้สึกว่าเราพูดถึงทั้งเขาและเราในฐานะที่เท่าเทียมกัน ไม่ใส่ร้ายป้ายสีตีตรากันแม้จะเป็นทางอ้อมก็ตาม เพื่อว่า ทุกคน (รวมถึงคริสเตียนด้วย) รู้สึกว่าตนได้รับการกล่าวถึงอย่างยุติธรรม ทั้งนี้เพื่อว่าทุกคน (ไม่งดเว้นคริสเตียนด้วย) จะตระหนักและสำนึกถึงความบาปผิดของตนเอง เพื่อว่าเราทุกคน...รวมถึงคริสเตียนด้วย...ที่จะยืนอยู่ใต้กางเขนของพระคริสต์ ต่างมีความต้องการพระผู้ช่วยให้รอดอย่างมากเหมือนกัน

ถ้าเราสามารถที่จะทำอย่างที่กล่าวข้างต้น จะมีสิ่งที่น่าสังเกตเกิดขึ้นสองสามประการด้วยกัน ประการแรก เราจะตระหนักชัดในความเข้าใจใหม่ว่า เรามิได้พูดถึง “ศาสนาของเรา กับ ศาสนาของเขา” มิได้พยายามที่จะปกป้องถกเถียงว่าความเชื่อของเราถูกต้องอย่างไรและของเขาผิดอย่างไร เรามิได้พูดถึงว่าศาสนาของเราสงบ สันติอย่างไร และศาสนาของเขาดุดัน รุนแรงอย่างไร เรามิได้พูดถึงความชอบธรรมของเราและความอธรรมของเขา เราจะไม่มองด้วยสายตาที่มีมุมมองว่าเรากำลังทำสงครามน้ำลายศาสนา แต่เราต่างเป็นพันธมิตรกันในหลุมหลบภัยแห่งความเชื่อศรัทธา

ประการต่อมา ในเวลาเดียวกัน เราต่างจะได้เห็นถึงพระหัตถ์แห่งความเมตตาจากเบื้องบนที่ยื่นมาถึง เราทุกคน เฉกเช่นพระหัตถ์ของพระคริสต์ที่ยื่นออกฉวยฉุดคนง่อยให้ยืนขึ้น พระหัตถ์ที่แตะต้องตาของคนตาบอดทำให้สามารถมองเห็นได้ และพระหัตถ์ที่แยงเข้าไปในหูของคนหูหนวกทำให้เขาสามารถกลับมาได้ยินอีกครั้งหนึ่ง และ เรา ต่างจะได้ยินการชวนเชิญของพระองค์ว่า ทุกคน ที่เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนักให้เข้าไปหาพระองค์ เพราะแอกของพระองค์เบา และจะทรงกระทำให้เราได้หายเหนื่อย และเกิดความสันติสุขที่เหนือความเข้าใจ

ประการที่สาม เราถูกทำให้เขว แล้วเรามักถามว่า “แล้วเราที่เป็นคริสเตียนจะต้องรับเอาคำเชิญชวนนี้ด้วยเช่นนั้นหรือ? นี่ไม่ใช่เป็นคำเชิญชวนสำหรับคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนเท่านั้นหรือ? คริสเตียนและคนที่ไม่เป็นคริสเตียนไม่แตกต่างกันเลยหรือ? เราคริสเตียนถูกเรียกให้เชิญชวนคนที่ไม่ได้เป็นคริสเตียนให้ติดตามพระคริสต์มิใช่หรือ?”

แต่เป็นที่ชัดเจนว่า โดยพระคุณของพระเจ้าผ่านทางความเชื่อศรัทธา ทำให้โลกนี้ได้กลับคืนดีกับพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ และทรงมอบเรื่องพระราชกิจแห่งการคืนดีนี้ให้เราประกาศ ซึ่งเป็นข่าวสารการคืนดีของโลกทั้งใบนี้กับพระเจ้า (2โครินธ์ 5:19)

ถ้าเช่นนั้น นี่มิใช่คำเชิญชวนที่เราคริสเตียนแต่ละคนจำเป็นต้องรับเอาใหม่ในแต่ละเช้าหรือ? และนี่มิใช่พระกิตติคุณที่เขย่าผลักดันแก่นหลักในชีวิตของเราให้เราลุกขึ้นรับเอาชีวิตใหม่ในแต่ละวันหรือ? และวันนี้มิใช่วันแห่งความรอดอีกวันหนึ่งหรือ? ถ้าใช่ แล้วเราจะสามารถประกาศพระกิตติคุณที่มิได้ประยุกต์ใช้ในชีวิตของเราแก่คนอื่นได้หรือ?

เราเห็นแล้วใช่ไหมว่าเป็นไปไม่ได้ ที่เราจะเทศนาพระกิตติคุณนี้ โดยที่ตนเองยังหลบหลีกบ่ายเบี่ยงพระกิตติคุณดังกล่าว และไม่มีประสบการณ์ตรงกับพระกิตติคุณ แค่อ้างตนว่าเป็นคริสเตียนและเป็นคนชอบธรรมนั้นไม่มีน้ำหนักเพียงพอ

เราได้เห็นหรือยังว่า ทำไม เวลาจะเสวนาวิสาสะกับเพื่อนต่างศาสนาจำเป็นที่คริสเตียนจะต้องมีท่าทีที่ถ่อมสุภาพ และ มีรากฐานความเชื่อที่หยั่งรากลึกในพระกิตติคุณ และเมื่อคริสเตียนเสวนาวิสาสะกับเพื่อนต่างศาสนิก เราจำเป็นจะต้องพร้อมที่จะแบ่งปันประสบการณ์ชีวิตจริงของตนว่า พระกิตติคุณที่เราหยั่งรากยึดมั่นนี้ มีพลังที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของเราอย่างไร เพื่อจะประกาศว่า พระกิตติคุณมีพลังอำนาจในการเปลี่ยนแปลงสร้างชีวิตใหม่ของทุกๆ คนได้ด้วยเช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น